ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 74
ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ – ตอนที่ 74 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (5)
คิ้วดกหนาของชิวเฟิ่งหลานขมวดมุ่นเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยอันใด เพียงจ้องมองชิวเยี่ยไป๋
ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยเสียงเนิบ “ข้ากลับบ้านก็ด้วยเรื่องของน้องหก เมื่อคืนออกไปยามดึกก็เพื่อช่วยน้องหกคลี่คลายเรื่องบางอย่าง”
ชิวเฟิ่งฉูฟังแล้วพลันหัวเราะดูแคลนอย่างอดมิได้ “ฮ่าๆๆ นั่นสินะ เรื่องต่ำช้าของชิวซั่นหนิงบัดนี้ไม่เพียงรู้กันทั้งจวน แม้แต่คนทั้งเมืองหลวงมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าน้องหกของเจ้าไร้ยางอายเป็นที่สุด พลอยทำให้ชื่อเสียงสกุลชิวมัวหมอง น้องสาวไร้ยางอาย คนเป็นพี่กลางค่ำกลางคืนก็ออกไปเที่ยวสำส่อน มันก็กำพืดเดียวกัน ถึงได้สอนกันออกมาแบบนี้!”
เขาแค้นชิวเยี่ยไป๋จนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงให้คนกระทำเรื่องเช่นนั้นกับเขา ยังมากวาดเอาเงินทองส่วนตัวของเขาไปจนไม่เหลือ ยิ่งทำให้เขาแค้นแทบกระอักเลือด
แม้เขาจะกริ่งเกรงที่ชิวเยี่ยไป๋กำความลับของเขาไว้ แต่ครั้งนี้ชิวซั่นหนิงทำเรื่องน่าบัดสี เขาจึงอยากจะกู้ศักดิ์ศรีของตนกลับคืนมา ทำให้ชิวเยี่ยไป๋ได้อายสักครา จะคลายความแค้นลงบ้าง!
แววตาชิวเยี่ยไป๋เย็นเยียบ มองชิวเฟิ่งฉู พลันเอ่ยขึ้นว่า “พี่รอง พี่สกุลอะไร”
ชิวเฟิ่งฉูไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ชิวเยี่ยไป๋จึงพาดพิงมาถึงตน ก็ตอบไปตามเรื่องว่า “สกุลชิว”
ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย้ยหยัน “ที่แท้พี่รองก็สกุลชิว ข้ายังคิดว่าพี่ลืมไปแล้วเสียอีก”
ทันใดนั้นชิวเฟิ่งฉูถึงกับเป็นเบื้อไป เมื่อครู่เขาเอาแต่ถากถางชิวเยี่ยไป๋ กลับลากตนเองเข้าไปด้วย
ลืมไปเสียสนิทว่าตนก็สกุลชิว ทั้งเป็นพี่ชายของชิวซั่นหนิงเช่นกัน
ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อพี่รองยังรู้ว่าตนชื่อสกุลอะไร ย่อมต้องรู้ว่าเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ซั่นหนิงทำผิดสมควรลงโทษ หากเอาแต่ทุ่มหินใส่คนตกบ่อ[1] มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น แล้วคิดว่าจะคลี่คลายปัญหาได้ ก็เชิญพี่รองเถิด”
ชิวเฟิ่งฉูหน้าแดงก่ำ แต่ไม่อาจเอ่ยวาจาหักล้างได้ อึกอักอยู่ครู่หนึ่งกำลังจะอ้าปาก กลับถูกขัดด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักของชิวเฟิ่งหลาน “พอแล้ว น้องสี่พูดถูก เราเป็นคนตระกูลเดียวกัน!”
ชิวเยี่ยไป๋หลุบตาลง ซ่อนประกายในแววตา นี่เป็นครั้งที่สองที่นางพบพี่ใหญ่ผู้นี้ ได้ยินว่าชิวเฟิ่งหลานซึ่งถูกส่งไปประจำอยู่ชายแดนตั้งแต่อายุสิบสี่ผู้นี้มีนิสัยหนักแน่นซื่อตรง ทำการไร้อคติ ทั้งเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม กับน้องชายน้องสาวในตระกูลไม่ว่าจะบุตรภรรยาเอกหรือบุตรอนุ ล้วนปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน เพียงแต่ถึงอย่างไรก็อยู่ข้างนอกมานาน จึงไม่สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ
ดูจากวันนี้แล้วเห็นท่าจะจริง
ยากนักที่ในขี้เลนสกุลชิวจะมีหน่อเนื้อเชื้อดีงอกงามขึ้นมาได้
ชิวเฟิ่งฉูหุบปากอย่างไม่เต็มใจ แต่ยังคงจ้องชิวเยี่ยไป๋อย่างเคียดแค้น
ชิวซั่นหยวนเอ่ยช้าๆ “เช่นนั้นน้องขอบังอาจถามพี่สี่ เวลานี้มีหนทางแก้ไขหรือไม่”
น้ำเสียงของนางนุ่มนวล หางเสียงยังเจือความอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาแบบเด็กหญิง มิได้เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดแม้แต่น้อย ไม่เหมือนชิวเฟิ่งฉูที่คอยแต่จะหาเรื่องจับผิดชวนทะเลาะ
ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมองนาง เอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องของสตรีในหอห้องที่ไม่ควรพูดออกไป อีกเดี๋ยวข้าจะไปชี้แจงต่อฮูหยินใหญ่ คิดว่าฮูหยินใหญ่ย่อมต้องตัดสินได้แน่”
ชิวซั่นหยวนพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก คาดว่าคงเห็นด้วย
ชิวเฟิ่งหลานนิ่งคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้า เอ่ยเสียงขรึมว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มอบให้ฮูหยินใหญ่และบิดาตัดสินเถิด”
เรื่องของชิวซั่นหนิงเผยออกมาแล้ว เขาซึ่งเป็นบุรุษเดิมก็ไม่ชอบทั้งไม่ถนัดจะจัดการเรื่องของสตรีในหอห้อง
จากนั้นเขาก็ว่าเรื่องต่อไป ดวงตาคมกริบจ้องมองชิวเยี่ยไป๋ “วันนี้เรียกน้องสี่มา หลักๆ แล้วมิใช่เรื่องน้องหก แต่เป็นเรื่องที่น้องสามถูกผลักตกน้ำ ถึงวันนี้น้องสามก็ยังนอนซมลุกไม่ขึ้น ทั้งลำคอยังบาดเจ็บ ข้าอยากฟังคำอธิบายที่สมเหตุสมผลของน้องสี่”
เขาหยุดครู่หนึ่ง น้ำเสียงเย็นเยือก “สกุลชิวเป็นสกุลใหญ่ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณทุกยุคทุกสมัย ยึดมั่นในหลักขงจื่อมาทุกรุ่น ไม่ว่าอยู่ในสถานะใด ล้วนไม่อาจทนต่อผู้มีจิตคิดร้าย ทำเรื่องเสื่อมเสีย หากมีคนเช่นนี้ ข้าผู้เป็นแม่ทัพจำต้องให้ความร่วมมือกับขุนนางฝ่ายตรวจการ ยื่นฎีกาถวายองค์จักรพรรดิ ทูลขอให้ยึดตำแหน่งคืน ลงโทษสถานหนักตามกฎสกุลชิว”
คำกล่าวนี้เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นกังวาน
ยิ่งกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าหมายไปที่ชิวเยี่ยไป๋ เพียงมิได้เอ่ยชื่อเท่านั้น
ชิวเฟิ่งฉูมองชิวเยี่ยไป๋อย่างสมน้ำหน้า พี่ใหญ่ของเขาเป็นคนซื่อตรง พูดจริงทำจริง ใครๆ ต่างก็รู้ว่าตำแหน่งของชิวเยี่ยไป๋ได้รับพระราชทานจากพระพันปี แม้จะมีอำนาจในมือ แต่ก็มิใช่ตำแหน่งสลักสำคัญนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่ว่างเว้นไประยะหนึ่งโดยไม่มีใครเข้าดำรงตำแหน่ง
หากพี่ใหญ่กราบทูลความผิดของชิวเยี่ยไป๋ต่อเบื้องบนจริง แม้จะดูเป็นการทำลายชื่อเสียงเกียรติภูมิของตนเอง แต่การเห็นแก่คุณธรรมมาก่อนญาติมิตร ซื่อตรงไม่ประจบสอพลอเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจเข้าตาขุนนางตรวจการก็เป็นได้ เรียกได้ว่าหากพูดออกไปแล้ว ย่อมทำให้ขุนนางในราชสำนักรู้สึกยกย่อง
วันนั้นชิวเยี่ยไป๋ผลักชิวซั่นจิงตกน้ำ ทุกคนล้วนเห็นกับตา เขาไม่เชื่อว่าชิวเยี่ยไป๋จะบอกปัดไม่ยอมรับได้อีก!
ลูกอนุชั้นต่ำคนหนึ่ง ถือดีอย่างไรจึงได้กดหัวบุตรภรรยาเอกเช่นเขาที่ยังไม่มีตำแหน่งอะไรเลย หากถูกปลดจริง ดูซิว่าชิวเยี่ยไป๋ยังจะกล้ากำแหงอีกหรือไม่ ช้าเร็วจะต้องทำให้มันตายด้วยน้ำมือตน!
ชิวเฟิ่งฉูทึกทักเอาเองอย่างเบิกบาน โดยลืมไปว่าตอนแรกที่ชิวเยี่ยไป๋จัดการกับตน ก็ยังไม่ได้เป็นเชียนจ่งของซือหลี่เจี้ยนขุนนางขั้นสี่ด้วยซ้ำ
เขาเลือกที่จะลืมเรื่องนั้นเสีย
เรื่องแยบยลซับซ้อนเช่นนี้แม้แต่ชิวเฟิ่งฉูยังเข้าใจ แล้วมีหรือชิวเยี่ยไป๋จะมองไม่ออก นางมองชิวเฟิ่งหลานด้วยสายตาเรียบเฉย ดูเหมือนพี่ใหญ่ของตนผู้นี้จะมีความคิดอ่านลึกซึ้ง หาได้เถรตรงดังเปลือกนอกไม่
ถึงอย่างไรก็ขับเคี่ยวอยู่ในราชสำนักมานาน หากไม่รู้จักคิดคำนวณวางแผนบ้าง ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะตายไปกี่รอบแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังยังมีตู้เจินหลานมารดาเลี้ยงใจอำมหิตอีก สามารถพาตัวจนประสบความสำเร็จถึงขั้นเช่นนี้ ย่อมมิใช่คนที่ใครจะประมาทได้
“อืม” ชิวเยี่ยไป๋ลังเล มิได้ตอบออกมาตามตรง แต่ดูเหมือนกำลังใคร่ครวญคำพูด ทั้งราวกับพยายามหลบเลี่ยง ทำให้คนในที่นั้นต่างคิดไปว่าชิวเยี่ยไป๋กำลังร้อนตัว
แม้ชิวซั่นหยวนจะนั่งเงียบมาตลอด ทว่าแววตากลับเย็นเยียบยิ่งขึ้น หลุบตาลงเงียบๆ
กลับเป็นชิวเฟิ่งฉูที่ผิดไปจากยามปกติ ทอดถอนใจออกมา “แต่จะว่าไป ทุกคนก็อยู่ห่างออกไปพอสมควร ไม่มีใครเห็นถนัดตาว่าน้องสี่เป็นคนลงมือ ไม่แน่ว่าชิวซั่นจิง…เอ้อ…น้องสามอาจบังเอิญพลัดตกลงไปเอง หรืออาจมีเจตนาใส่ร้ายน้องสี่ก็ไม่อาจรู้ได้”
คำพูดของชิวเฟิ่งฉูทำให้ทุกคนในที่นั้นมองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ
สายตาสามคู่ทำเอาเขาชะงักเล็กน้อย พลันรู้สึกตัวว่าคำพูดบังคับขู่เข็ญถากถางชิวเยี่ยไป๋ก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับเหมือนกำลังแก้ต่างแทนอีกฝ่าย ฟังแล้วประหลาดพิกลนัก
แต่เขายังคงกระแอมเบาๆ แล้วกล่าวต่อ “แม้ข้ากับน้องสี่จะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ย่อมไม่อยากกล่าวหาใครผิดๆ”
คำพูดนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย ทว่าชิวซั่นหยวนกับชิวเฟิ่งหลานมิได้พูดอะไร เพียงเก็บสายตากลับมา
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าน่าขัน คำพูดเดาเอาเองที่ชิวเฟิ่งฉูโพล่งออกมาโดยไม่คิดกลับเป็นความจริงเสียส่วนใหญ่ แต่ว่า…
นางกระแอมให้คอโล่งก่อนกล่าวว่า “เรียนพี่ใหญ่ คนที่ผลักพี่สามตกน้ำเป็นข้าจริงๆ”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนตะลึงไป คราวนี้ทุกสายตาจับอยู่ที่ชิวเยี่ยไป๋
——
[1] เป็นสำนวน หมายถึง ฉวยโอกาสซ้ำเติมยามผู้อื่นพลาดพลั้ง ได้ทีขี่แพะไล่