ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 88
กล่าวจบก็อ่านหนังสือต่อ
คำว่า ‘จากไป’ สองคำทำเอาอีไป๋ตัวสั่นน้อยๆ สุดท้ายยังคงกัดฟันลุกขึ้นด้วยใบหน้าขาวเผือด คลานเข่าเข้าใกล้ตั่งของไป๋หลี่ชู ราวกับใช้กำลังสุดตัวจึงสามารถยกนิ้วที่สั่นเทาลูบไล้ชายเสื้อของตนเอง แล้วแกะกระดุมทีละเม็ด จนกระทั่งแกะออกสามในสี่ก็แกะต่อไม่ไหว ใบหน้าที่คมสันงดงามบิดเบี้ยวเหยเก กล่าวเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาท”
เพิ่งขาดคำไป๋หลี่ชูก็เงยหน้ามองเขา จับจ้องด้วยดวงตาที่งดงามเย็นเยือก แล้วมือข้างหนึ่งก็แตะใบหน้าของอีไป๋
ปลายนิ้วเย็นเยียบทำเอาอีไป๋สะท้านสั่นเทา แต่กัดฟันแน่นไม่ส่งเสียง เขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะร่ำไห้
ปลายนิ้วเย็นเยียบของไป๋หลี่ชูไล้ไปตามใบหน้าผ่านคางลำคอ สุดท้ายหยุดอยู่ที่กระดูกไหปลาร้า
อีไป๋กุมเข่าของตนแน่น พยายามบังคับตนเองมิให้เคลื่อนไหว หลับตาลงแล้วบอกตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เป็นอันใด เขาสาบานแล้วว่ายามเป็นจะเป็นคนของฝ่าบาท แม้ตายก็จะเป็นผีของฝ่าบาท เพราะมีฝ่าบาทอยู่ ชีวิตของเขาจึงมีความหมาย ถ้าเช่นนั้นหากฝ่าบาทจะเสพสมเขาสักครั้ง เขาก็ควรรับไว้โดยดุษฎี
ทว่า แล้วเหตุใดจึงอยากร่ำไห้เล่า
เขามิใช่โกรธเคืองที่วันนั้นฝ่าบาทถูกไอ้สารเลวชิวเยี่ยไป๋ย่ำยีหรอกหรือ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เสียแรงลงมือเสาะหารวบรวมหนังสือกามเทพเสพสมระหว่างชายกับชายมามากมาย รวบรวมมายังพอทำเนา เขาเห็นฝ่าบาทอ่านอย่างขะมักเขม้นและเอ่ยถึงชิวเยี่ยไป๋ตลอดเวลา เขายังแค้นใจอยู่ว่าฝ่าบาทไยจึงใส่ใจไอ้สารเลวชิวเยี่ยไป๋มากนัก นึกอยู่ว่าไอ้หมอนั่นไม่เห็นมีดีอะไร ให้มันหิ้วรองเท้าให้ฝ่าบาทยังไม่คู่ควรเลย
มันไม่คู่ควรกับฝ่าบาทอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลุดปากไปว่าหาใครสักคนในค่งเฮ่อเจียนมาก็ล้วนดีกว่าชิวเยี่ยไป๋ถมไป
ทีนี้เป็นเรื่องแล้ว ฝ่าบาทครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ถึงกับให้เขาเปลื้องผ้าขึ้นเตียงทดลองดู!
แต่ตัวเขาเอง…ไม่นิยมไม้ป่าเดียวกันแม้แต่น้อยนิด!
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แล้วคงไม่พูดแต่แรกจะดีกว่า!
พริบตาเดียวที่ยาวนานเหมือนหมื่นปีนี้ เป็นความรู้สึกที่ทรมานแสนสาหัส!
อีไป๋หลับตาลง กัดฟันแล้วตัดใจดึงสายรัดเอวของตน
มาเร็วไปเร็ว รีบตายจะได้เกิดใหม่ ก็แค่โดนเจ้านายทับบนเตียงเท่านั้นเอง อีกสิบแปดปีก็เป็นผู้เป็นคนอีกครั้งแล้ว!
ขณะที่สติของอีไป๋กำลังจะพังทลาย พลันรู้สึกว่าความเย็นเยียบนั้นหายไป ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงโหวงหวงของเจ้านายตนเปลี่ยนไป เสียงที่เกือบจะแหลมเล็กกล่าวว่า “ไป รีบไปยกน้ำอุ่นมาให้ข้า เอาสบู่กับสุราบริสุทธิ์ฆ่าเชื้อมาด้วย ข้าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
อีไป๋ตกใจ พอลืมตาขึ้นก็เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของไป๋หลี่ชู ยกมือข้างที่เมื่อครู่ลูบคลำเขา สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีดทำท่าจะอาเจียนออกมา ทำเอาอีไป๋สะดุ้งตกใจ
อีไป๋รีบลุกขึ้นทันที โถมเข้าหาอย่างผวา “ฝ่าบาทเป็นอะไรไป!”
แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ถูกไป๋หลี่ชูถีบใส่หัวไหล่ ไป๋หลี่ชูหน้าตาดุร้าย ตาดำครองพื้นที่ในดวงตาจนหมด ดูแล้วน่าพรั่นพรึงอย่างมาก “ข้าบอกว่าข้าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
อีไป๋กลิ้งกับพื้นสองตลบจึงหยุดลง ในที่สุดก็ได้สติแล้วรีบพุ่งตัวออกจากห้องโดยลืมกลัดกระดุม ตวาดลั่น “ซวงไป๋ ฝ่าบาททรงประชวรแล้ว รีบเตรียมน้ำ รับใช้ฝ่าบาทอาบน้ำ!”
วุ่นวายอยู่พักใหญ่ ไป๋หลี่ชูที่อยู่บนตั่งสีหน้าจึงเป็นปกติ เพียงแต่ยิ่งนานยิ่งขาวซีด เขาหลับตาสั่งเบาๆ ว่า “ออกไปเถิด”
อีไป๋รู้สึกว่าตนเองเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่อดกังวลมิได้ สุดท้ายยังคงรับคำอย่างนอบน้อม “ขอรับ”
ประตูใหญ่ปิดลงอีกครั้ง ในตำหนักหรูหรามิมีใครอื่นอีก ทิ้งไว้แต่ความเงียบสงัด
ไป๋หลี่ชูเอนลงบนตั่ง มองดูมือเรียวยาวขาวผ่องของตนเอง ครู่หนึ่งจึงนำถุงมือเบื้อบางละเอียดราวปีกจักจั่นที่มิรู้ว่าทำด้วยสิ่งใดออกมาสวมที่มือ พอสวมเสร็จ ถุงมือนั้นก็แนบสนิทกับผิวหนัง ราวกับเป็นผิวหนังชั้นที่สองมองไม่ออกเลยว่ายังสวมถุงมือไว้อีกชั้น
เขามองดูมือด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แล้วพลันหัวร่อเบาๆ “ดังคาด ไม่สวมถุงมือไม่ได้ ร่างกายนี้น่าสะอิดสะเอียนเสียจริง”
เหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดประเภทนี้ ย่อมเกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดียวในครั้งเดียวเท่านั้นจึงจะเรียกว่าอุบัติเหตุได้
“ชิวเยี่ยไป๋ ขออภัยจริงๆ ใครใช้ให้เจ้าเป็นคนทำให้เกิดอุบัติเหตุเพียงหนึ่งเดียวนี้เล่า หึๆ…”
เสียงหัวร่อทุ้มต่ำแต่วังเวงกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เสียงก้องสะท้อนไปมาในห้องกว้าง ราวกับลมพายุรุนแรงที่จางหายไปในอากาศ สลายไปในความมืดมิดของรัตติกาล
แว่วเสียงหัวร่อในตำหนักแต่ไกล แววตาของซวงไป๋ปราศจากรอยยิ้มแม้แต่น้อย เหลือแต่ความหนาวเหน็บไร้สิ้นสุดแลดูบุรุษตรงหน้า “เจ้าพอใจหรือยัง”
อีไป๋หลับตา ตอบเสียงหนักด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ฝ่าบาทแตะต้องไอ้หนุ่มนั่นได้แล้ว ข้าเพียงต้องการพิสูจน์ว่าอาการป่วยของฝ่าบาทหายแล้ว”
ซวงไป๋สอดมือเข้าแขนเสื้อ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ทำโดยพลการเป็นอันตรายต่อฝ่าบาท ข้าผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายลงทัณฑ์ย่อมต้องเตือนเจ้าสักประโยค แม้เจ้าจะเป็นคนค่งเฮ่อเจียนที่คอยรับใช้เจ้านาย ก็ยังคงต้องรับโทษทัณฑ์จากฝ่ายลงทัณฑ์!”
พูดจบเขาก็หันกายจากไป อีไป๋ลังเลครู่หนึ่งแล้วรีบตามเขาไป
…
ลมราตรีพัดเย็น แสงจันทร์มัวสลัว
ลมหอบหนึ่งพัดม่านไข่มุกน้ำตาพาพลิ้วไหว ชิวเยี่ยไป๋พลันตื่นจากความฝัน นางลุกขึ้นนั่ง มองดูรอบๆ อย่างตื่นตัว ไม่มีร่องรอยผู้บุกรุก จากนั้นจึงหอบหายใจเบาๆ ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่กลับข่มตาไม่หลับ ได้แต่มองดูจันทรานอกหน้าต่าง
นางถอนหายใจแผ่วเบา
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่สามในตำหนักกวงหมิงแล้ว ถ้าทุกอย่างราบรื่น อาจได้เข้าเฝ้าพระพันปีแล้วและออกจากวัง
ทว่า…
นางลูบอก มิรู้ว่าเพราะอะไร นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด
ที่แท้เป็นเพราะอะไรกันหนอ
นอนไม่หลับทั้งคืน ทั้งสองคนที่อยู่ต่างที่ต่างครุ่นคำนึง ลมยามค่ำพัดโชย เดือนเสี้ยวราวตะขอ
เมฆแดงฉานบดบังจันทรา คล้ายมีใครซ่อนเล่ห์ร้ายในใจ
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเงาจันทร์ค่อยๆ เป็นสีแดง นี่คงเป็นพระจันทร์สีเลือดที่เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังในวัยเยาว์ ดาวเดือนเช่นนี้แสดงว่ากลิ่นอายอสูรกลิ่นอายปีศาจครอบงำฟากฟ้า ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง
จนกระทั่งเกือบรุ่งสางนางจึงเคลิ้มหลับไปพร้อมกับจันทราที่ใกล้จะลาลับ
ตื่นมาอีกครั้งก็เป็นกลางวันสว่างไสวแล้ว ดูเหมือนได้ยินเสียงของซวงไป๋ที่ร้องเรียกกลั้วหัวร่ออยู่นอกประตู “ใต้เท้า ใต้เท้า ตื่นได้แล้ว”
นางลูบหน้าผาก รู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้างพลางตะโกนว่า “เข้ามาเถอะ”
ครู่เดียวประตูก็เปิดออก ขันทีหลายคนประคองข้าวของในการล้างหน้าล้างตาเข้ามา วางบนโต๊ะเสร็จแล้วก็ยืนตัวลีบอย่างสำรวมและถอยออกไป เพราะชิวเยี่ยไป๋ไม่ชอบให้มีใครอยู่ด้วยยามล้างหน้าสางผม
ซวงไป๋ถือกล่องอาหารเข้ามา วางบนโต๊ะขอบลายดอกไม้ที่ด้านนอก มองผ่านม่านไข่มุกน้ำตาเห็นชิวเยี่ยไป๋สีหน้าไม่สู้ดี คล้ายกังวลอะไรบางอย่าง “ใต้เท้าเป็นอะไรไปขอรับ หรือเมื่อคืนจะโดนลมเย็น”