ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 180 ความจริง (3)
ทั้งสองอย่างนี้ต้องค้าขายโดยทางการเท่านั้น การลักลอบค้าเกลือค้าเหล็ก โทษสถานเบาคือขับไปเป็นทหารไกลพันลี้ โทษสถานหนักคือการแล่เนื้อตัดคอ ซ้ำร้ายอาจถูกประหารเก้าชั่วโคตร สรุปแล้วคือตายอย่างไร้ที่กลบฝังสถานเดียว!
เมื่อใดที่เป็นคดีเกี่ยวพันกับเกลือและเหล็ก ต่อให้ไม่มีคนล้มตายจำนวนมาก แม้คิดจะยุติคดี ก็ไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด
ชิวเยี่ยไป๋จ้องมองเขากล่าวเสียงเย็นชาว่า “เหล่าเจอกู เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดถึงอะไร”
แม้การลักลอบค้าเกลือจะกำไรงาม แต่ตระกูลเหมยเป็นพ่อค้าหลวงอยู่แล้ว พวกเขาได้กำไรจากราชสำนักแต่ละปีมิรู้เท่าใด มีหรือจะยอมเสี่ยงกับโทษประหารเก้าชั่วโคตรไปหาเงินเช่นนี้
เหล่าเจอกูกัดฟัน แล้วโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรงอีกครั้ง พอเงยหน้าขึ้นหน้าผากก็เป็นรอยเลือดแล้ว
“หากไม่เป็นความจริงแม้แต่คำเดียว ขอให้เหล่าเจอกูสิ้นลูกสิ้นหลาน ถูกฟ้าผ่าตาย!”
ชิวเยี่ยไป๋จ้องเขาพักใหญ่ เห็นสีหน้าเขาเด็ดเดี่ยวจริงจังจึงพยักหน้ากล่าวช้าๆ ว่า “ข้าเชื่อเจ้า เกลือเยอะไหม”
เหล่าเจอกูสีหน้าหนักอึ้ง “ไม่น้อย เต็มสามลำเรือและยังมีสมุดบัญชี ข้าพลิกดูแล้วพบว่าตระกูลเหมยมิใช่ทำเรื่องเช่นนี้แค่ครั้งเดียว!”
นางหลับตาลงรู้สึกปวดศีรษะ ถามต่อ “แล้วของพวกนั้นตอนนี้อยู่ที่ใด ในรายงานที่ราชสำนักได้รับ มิได้ระบุของกลางใดๆ แสดงว่ายังอยู่กับพวกเจ้า”
ดวงตายิบหยีของเหล่าเจอกูฉายแววได้ใจวูบหนึ่ง “เฮอะ ความจริงอยู่ในมือซูจิ่น หลังปล้นเรือแล้ว เขาให้พวกพี่น้องเอาเงินทองไป และบอกว่าตามหลักแล้ว…การปล้นจะกลับมือเปล่าไม่ได้ ไม่ว่าเรือที่ปล้นจะเป็นเรือตระกูลเหมยหรือไม่ก็ตาม ในเมื่อลงมือแล้ว พวกเราก็ต้องเอาของไว้ แต่เรือใช้การไม่ได้แล้ว และเกลือพวกนั้นจะแตะต้องมิได้ ยังคงจมลงแม่น้ำดีกว่าจะได้ไม่มีร่องรอย เขาให้พวกพี่น้องขนเงินทองไปก่อน ที่เขาจะไปลงเรือตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าน่าจะมีอะไรแอบแฝง จึงลอบสะกดรอยเขา”
“ข้าเห็นเขาทิ้งเรือไว้ในที่เห็นได้ถนัด สีหน้าประหลาดเหมือนดีใจมากและเหมือนกำลังโมโห พึมพำว่าจะให้ตระกูลเหมยใช้หนี้เลือด ข้าก็รู้แล้วว่ามีปัญหา ดังนั้นจึงรอจนเขาไปแล้ว และใช้ฝีมือบางอย่างลอบนำเอาสมุดบัญชีกลับไป ซ่อนไว้ในโพรงหินแห่งหนึ่งที่ไม่มีใครหาพบ!”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้ากล่าวชมเชยว่า “เจ้ายังพอมีสมองอยู่บ้าง ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าค่าย”
เหล่าเจอกูก็ได้ใจยิ้มจนแก้มกระเพื่อม “ขอบพระคุณใต้เท้า”
นางนึกไปนึกมา “ตอนนี้เจ้าจะหาของนั่นเจอไหม”
เหล่าเจอกูผงกศีรษะทันที “ย่อมได้ แต่ข้าน้อยมีเงื่อนไข”
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตาอย่างน่าหวาดเสียว “เจ้ากล้าต่อรองกับข้าหรือ”
เหล่าเจอกูเห็นนางแววตาเย็นเยียบก็สยิวกาย แต่ยังคงแข็งใจกล่าวว่า “ถ้าไม่ช่วยลูกเมียข้าออกมาก่อน ข้าจะไม่พาใต้เท้าไปเอาของพวกนั้น”
……
จันทราเพิ่งขึ้นจากขอบฟ้า ลมยามค่ำชื้นแฉะ อากาศร้อนลดลงไม่น้อย
ชิวเยี่ยไป๋ยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางลานบ้าน มองดูจันทราเงียบๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังก็กล่าวเนือยๆ ว่า “จัดแจงเสร็จหรือยัง”
โจวอวี่เดินเข้ามาหยุดที่ข้างกายนางกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “จัดแจงกับหยวนเจ๋อเสร็จแล้ว ด้านเหล่าเจอกูก็พร้อมแล้ว ออกเดินทางได้ทันทีขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าพลันกล่าวว่า “กำชับเสี่ยวชีให้ดี จัดการดูแลเรื่องลูกเมียเหล่าเจอกูให้เรียบร้อย อย่าให้ใครพบเห็น”
โจวอวี่ผงกศีรษะรับคำทันที “ใต้เท้าโปรดวางใจ”
เขาลังเลครู่หนึ่งแต่ยังคงถามออกมา “ใต้เท้าขอรับ ตระกูลเหมยไม่มีเหตุผลที่จะลอบค้าเกลือ เป็นไปได้ไหมว่ามีคนป้ายความผิด”
นางร้องเหอะเบาๆ “ตระกูลเหมยไม่มีเหตุผลที่จะลอบค้าเกลือก็จริง แต่หากไม่มีพระพันปีและตระกูลตู้หนุนหลัง เจ้าคิดหรือว่าพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่งจะใจกล้าเช่นนี้ บวกกับการแสดงออกของซือหลี่เจียนล้วนพิสูจน์แล้วว่า เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างยิ่ง ตอนข้าดูแฟ้มคดีก็นึกอยู่แล้วว่าในเรือมิใช่บรรทุกเครื่องบรรณาการเท่านั้น”
นางกล่าวราบเรียบว่า “เจ้าก็แค่คิดว่าทั้งตระกูลเหมยกับพระพันปีไม่ขาดเงินใช้สอย จึงรู้สึกว่าพวกเขาจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้เท่านั้นเอง”
โจวอวี่ผงกศีรษะทันที “ใช่ขอรับ เรื่องพวกนี้ถ้าแดงขึ้นมา เกรงว่าพระพันปีคงไม่สามารถอธิบายกับขุนนางทั้งราชสำนัก”
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตาฉายแววเย็นชา “สมดังที่ว่า ‘ส่วยของใต้ฟ้า ผลประโยชน์จากเกลือเกินครึ่ง’ ตั้งแต่ท่านก่วนจ้งสมัยชุนชิวหรือวสันตสารทจนถึงปัจจุบัน เกลือกับเหล็กเป็นสินค้าผูกขาดโดยทางการ ก็เพราะการทำเกลือนั้นง่ายแต่ไม่มีใครผูกขาดได้ ถ้าเกิดเหมืองเกลือถูกพ่อค้าผูกขาดจะร่ำรวยยิ่งกว่าท้องพระคลัง ไม่มีราชวงศ์ใดจะยอมให้ราษฎรร่ำรวยจนทัดเทียมกับราชสำนัก”
นางหยุดแล้วพูดต่อ “และด้วยการควบคุมอย่างเข้มงวดจะขึ้นราคาเกลือเมื่อไหร่ก็ได้เพื่อเพิ่มรายได้ส่วยภาษี นำไปเป็นค่าใช้จ่ายของราชสำนัก เลี้ยงดูกองทัพไว้รบ แต่ก็เพราะเหตุนี้จึงได้มีคนลักลอบค้าเกลือในราคาที่ถูกกว่าของทางการ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าการลักลอบค้าเกลือโทษถึงตายสถานเดียว แต่ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ เพราะผลกำไรสูงมาก ดูแล้วตระกูลเหมยเหมือนไม่มีเหตุผลที่จะทำเรื่องเช่นนี้ แต่ถ้าพระพันปีหรือตระกูลตู้ต้องการเงินพวกนี้เล่า”
โจวอวี่ฟังแล้วก็ครุ่นคิดอย่างละเอียดและสีหน้าตกใจ “ท่านหมายความว่าเป็นแผน…”
“อาจไม่เหมือนที่เจ้าคิด ถึงอย่างไรฮ่องเต้ยังคงเป็นสายเลือดตระกูลตู้ แต่มิได้หมายความว่า
ราชนิกุลอื่นๆ ที่มิใช่ออกจากท้องคนแซ่ตู้ จะยอมเสียโอกาสการสืบทอดบัลลังก์ อีกอย่างพระพันปีกับตระกูลตู้พยายามรักษาฐานะของคนในราชสำนัก เกรงว่าพระคลังส่วนพระองค์คงสิ้นเปลืองไม่น้อย” ชิวเยี่ยไป๋ขัดคำพูดโจวอวี่
ความคิดวาบขึ้นในหัวโจวอวี่ พลันร้องอย่างตระหนก “หรือว่าซูจิ่นมิใช่คนของตระกูลเหมย”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าแลดูเขาแล้วถอนใจเบาๆ “เจ้าเป็นคนฉลาด ซูจิ่นมิใช่คนของตระกูลเหมยจริง ข้าถูกเหมยซูลวงให้ตัดสินใจผิดตั้งแต่แรก ที่เขาหลบหน้าเหมยซูมิใช่เพราะจะลอบติดต่อกับเหมยซู หากแต่ต้องการหลีกเลี่ยงเหมยซู เพราะเหมยซูอาจรู้จักเขา เขาน่าจะเหมือนแม่ทัพใหญ่คนที่ว่านั้น คือเป็นศัตรูกับพระพันปี คดีปล้นเรือของค่ายฉงฉี ก็เพื่อให้มีการเปิดโปงเรื่องนี้ เป้าหมายคือการจัดการกับตระกูลตู้และพระพันปี
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ในความเป็นจริงนางถูกเหมยซูชักนำจนเข้าใจผิด เพราะเขาแสดงตนว่าคุ้นเคยกับฝ่ายอธรรมโจรสลัดไหวหนาน จึงทำให้นางคิดว่าเขาน่าจะเกี่ยวพันกับค่ายฉงฉี นางจึงได้ลงมือบังคับซูจิ่น
เหมยซูคงคาดการณ์ไว้แล้วว่านางจะลงมือต่อค่ายฉงฉี และอาจเป็นไปได้ว่าเขามีหูตาอยู่ในค่ายฉงฉีอยู่บ้าง หรืออาจมีสายสืบของเขาทั่วตงอั้นก็เป็นได้ พอนางลงเรืออินชวนกง เหมยซูถึงตงอั้นก็อาจได้ข่าวทันที จึงได้รีบตามมาติดๆ เป้าหมายของเขามิใช่อยู่ที่เหมยเซียงจื่อเท่านั้น ยังพยายามจะสร้างภาพว่าเขาสมคบคิดกับค่ายฉงฉีด้วย
“เขารู้ว่าข้าต้องหลบเขาแน่ แต่ก่อนหน้านี้จะไม่ยอมกลับไปมือเปล่า ดังนั้นย่อมต้องลงมือต่อค่ายฉงฉี คนของค่ายฉงฉีกังวลมากกับการมาถึงของเขาและต้องรีบหลบหน้า ดังนั้นการปะทะจึงหลีกเลี่ยงได้ยาก เขาต้องการอาศัยข้าขจัดค่ายฉงฉีที่เป็นภัยคุกคามเท่านั้น” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ