ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1019-1020
บทที่ 1019 ข้ายังคงไม่อาจหักใจมองท่านทุกข์ทรมานได้
หรงเจียหลัวนิ่วหน้าน้อยๆ นั่งพิงรถม้า หลังจากเขาอาการดีขึ้น ในสมองมักจะมีภาพเลือนรางบางอย่างแวบเข้าผ่าน แต่พยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเลย
หรงเช่อมองสีหน้าของเขา เอ่ยขึ้นอย่างห่วงใย “เสด็จพี่ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
หรงเจียหลัวส่ายหน้านิดๆ “สบายดี”
หรงเช่อถอนหายใจเบาๆ “หนนี้โชคดีที่ได้แม่นางกู้ช่วยไว้ มิเช่นนั้นชีวิตของเสด็จพี่คงต้องมอบไว้ที่นี่แล้ว”
หรงเจียหลัวถอนหายใจพลางกล่าว “ใช่แล้ว โชคดีที่มีนางอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะตายอย่างไรยังไม่รู้เลย…วันหน้าพี่จะต้องตอบแทนนางอย่างดี” เขาติดหนี้เด็กสาวคนนั้นมากมายเหลือเกิน
หรงเช่อยิ้มแวบหนึ่ง “เสด็จพี่ไม่ต้องกังวลพระทัย วันหน้าน้องจะตอบแทนนางอย่างดีแทนเสด็จพี่เอง”
หรงเจียหลัวตะลึงงัน ขมวดคิ้วเชิดหน้าขึ้น “พี่ตอบแทนด้วยตัวเองได้ ไยต้องให้เจ้ามาตอบแทน…”
หรงเช่อถอนหายใจเล็กน้อย เบี่ยงหัวข้อสนทนา “เสด็จพี่ ท่านชังข้าใช่หรือไม่?”
หรงเจียหลัวเลิกคิ้ว “ชังเจ้า? จะชังเจ้าไปทำไม? น้องแปด เจ้าพูดเหลวไหลอันใด?” หรงเช่อเป็นดั่งแขนขาของเขามาโดยตลอด ช่วยจัดการเรื่องราวให้เขาไม่น้อย และปกป้องพี่ชายอย่างเขาอยู่เสมอ อีกทั้งในการนำทัพทัพออกศึกครั้งนี้เขาก็เป็นทัพหน้าด้วย ทำให้เขามีความดีความชอบด้านการศึก
ความสัมพันธ์ของพี่น้องทั้งสองดีกว่าความสัมพันธ์พี่น้องคนอื่นๆ มากนัก
และหรงเจียหลัวก็ไว้เนื้อเชื่อใจเขา สองพี่น้องแทบไม่ต้องพูดอะไรกันเลย
ล้วนกล่าวกันว่าในราชวงศ์ไร้ซึ่งความสัมพันธ์ของครอบครัว มีเพียงความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ หรงเจียหลัวรู้สึกโชคดีมาโดยตลอดที่มีน้องชายร่วมสายเลือดที่กล่าวได้ว่าสนิทสนมรู้ใจกันถึงเพียงนี้
ยามนี้จู่ๆ หรงเช่อก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา ทำให้หรงเจียหลัวค่อนข้างสับสนอยู่บ้าง เขาใคร่ครวญเล็กน้อย คล้ายจะเข้าใจอะไรแล้ว “เจ้าพูดถึงเรื่องหนนี้ที่ข้าถูกพิษจนกลายเป็นผีดิบแล้วเกือบถูกเจ้าสังหารใช่ไหม? วางใจเถอะ ข้าไม่ชังเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่รู้ว่าข้ามีสติอยู่ นึกว่าข้ากลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วจริงๆ ทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หากเปลี่ยนข้าก็อาจจะทำเช่นนี้เหมือนกันก็ได้”
หรงเช่อทอดถอนใจพลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้าไม่รู้จริง นั่นแหละว่าท่านยังมีสติอยู่ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องกันมานานหลายปี ข้ายังคงไม่อาจหักใจมองท่านทุกข์ทรมานได้”
หรงเจียหลัวรู้สึกว่าท่าทางของเขาดูค่อนข้างพิกล แต่เป็นพี่น้องกันมานาน เขาจึงไม่ได้คิดมาก แถมยังยื่นมือไปตบไหล่หรงเช่อด้วย “เอาล่ะ อย่าคิดมากเลย พี่ไม่โทษเจ้าหรอก”
วันนี้หรงเช่อดูเหมือนจะช่างพูดนัก “เสด็จพี่ ท่านยังจำเรื่องราวก่อนที่ข้าจะอายุแปดขวบได้ไหม?”
หรงเจียหลัวตอบยิ้มๆ “เหตุใดจะจำไม่ได้เล่า? ก่อนเจ้าจะอายุแปดขวบก็คือตัวแสบผู้หนึ่งโดยแท้ ดั่งอันธพาลน้อย คิดจะเป็นอริกับทุกคน พบเจอพี่ชายอย่างข้าเจ้ายังไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เลย ยามนั้นเจ้าชมชอบเพียงติดตามอยู่ด้านหลังหรงฉู่…” พูดมาถึงตรงนี้ก็ชะงักไป
หรงเช่อก็ยิ้มเช่นกัน “ใช่แล้ว ข้าในยามนั้นไม่รู้ความ สร้างความลำบากให้ท่านผู้เป็นพี่ชายไว้ไม่น้อย เนื่องจากยามนั้นเสด็จแม่ของข้าพูดกรอกหูสั่งสอนข้าอยู่ทุกวัน บอกว่าหรงฉู่สิถึงจะเป็นผู้กุมอำนาจในภายภาคหน้า การติดตามรัชทายาทผู้ไร้กำลังไร้อำนาจอย่างท่านจะไม่มีอนาคต อันที่จริงเด็กน้อยในยามนั้นก็รู้จักเลือกที่รักมักที่ชังแล้วเช่นกัน”
หรงเจียหลัวอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ “เคราะห์ดีที่พอเจ้าอายุแปดขวบก็รู้ความขึ้นมาอีกขั้น เริ่มติดตามข้าราวกับหางน้อยๆ ก็มิปาน ไล่ก็ไม่ไป”
หรงเช่อทอดถอนใจ “ใช่แล้ว ยามนั้นข้าบาดเจ็บหนัก สลบไปสามวันเต็มๆ เนื่องจากตอนที่ท่านไปเดินเล่นในสวนข้าคิดจะปองร้ายท่าน แต่กลับก้าวพลาดศีรษะกระแทกเข้ากับโขดหินก้อนหนึ่ง สลบอยู่ตรงหน้าท่านพอดี ยามนั้นท่านไม่สนความบาดหมางครั้งเก่าก่อนช่วยข้าเอาไว้ ซ้ำยังคอยเฝ้าข้าอยู่สามวัน ครานั้นข้าศีรษะกระแทกหนักเกินไป แม้แต่หมอหลวงก็ล้วนกล่าวว่าไม่มีประโยชน์แล้ว เสด็จแม่ของข้าก็ยอมแพ้แล้วเช่นกัน แต่ท่านผู้เป็นพี่ชายกลับไม่ยอมแพ้ ใช้พลังวิญญาณประคับประคองลมหายใจของข้าไว้ตลอด…”
————————————————————————————-
บทที่ 1020 ไม่อยากปิดบังอันใดกับท่านอีกต่อไป
หรงเจียหลัวเอ่ยอย่างจนปัญญา “ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง อีกทั้งเป็นน้องชายของข้าด้วย ข้าย่อมมิอาจดูดายโดยไม่ช่วยเหลือได้ ถ้าช่วยได้ก็ต้องช่วยดู และความจริงก็ประจักษ์แล้วว่าการช่วยของข้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องยิ่งนัก ช่วยอัจฉริยะน้อยผู้ล้ำเลิศได้หนึ่งคน แถมยังช่วยน้องชายแท้ๆ คนหนึ่งไว้ได้”
สายตาของหรงเช่อร่อนลงบนหน้าเขา ถอนหายใจเบาๆ “ใช่แล้ว ชีวิตวัยแปดขวบในปีนั้นสำหรับข้าแล้วกล่าวได้ว่าเป็นทางแยกสายหนึ่ง เสด็จพี่ ข้าไม่รู้สึกบ้างหรือว่าในช่วงก่อนแปดขวบกับหลังแปดขวบเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนกัน?”
หรงเจียหลัวกล่าวอย่างปลื้มใจ “อืม เจ้าในช่วงหลังแปดขวบในที่สุดก็ไม่เกกมะเหรกเกเรอีกต่อไป สุขุมรู้ความขึ้นไม่น้อย เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยจริงๆ นิสัยใจคอก็เปลี่ยนน่าชื่นชมกว่าเก่า ยามนั้นพี่ปลาบปลื้มนัก”
หรงเช่อยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “อันที่จริงแล้ว หากคนผู้หนึ่งลื่นล้มจนสลบไประยะหนึ่งนิสัยจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก สาเหตุที่นิสัยเปลี่ยนไปมาก นั่นเป็นเพราะสังขารนั้นได้เปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว…”
หรงเจียหลัวทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ “อะไรนะ?”
หรงเช่อยิ้มนิดๆ มองดูเขาแล้วกล่าว “เสด็จพี่ท่านยังฟังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
ใบหน้าหรงเจียหลัวซีดเผือด “ความหมายของเจ้าคือ? เจ้า…ความจริงแล้วเจ้าเป็นดวงวิญญาณอื่นที่มาสิงสู่ร่างเจ้าแปดงั้นหรือ?”
หรงเช่อพยักหน้า “มิผิด! หากว่าในสังขารนี้ยังเป็นคนเดิมอยู่ ยามนั้นต่อให้ท่านช่วยเขาไว้ เขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่ซาบซึ้งตื้นตันท่านมากนักหรอก ยังคงเป็นอริกับท่านต่อไป เจ้าเด็กเหลือขอคนนั้นเป็นหมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง…เสด็จพี่ ในฐานะรัชทายาทแล้ว ท่านโอบอ้อมอารีเกินไปจริงๆ”
หรงเจียหลัวดั่งถูกฟ้าผ่าใส่ เขานิ่งค้างไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “เป็นไปไม่ได้! โลกนี้ไม่มีภูตผีที่สิงสู่ครอบครองตัวตนได้! เจ้าแปด เจ้าได้รับความสะเทือนใจอะไรหรือเปล่า? หรือว่าฝันอะไรมา?”
หรงเช่อยกยิ้มแวบหนึ่ง “เสด็จพี่ที่ท่านว่ามานั้นคือการถูกภูตผีดาษดื่นทั่วไปสิงสู่ ต่อให้สิงได้ร่างกายก็แข็งทื่อเสมือนผีดิบ แต่ถ้าหากในร่างนี้เดิมทีก็มีวิญญาณสองดวงอยู่แล้วล่ะ?”
หรงเจียหลัวตะลึงงัน “นั่นก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ว่ากันตามเหตุผลแล้ววิญญาณสองดวงไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ นอกเสียจากวิญญาณอีกดวงหนึ่งจะทำพันธะจำนองวิญญาณ ยอมรับใช้ดวงวิญญาณหลัก…”
หรงเช่อยิ้มน้อยๆ “เสด็จพี่ทราบไม่น้อยเลยนี่ เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าสิงสู่ร่างนับตั้งแต่เขาถือกำเนิด ผูกพันธกับเขาถึงได้ถูกรับไว้ในร่าง แต่ดวงวิญญาณที่ทำพันธะไม่สามารถทรยศดวงวิญญาณหลักได้ เว้นแต่ดวงวิญญาณหลักจะถึงแก่กรรมด้วยสาเหตุบางอย่าง หากว่าไม่ลื่นล้มหัวฟาดตายไปในครั้งนั้น ข้าก็ยังเข้าแทนที่เขาไม่ได้…”
หรงเจียหลัวลองมาคิดๆ ดูแล้ว หรงเช่อในช่วงก่อนแปดขวบกำเริบเสิบสาน ซุกซนจนได้เรื่อง เคยจมน้ำ เคยหัวฟาด เคยตกลงมาจากสัตว์พาหนะ…ประสบเภทภัยมากมายอย่างยิ่ง ยามนั้นทุกคนในวังรู้สึกว่าองค์ชายแปดผู้นี้เชี่ยวชาญด้านการหาที่ตาย ยามนี้ไหนเลยจะทราบได้ว่าใช่การชี้นำของดวงวิญญาณพันธะดวงนี้หรือไม่?
หรงเจียหลัวจ้องมองหรงเช่อ “เจ้ามาบอกเรื่องนี้กับข้าในยามนี้มีเจตนาอะไร?”
หรงเช่อพูดจาจริงจังยิ่งว่า “เป็นเพราะข้าชอบเสด็จพี่มากจริงๆ ไม่อยากปิดบังอันใดกับท่านอีกต่อไป”
หรงเจียหลัวพูดไม่ออกแล้ว
อันที่จริงสำหรับหรงเช่อในช่วงก่อนแปดเขานั่นเขาค่อนข้างเอือมระอา แต่หรงเช่อในช่วงหลังแปดขวบน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ซ้ำยังกลายเป็นแขนขาให้เขาด้วย
ดังนั้นหรงเจียหลัวจึงไม่คิดจะล้างแค้นให้ ‘น้องชายร่วมสายเลือด’ แต่อย่างใด คนที่เขาคบหาสมาคมคือหรงเช่อคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ มิใช่คนในอดีตผู้นั้น…
เขาสูดลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา “อาเช่อ ข้าไม่สนใจว่าในอดีตเจ้าเป็นอะไรมาก่อน สรุปคือ เจ้าเป็นเจ้าของร่างนี้แล้ว เป็นน้องชายที่ดีของข้าเสมอมา ข้าไม่ถือสาอะไร แต่เรื่องนี้เจ้าอย่าได้แพร่งพรายต่อภายนอก คนนอกไม่แน่ว่าจะยอมรับได้ จะก่อให้เกิดข้อพิพาทมากมายขึ้นเปล่าๆ”