ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1041+1042
บทที่ 1041 มารหนึ่งฉื่อ เต๋าหนึ่งจั้ง
เรือนกายเขาไหววูบ มุดหนีลงไปใต้ดินทันทีหายไปในชั่วพริบตา!
วิชาดำดิน! นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นวิชาดำดินด้วย!
วิชายุทธ์นี้มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้าขึ้นไปเท่านั้นถึงสามารถใช้ได้
ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลาพร้อมทั้งกังวลใจ “เขาหนีไปแล้วหรือ? เขาหนีไปเช่นนี้เกรงว่าอาจหวนกลับมาอีก!”
กู้ซีจิ่วชมละครผ่านป้ายหยกก็เบิกตากว้างเช่นกัน “เขาปกปิดวรยุทธ์ได้ล้ำลึกนัก! ไม่น่าจะว่าจะบรรลุขั้นเก้าแล้ว!”
ตี้ฝูอีก็มองตำหนักอยู่เช่นกัน “ใช่แล้ว ซ่อนเร้นไว้ลึกล้ำนัก!”คนที่สามารถปิดบังสายตาของเขามาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้หาได้ยากจริงๆ…
กู้ซีจิ่วรอชมต่อไป ตี้ฝูอีถามนางด้วยรอยยิ้ม “เขาหนีไปแล้วเจ้าไม่กังวลใจหรือ?”
กู้ซีจิ่วย้อมถามเขา “ในเมื่อท่านเตรียมการไว้ล่วงหน้ามากมายปานนี้ ใต้ดินจะมีช่องโหว่อีกหรือ? ถึงเขาเป็นวิชาดำดินก็หนีไม่รอดอยู่ดีกระมัง? ใต้ดินย่อมมีคนคอยเขาอยู่เป็นแน่”
“ฉลาดมาก! เช่นนั้นเจ้าลองเดาสิว่าคนที่รอเขาอยู่ใต้ดินคือผู้ใด?”
“อาจารย์ใหญ่กู่ไม่ก็ทูตสวรรค์ฝ่ายขวา!”
ตี้ฝูอีนิ่งงัน
เขาถอนหายใจ จูบหน้าผากนางอย่างห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ “ซีจิ่ว บางครั้งเจ้าก็ฉลาดจนน่ากลัวจริงๆ!”
กู้ซีจิ่วเม้มปากยิ้มแวบหนึ่ง ภูมิใจยิ่งนัก “ข้าจะถือว่าท่านชมข้าก็แล้วกัน สามารถเป็นคู่หมั้นของท่านได้จะเป็นคนโง่งมไปได้อย่างไรเล่า? มิเช่นนั้นคงถูกท่านขายไปหลายสิบตลบแล้ว!”
เธอมองดูตำหนักอีกครั้งถอนหายใจออกมา “สานุศิษย์สวรรค์ทั้งห้าออกโรงแล้วสามท่าน ผนวกกับเทวทูตทั้งสี่และอาจารย์ใหญ่กู่ ยอดฝีมือผู้ล้ำเลิศเหล่านี้ปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา ต่ให้คนผู้นี้มีฝีมือเพียงใดก็เกรงว่าจะหนีไม่รอดเสียแล้ว!” มิน่าล่ะตี้ฝูอีถึงชมละครอย่างผาสุกถึงเพียงนี้มาตลอด
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ ทว่านัยน์ตากลับมีแววเฉียบคมพาดผ่าน “ในเมื่อจะจับกุมเขาทั้งทีย่อมต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น”
กู้ซีจิ่วครุ่นคิด “ข้ารู้สึกว่าหรงเช่อหยั่งรากอยู่ในเมืองหลวงมาเนิ่นนานเพียงนี้ น่าจะมีลูกน้องอยู่ไม่น้อยกระมัง? ยามนี้ประสบภัยเหตุใดเขาจึงไม่เรียกลูกน้องของเขามาเล่า?”
“ในกองทหารรักษาพระองค์มีอยู่สิบคน สนมนางในสิบสองคน ขันทีแปดคน ขุนนางระดับสูงในราชสำนักหกคน เถ้าแก่ร้านค้าในหัวเมืองชั้นในสามสิบหกคน ขุนพลกองทหารพิทักษ์อาณาจักรห้านาย พลทหารหนึ่งร้อยยี่สิบนาย…” ตี้ฝูอีร่ายจำนวนออกมาทันที
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวคราหนึ่งมองกดูเขา “คนเหล่านี้เป็นลูกน้องเขาอย่างลับๆ มิใช่หรือ? นึกไม่ถึงว่าท่านจะทราบชัดเจนปานนี้! เห็นทีว่าลูกน้องลับๆ เหล่านี้ของเขาจะถูกลากตัวออกมาแล้วเหมือนกันสินะ?”
ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ “แน่นอน ยามที่หรงเช่อเข้าวังมาสนทนากับจักรพรรดิอย่างอบอุ่นตามประสาครอบครัว คนที่อยู่ด้านนอกก็ลงมือแล้ว ยามนี้ทั้งถูกจับกุมไว้แล้วไม่มีหลุดรอดไปได้สักคน”
กู้ซีจิ่วชมเชยจากใจจริง “เต๋าหนึ่งฉื่อ มารหนึ่งจั้งโดยแท้!”
ตี้ฝูอีตีนางทีหนึ่ง “โง่งม มารหนึ่งฉื่อ เต๋าหนึ่งจั้ง[1]ต่างหาก!”
ขณะที่กู้ซีจิ่วคิดจะโต้แย้งเขาหลายประโยค จู่ๆ ก็เบิกตามองป้ายหยกทันที “จะโผล่มาแล้ว!”
ใต้พื้นตำหนักมีเสียงกึกก้องแว่วขึ้นมา ทำให้ตำหนักทั้งหลังสั่นสะเทือนไปหมด
เกิดเสียงดัง ‘ปัง!’ พื้นสั่นไหวคล้ายจะจะแตกร้าว เงาร่างสายหนึ่งผุดขึ้นมา จากนั้นก็พลิ้วกายร่นลงบนพื้น
เป็นหรงเช่อ!
เห็นได้ชัดว่าเขาโดนซุ่มโจมตีที่ด้านล่าง เสียเปรียบอยู่บ้าง ร่างกายมอมแมมเล็กน้อย สีหน้าก็ค่อนข้างซีดเซียว
ทูตส่างซั่นยิ้มนิดๆ มองดูเขา “เตะถูกแผ่นเหล็กที่ด้านล่างมาหรือ? ฝาครอบเหล็กไหลของอาจารย์ใหญ่กู่เป็นของที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ประทานให้เชียวนะ อย่าว่าแต่กายเนื้อร่างนี้ของเจ้าเลย ต่อให้ร่างกายเจ้าเป็นยอดเพชรก็ไม่อาจเจาะให้เกิดรูเล็กๆ สักรูได้”
หรงเช่อเงียบงัน
ใต้พื้นมีอาจารย์ใหญ่กู่กับทูตสวรรค์ฝ่ายขวา ด้านบนมีเชียนเยวี่ยหร่านกับฮวาอู๋เหยียน สี่ทิศมีจตุรทูต คนเหล่านี้ไม่ว่าจะสุ่มเลือกนใดออกมาสักคนล้วนเป็นบุคคลที่กระทืบเท้าหนึ่งคราโลกาสะเทือนสามหนทั้งสิ้น ยามนี้กลับมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 1042 คนผู้นี้คือคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขา!
คนทั้งหลายล้วนเชื่อมั่นในจุดนี้ สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องอยู่ที่ร่างของหรงเช่อ บางคนทำใจกล้าตะคอกถามเขาทันที “สรุปแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?!”
และมีบางคนคล้อยตาม “ไม่จำเป็นต้องถามเขายามนี้ ประเดี๋ยวนำตัวเขาไป ย่อมไต่สวนถึงบรรพชนแปดรุ่นของเขาได้”
หรงเช่อถอนหายใจหนักๆ คลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เยี่ยมมาก! ไม่นึกเลยว่าตาเฒ่าอย่างเทพศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนคนมาลงมือมากมายในคราวเดียว! เพียงแต่เกรงว่าคงจับข้าไม่ได้อยู่ดี!” ร่างกายเอนลงไปด้านล่างทันใด!
สีหน้าตี้ฝูอีพลันแปรเปลี่ยน “แย่แล้ว!”
รอบกายหรงเช่อระเบิดวงแสงห้าสีออกมา ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังก้อง หยาดโลหิตนับไม่ถ้วนกระฉูดไปทั่วทิศปานพายุฝน!
เกิดเสียงดังซ่าๆ เสมือนสายฝนกระทบบานหน้าต่าง กระฉูดใส่เขตแดนที่ล้อมรอบโดยตรง…
เขตแดนสีเขียวที่แข็งแกร่งทนทานถึงเพียงนั้นแม้กระทั่งดาบที่คมที่สุดก็ไม่อาจฟันให้ขาดได้ถูกกัดเซาะจนเกิดรูกลมๆ นับไม่ถ้วนในระยะเวลาชั่วพริบตา ตามมาด้วยเสียงแตกร้าว!
และลำแสงห้าสีสายหนึ่งได้ห่อหุ้มเงาร่างเลือนรางสายหนึ่งผุดวาบออกไปตรงรอยแตก ยามฝูงชนไล่ตามออกมา เงาร่างที่เปล่งแสงห้าสีนั้นก็หายไปแล้ว
เงาร่างนั้นราวกับภาพหลอน ท่าร่างก็รวดเร็วเหลือเกิน หายไปในชั่วพริบตา ฝูงชนเห็นแทบไม่ชัดว่าเงาร่างนั้นสรุปแล้วมีลักษณะอย่างไร…
“วิชามารสวรรค์สลายร่างสละกาย!” ตี้ฝูอีเพ่งสายตามองสถานการณ์ในตำหนัก ภายในตำหนักไม่มีเงาร่างของหรงเช่อแล้ว ทว่ามีเลือดเนื้อมากมายเละเทะกระจัดกระจายปานเมล็ดข้าว….
เห็นได้ชัดยิ่งนัก คนผู้นั้นละทิ้งกายเนื้อของหรงเช่อ ใช้วิชาพิเศษอย่างหนึ่งระเบิดกายหยาบให้กลายเป็นอาวุธทำลายเขตแดน จากนั้นก็หลบหนีไปด้วยกายละเอียด!
กายละเอียดของคนธรรมดาล่องลอยไม่แน่ไม่นอน ถึงขั้นที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ สำหรับผู้บำเพ็ญที่ฝึกฝนพลังวิญญาณจนบรรลุขั้นเก้าแล้ว จะสามารถถอดกายละเอียดออกจากสังขารได้ แต่ก็เป็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้น ไม่อาจคงรูปได้ แต่กายละเอียดของคนผู้นี้กลับคงรูปได้ อย่างน้อยพลังวิญญาณของเขาก็ต้องบรรลุขั้นสิบแล้ว!
คนผู้นี้สิถึงจะเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังตัวจริง! ความสัมพันธ์ของเขากับหลงฟั่นน่าจะมิใช่การร่วมมือกัน แต่เป็นความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับลูกน้อง เกรงว่าหลงฟั่นจะรับใช้เขาเสียแล้ว
ประกายแสงห้าสีที่ผสมปนเปกันดั่งแสงสายัณห์ วิชามารสวรรค์สลายร่างสละกาย ผมขาว…
ทุกสิ่งคล้ายจะยืนยันเรื่องหนึ่งได้แล้ว คนผู้นี้เป็นมารสวรรค์! นึกไม่ถึงเลยว่าสุดม้ายแล้วจะมีมารสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นบนโลกนี้…
มิน่าเล่าเขาถึงสามารถหนีออกจากเขตแดนสยบมารที่สี่ทูตติดตั้งได้ มิน่าเล่าเขาถึงสิงอยู่ในร่างของหรงเช่อได้โดยไม่ถูกผู้ใดสังเกตเห็น ที่แท้เป็นมารสวรรค์จุติมา
ตี้ฝูอีหรี่ตาลงนิดๆ คนผู้นี้คือคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขา!
ไม่ว่าจะวรยุทธ์ สติปัญญา แม้กระทั่งพลังวิญญาณ ล้วนดูเหมือนจะไม่ด้อยกว่าเขาไปสักเท่าไหร่
ถึงแม้คนผู้นี้จะเคลื่อนไหวว่องไวยิ่งนัก แต่กู้ซีจิ่วที่จับตามองป้ายหยกอยู่ตลอดสายตาดีจนน่าตะลึง เธอมองรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นออกรางๆ
ผมขาว อาภรณ์เขียว เรือนกายสูงชะลูด รูปโฉมงดงามล้ำเลิศ เครื่องหน้ายิ่งมีแนวโน้มว่าจะทรงเสน่ห์ ถึงแม้จะเหลือบมองเพียงแวบเดียว กลับทำให้ผู้คนจดจำอย่างล้ำลึก!
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “สรุปแล้วคนผู้นี้คือใครกัน? เขาหนีไปเช่นนี้ คาดว่าภายหน้าเม่อหวนกลับมาคงจะล้างแค้นทุกคนจนถึงที่สุด”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “เขาคือมารสวรรค์ วางใจเถอะ วิชาสลายร่างชนิดนี้ที่เขาใช้ถึงแม้จะหลบหนีไปได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บถึงพลังชีวิต คาดว่าจะฟื้นฟูไม่ได้ไประยะหนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ไม่อาจก่อเหตุได้อีก”
ตนจะต้องรีบฟื้นฟูสู่สภาพเดิมเป็นการด่วน คนผู้นี้คนอื่นไม่มีทางต่อกรได้ ต่อให้ฝืนใช้ยุทธการคลื่นมนุษย์เข้าจับเขา ก็ไม่อาจทำให้เขาสิ้นชีพจริงๆ ได้
มีเพียงเทพอย่างเขาต้องลงมือเองเท่านั้น ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เขาหายไปอย่างถาวร!
————————————————————————————-
[1] มารหนึ่งฉื่อ เต๋าหนึ่งจั้ง เปรียบได้กับสุภาษิตไทยที่ว่า ธรรมมะย่อมชนะอธรรม