ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1101+1102
บทที่ 1101 เธอจึงลงเดิมพันกับตานี้!
หัวใจหลงซือเย่บีบรัดคราหนึ่ง ไม่ว่าเธอจะสูญเสียความทรงจำหรือไม่ ก็ไม่เชื่อใจเขาอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เธอเชื่อใจเขาได้อีกแล้วจริงๆ…
หลงซือเย่พันแผลบนข้อมือข้อเท้าของตนไปพลาง เอ่ยไปพลาง “ไม่เชื่อฉันก็ไม่เป็นไร อันที่จริงฉันก็อยากหนีออกไปเหมือนกัน ไม่สู้พวกเรามารวมมือกันดีกว่า”
กู้ซีจิ่วไม่ได้ตอบรับหรือบอกปัด เพียงเลิกคิ้วมองเขา
เธอไม่เชื่อใจเขาจริงๆ แต่หลังจากเธอได้ยินบทสนทนาของหลงซือเย่กับโม่เจ้าเมื่อครู่นี้ ในใจก็ระจางขึ้นมารางๆ แล้วว่าหลงซือเย่ถูกควบคุมถึงได้ทำแบบนี้
แน่นอนว่านี่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่เขาทั้งสองไม่ได้เล่นละครให้เธอดู
ความเป็นไปที่จะเป็นการเล่นละครมีไม่มาก ต่อให้สิ่งที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดจะเป็นการแสดง แต่กลับมีประโยคหนึ่งในนั้นที่เป็นความจริง โม่เจ้ารู้แล้วว่าเหยียนนั่วก็คือตี้ฝูอี!
ส่วนตี้ฝูอีก็ยังไม่ฟื้นฟูสู่สภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ ซ้ำยังมีไส้ศึกคนหนึ่งของศัตรูอยู่ข้างกายด้วย…
ข้อนี้ทำให้กู้ซีจิ่วร้อนใจดั่งไฟผลาญ เดิมทีเธอคิดว่าหลังจากทำความเข้าใจที่นี่อย่างสมบูรณ์แล้ว ค่อยหาทางหนีออกไป แต่ยามนี้กลับไม่อาจสุขุมเยือกเย็นได้แล้ว เธอจะต้องออกไปทันที!
ก่อนหน้านี้เธอเห็นโม่เจ้าระดมพลยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งนั่งเรือพิสดารลำนั้นออกไปแล้ว
ครั้งนี้โม่เจ้าคงคิดจะสังหารตี้ฝูอีให้ได้ในคราวเดียว ดังนั้นผู้คนที่พาไปจึงไม่น้อยเลย ยอดฝีมือของที่นี่ลดลงไปถึงสองในสามส่วน เหลือยอดฝีมือไว้เพียงหนึ่งสามและหลงฟั่นที่ประจำการอยู่ที่นี่
นี่เป็นโอกาสหลบหนีเพียงหนึ่งเดียวของเธอ
แต่ลำพังตัวเธอถึงอย่างไรก็หัวเดียวกะเทียมลีบ อาศัยกำลังของเธอคนเดียวไม่อาจหนีออกไปได้ ดังนั้นเธอจึงนึกถึงหลงซือเย่…
หลงซือเย่ไว้ใจไม่ได้ แต่เธอก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว อีกอย่างในจิตใต้สำนึกของเธอก็ไม่อยากเห็นหลงซือเย่ถูกผู้อื่นทารุณเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้จึงช่วยเขา…
เธอไม่ได้เผยเรืองที่ตนยังมีความทรงจำอยู่ เช่นนี้ต่อให้เรื่องของหลงซือเย่จะเป็นการหยั่งเชิงเธอ ก็ขวางอะไรเธอไม่ได้
เธถ้าเธอร่วมมือกับหลงซือเย่โอกาสที่จะหนีออกไปได้ก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน ในเมื่อเป็นผลร้ายทั้งสองทางเช่นนั้นก็เลือกทางที่มีผลเสียน้อยที่สุดก็แล้วกัน ดังนั้นเธอจึงลงเดิมพันกับตานี้!
ในช่องมิติลับของหลงซือเย่มียาสมานแผลที่ดีที่สุดอยู่ หลังจากเขาทาเสร็จพันแผลสองสามรอบก็เรียบร้อยแล้ว “ถึงแม้ฉันจะไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศของที่นี่ แต่สถานที่แห่งนี้หลงฟั่นเป็นผู้จัดแจง เมื่อก่อนฉันเคยเป็นลูกมือให้เขา ดังนั้นจึงทราบลู่ทางบางส่วน ที่นี่มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่ ต้องทำลายกล้องวงจรปิดพวกนี้ทิ้งก่อน…” หลงซือเย่เริ่มพูดคุยถึงแผนการหลบหนี อันที่จริงแผนนี้ก็ไม่ต่างจากที่กู้ซีจิ่วคิดไว้เลย…
ดังนั้นทั้งสองคนจึงแยกกันออกปฏิบัติการ
เมื่อก่อนทั้งสองก็ร่วมมือกันอยู่บ่อยๆ แทบจะเรียกได้ว่าอีกฝ่ายส่งสัญญาณส่งสายตาคราหนึ่งก็ทราบแล้วว่าขั้นต่อไปควรทำอะไร
วิชาเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว ก่อนจะไปหาหลงซือเธอตระเวนดูที่นั่นรอบหนึ่งแล้ว
ช่วงนี้หลงฟั่นกำลังทำการวิจัยร่างโคลนของโม่เจ้าในขั้นสุดท้ายอยู่ ซ้ำยังต้องคำนวณข้อมูลบางอย่าง จึงไม่มีเวลามาสนใจเธอ
หลังจากกู้ซีจิ่วพูดคุยกับเขาสองสามประโยค ก็ขโมยป้ายคำสั่งชินหนึ่งที่เขาซ่อนไว้ในแขนเสื้อออกมา
ป้ายคำสั่งนี้เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับโดยสารเรือประหลาดลำนั้น มิเช่นนั้นไม่มีทางเปิดใช้ได้
หลังจากออกมาก็ไปที่ห้องสังเกตการณ์ ในห้องสังเกตการณ์มีผู้คุ้มกันคอยจับตามองอยู่สองคน
เนื่องจากตำหนักใต้ดินใหญ่โต จอรับภาพก็มีมากมาย ผู้คุ้มกันทั้งสองที่คอยจับตามองจอแก้วค่อนข้างเหนื่อยล้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้จับตามองอย่างถี่ถ้วนขนาดนั้น เพียงกวาดตามองผ่านๆ สักพักหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองถึงขั้นที่สนทนาสัพเพเหระกันอย่างสนุกสนานยิ่งนักอยู่ที่นั่น
ตอนที่กู้ซีจิ่วเข้าไปพวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย ถึงอย่างไรระยะนี้เธอก็มาเดินเตร็ดเตร่อยู่บ่อยๆ แถมยังใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านเจ้าและผู้อาวุโสหลงด้วย ผู้คุ้มกันของเขาจึงไม่กล้ายุแหย่หาเรื่องเธอ ถึงขั้นที่ค่อนข้างประจบเอาใจเธอด้วยซ้ำ
ดังนั้นหลังจากพูดคุยกับเธอไม่กี่ประโยค ก็กลับไปคุยโม้กันอีกครั้ง
กู้ซีจิ่วเดินเล่นคล้ายเดินเตร่ไปเรื่อยอยู่ในห้องรอบหนึ่ง จากนั้นก็สลับจอภาพในจุดสำคัญหลายแห่งให้อยู่ในโหมดกรอซ้ำ…
——————————————————————-
บทที่ 1102 จากนั้นก็เปลื้องผ้าพวกเขา…
เธอทำเรื่องนี้ด้วยฝีมือที่ว่องไวยิ่ง สงคนนั้นไม่มีทางสังเกตเห็นได้
สายตาของเธอร่อนลงมุมอับจุดหนึ่งของห้องสังเกตการณ์ เธออยู่ในตำหนักใต้ดินมาสี่วันแล้ว คุ้นเคยกับภูมิประเทศทั้งหมดตั้งนานแล้ว ในห้องสังเกตการณ์แห่งนี้แทบจะจะอำนวยในสังเกตเห็นทั่วทั้งตำหนักใต้ดินแล้ว มีเพียงจุดเดียวที่ไม่มี
ตอนที่เธอเดินเตร่อยู่ในตำหนักใต้ดินได้เห็นกับตาว่ามีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงประหลาดหลังหนึ่งอยู่ในละแวกชีพจรดิน รูปร่างค่อนข้างคล้ายกับปิรามิด สุดปลายยอดฝังผลึกสีม่วงเม็ดหนึ่งไว้ ทั้งหกด้านลาดเอียงเกี่ยวล้อมเข้าหากัน กลายเป็นผลึกทรงเว้าอันหนึ่ง ดูราวกับบุปผาแย้มบาน ทว่าเผยให้เห็นความประหลาดเล็กน้อย
กู้ซีจิ่วศึกษาศาสตร์ด้านพลังงานมาบ้าง สิ่งลูกสร้างทรงปิรามิดเดิมทีก็มีความสามารถในการรวบรวมพลังงานอยู่แล้ว ส่วนผลึกก็เป็นบ่อพลังงาน อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างนี้อยู่ตรงใจกลางของตำหนักใต้ดินแห่งนี้ เป็นจุดที่พลังงานจากชีพจรดินทั้งเส้นมารวมตัวกัน…
ปิรามิเป็นสุสานฝังศพของฟาโรห์ เช่นนั้นภายในสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับปิรามิดฝังผลึกที่อยู่เบื้องหน้าหลังนี้ ซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่?
เป็นจุดเดียวในห้องสังเกตการณ์แห่งนี้ที่ไม่มีการจับตามองตรงจุดนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่อยู่ด้านในเป็นความลับสำหรับลูกน้องเหล่านี้เช่นกัน คืออะไรกันนะ?
กู้ซีจิ่วนึกโยงไปถึงตอนที่ตนเคยทะลุผ่านร่างของโม่เจ้า เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าถึงแม้ยามปกติเขาจะดูเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง แต่กลับเป็นร่างจิตร่างหนึ่ง…
ร่างของหรงเช่อที่เขาพักพิงอยู่ระเบิดไปแล้ว…
เธอนึกถึงบทสนทนาของโม่เจ้ากับหลงซือเย่ที่ได้ยินมา เขาบอกว่าอีกสิบวันข้างหน้าจะครองคู่กับตนได้ ด้วยสภาพของร่างจิตย่อมไม่สามารถครองคู่ได้ มีเพียงต้องใช้ร่างกายจริงๆ เท่านั้นถึงจะทำได้…
ข้ออนุมานที่อาจหาญอย่างหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในสมองของกู้ซีจิ่ว…หรือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในปิรามิดจะเป็นร่างเดิมของโม่เจ้า?! เป็นประเภทที่สามารถฟื้นคืนชีพได้อย่างนั้นหรือ?
นัยน์ตาเธอวูบไหวเล็กน้อย โม่เจ้าผู้นี้จิตใจทะเยอทะยาน ไม่มีร่างกายพลังวิญญาณยังสูงส่งไถึงระดับนี้ หากปล่อยให้เขามีร่างกายที่เหมาะสมกับพลังวิญญาณของเขาได้ เช่นนั้นมิใช่ว่าจะยิ่งกำเริบเสิบสานไปกันใหญ่หรอกหรือ?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอจะต้องหาทางทำลายมันซะ!
เธอเคลื่อนย้ายไปยังจุดที่นัดหมายกับหลงซือเย่ไว้ พบว่าหลงซือเย่ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
เขาสังหารคนในตำหนักใต้ดินสองคน จากนั้นก็เปลื้องผ้าพวกเขา…
ตอนที่กู้ซีจิ่วตามไปสมทบก็เห็นสองคนนั้นนอนไร้ลมหายใจอยู่ตรงนั้นแล้ว
กู้ซีจิ่วรู้จักสองคนนี้ แถมยังเคยคุยกับสองคนนี้สองสามประโยคด้วย นับว่าเป็นยิดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือภายในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ ฝึกฝนพลังวิญาณจนบรรลุขั้นเจ็ดแล้ว เป็นลูกน้องของโม่เจ้า จงรักภักดีต่อโม่เจ้ายิ่งนัก
โม่เจ้านำผู้คนออกไปครานี้ ได้ทิ้งสองคนนี้ไว้รักษาการณ์ พวกเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่
กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าหลงซือเย่จะจับกุมสองคนนี้ได้ในคราวเดียว ความแคลงใจตัวเขาจึงลดลงเล็กน้อย
เอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ประโยคหนึ่ง “ทำไมถึงเป็นพวกเขา? ฉันนึกว่าคุณจะหาผู้คุ้มกันธรรมดาๆ มาสองคน…”
“สองคนนี้ควบคุมการโยกย้ายระดมผลผู้คุ้มกันทั้งหมดในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ ฆ่าพวกเขาเสียก่อนก็เป็นการเผื่อไว้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อพวกมารไม่มีผู้นำ พวกเราจะหนีออกไปได้ง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือเธอไม่รู้สึกเหรอว่าคนหนึ่งในพวกเขาขนาดตัวไม่ต่างกับเธอเท่าไหร่?”
กู้ซีจิ่วโล่งอก หลงซือเย่คนนี้ไม่เสียทีที่เคยเป็นครูฝึกในค่ายนักฆ่า ความคิดในด้านนี้ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก พิจารณาถึงทุกด้าน
มีคนผู้นี้เป็นเพื่อนร่วมงานช่างทำให้คนวางใจได้อย่างไร้ข้อกังขา เงื่อนไขแรกคือเขาต้องไม่วางแผนหักหลังคุณ…
กู้ซีจิ่วระงับความคิดที่สับสนวุ่นวายของตน เธอเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม อีกทั้งอุปกรณ์แปลงโฉมของหลงซือเย่ก็ครบครัน ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองก็แปลงโฉมจนเหมือนหัวหน้าสองคนนี้แล้ว
——————————————————————-