ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1147+1148
บทที่ 1147 อยากโผเข้าไปในอ้อมอกของเขาขึ้นมาวูบหนึ่ง!
หลังจากเธอได้รับลูกกลอนสุรภีเข้าไป ทุกครั้งที่เห็นเขาคล้ายมองเห็นอาจมกองหนึ่ง ถอยหนีไปทันที บนดวงหน้ามีความรู้สึกรังเกียจเขียนไว้อย่างชัดเจน ทำให้หลงฟั่นเจ็บปวดเป็นพิเศษ
ถอยหลังไปไม่กี่ก้าว มองกู้ซีจิ่วอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพลันกิดความรู้สึกชั่ววูบขึ้นมา อยากจะถอนพิษลูกกลอนสุรภีให้เธอ…
….
หลงฟั่นกลับไปที่ห้องวิจัยของตน คิดจะค้นหาตัวยาบางอย่างมาปรุงโอสถแก้พิษลูกกลอนสุรภี
เขามีตัวยาพรั่งพร้อมครบครันอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะผสมโอสถใดล้วนเป็นเรื่องที่สะดวกง่ายดายนัก ยามที่เขาวัตถุดิบสำหรับผสมยาแก้พิษลูกกลอนสุรภีเจอ จู่ๆ ก็พบว่าวัตถุดิบเหล่านั้นดูเหมือนจะลดลงเล็กน้อย หรือจะถูกขโมยไป?
เขานวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าข้อนี้ไม่น่าเป็นไปได้
ยาพิษชนิดนี้พบเห็นได้ยาก บนโลกนี้คนที่รู้จักโอสถชนิดนี้มีน้อยยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงวิธีปรุงยาถอนพิษเลย
อีกอย่างการคุ้มกันของตำหนักใต้ดินในยามนี้ก็หนาแน่นปานถังเหล็ก ไม่มีทางที่คนนอกจะแทรกซึมเข้ามาได้ และไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาขโมยวัตถุดิบยาถอนพิษในห้องวิจัยที่ปิดไว้อย่างหนาแน่นของเขาได้
บางทีสองวันมานี้เขาน่าจะทำวิจัยต่อเนื่องกันจนโง่งมไปหน่อยแล้ว เป็นไปได้ว่าอาจจะจำผิด
เขาตรวจสอบจอสังเกตการณ์ครู่หนึ่ง ไม่พบความผิดปกติในจอสังเกตการณ์ ถึงได้คลายใจ
….
กู้ซีจิ่วกำลังฝัน
ในฝันมีหมอกหนามืดฟ้ามัวดิน แบบที่มีคนอยู่ตรงหน้าก็มองไม่เห็น
ในความฝันเธอกำลังเดินอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ในจิตใต้สำนักคล้ายกำลังตามหาบางสิ่งอยู่ ทว่านึกไม่ออกชั่วขณะว่าท้ายที่สุดแล้วกำลังตามหาอะไรกันแน่
หมอกนั้นหนาเกินไป เธอมองอะไรไม่เห็นเลย คล้ายว่าในโลกนี้มีเพียงตัวเธอผู้เดียว
นี่ทำให้เธอร้อนรนอยู่บ้าง ขณะที่กำลังงุนงงอยู่ ทันใดนั้นเบื้องหน้าคล้ายจะมีแสงสว่างเลือนรางสายหนึ่ง เธอไล่ตามไปตามสัญชาตญาณ หมอกหนาเบื้องหน้ากระจายออกไป เธอจึงมองเห็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างนั้น
ดูเหมือนตรงนั้นจะมีสะพานข้ามแม่น้ำอันเล็กๆ อยู่ และบนสะพานมีคนที่แผ่แสงสีรุ้งอ่อนจางออกมากำลังตกปลาอยู่ตรงนั้น
คนผู้นั้นแต่งตัวเหมือนอยู่บ้านยิ่งนัก ผ่อนคลายยิ่ง สวมเสื้อคลุมสีม่วงพราวระยับที่แทบจะลากระพื้นแล้ว ยืนอยู่ตรงนั้นเสมือนภาพเงา ทำให้วันที่มีหมอกหนาขาวโพลนคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมา
ฉากนี้ดูคุ้นตาอย่างไม่มีสาเหตุ และทำให้หัวใจที่ค่อนข้างร้อนรนของเธอสงบลง
เธอเดินเข้าไป ในที่สุดก็มองเห็นรูปโฉมของคนผู้นั้นชัดเจนแล้ว เธอจำได้ “เป็นเจ้า!”
คนผู้นั้นหันมา รูปโฉมงดงามล่มเมือง แฝงบุคลิกเอ้อระเหยลอยชายไว้ “เป็นข้าเอง…ซีจิ่ว เจ้าตกปลาเป็นไหม?”
กู้ซีจิ่วรู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าตนเองตกเป็น ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้า “เป็น”
คนผู้นั้นยื่นคันเบ็ดให้ถึงมือเธอทันที “มาสิ ช่วยข้าตกสักตัว”
กู้ซีจิ่วรับคันเบ็ดไปมองแวบหนึ่ง รู้สึกหมดคำพูด “เจ้าใช้ตะขอเปล่าๆ แบบนี้ แล้วจะตกปลาได้อย่างไร?”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ความรู้สึกที่ราวกับสถานการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
คนผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ “เพราะข้าอยากเป็นเจียงไท่กง”
กู้ซีจิ่วเผลอตอบออกไปอย่างคล่องปาก “แต่ปลาพวกนี้ไม่ใช่อ๋องโจวเหวิน…”
ยามนี้ร่างของเธอและเขายืนใกล้กันยิ่งนัก ใกล้จนขอเพียงเธอยื่นมือออกไปก็สามารถสัมผัสเขาได้
เธอดมร่างเขาอย่างค่อนข้างประหลาดใจ กลิ่นหอมเย็นจางๆ ทำให้เธอปลอดโปร่งผ่อนคลาย และทำให้เธออยากโผเข้าไปในอ้อมอกของคนผู้นี้
“ประหลาดนัก ตัวเจ้าไม่เหม็นแล้ว” เธอพึมพำ
คนผู้นั้นยิ้มแวบหนึ่ง เขยิบไปอยู่ข้างกายเธออย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่เจ้าได้กลิ่นเหม็นเป็นเพราะประสาทการรับกลิ่นของเจ้ามีปัญหา อันที่จริงข้าตัวหอมยิ่งนักเสมอมา…”
กู้ซีจิ่วร้องชิคราหนึ่ง “เจ้าช่างหลงตัวเองนัก ชายชาตรีคนหนึ่งหอมจรุงใจถึงเพียงนี้จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจเพศของเจ้าผิดเอา”
คนผู้นั้นเลิกคิ้ว “เจ้าเห็นข้าเหมือนสตรีหรือ?”
กู้ซีจิ่วมองขนตาของเขา “เจ้างดงามมาก…”
คนผู้นั้นเลิกคิ้วสูงยิ่งกว่าเดิม “งดงาม? เจ้าแน่ใจหรือ?”
————————————————
บทที่ 1148 ข้าชอบที่เจ้าเรียกข้าเช่นนี้
กู้ซีจิ่วมองเขาอีกครั้ง “แต่อย่างไรก็ไม่เหมือนสตรี”
คนผู้นั้นยิ้มออกมาแล้ว ขนงเนตรทรงเสน่ห์ “เดิมทีข้าก็มิใช่สตรีอยู่แล้ว เด็กน้อย บรรยายถึงรูปโฉมบุรุษควรใช้ถ้อยคำจำพวกหล่อเหลาสง่างาม คำว่างดงามไม่พียงพอจะใช้บรรยายถึงตัวข้า…”
กู้ซีจิ่วที่ถูกเรียกว่าเด็กน้อยใจเต้นแรงแวบหนึ่ง หากว่าผู้อื่นมาเรียกเธอเช่นนี้ เธอคงประเคนฝ่ามือใส่นานแล้ว แต่พอเป็นเขาที่เรียกเธอเช่นนี้ เธอกลับรู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“ทำไมเจ้าเรียกข้าแบบนี้?” เธอในยามนี้เป็นคนที่นึกจะถามก็ถามออกมาเลย “เป็นเพราะรู้สึกว่าสติปัญญาข้าไม่ดี เหมือนเด็กน้อยใช่หรือไม่?”
“ไม่เลย ซีจิ่วฉลาดเป็นที่สุดเสมอมา สติปัญญาเลิศล้ำยิ่ง ผู้ใดก็เทียบไม่ติดข้าเรียกเจ้าเช่นนี้เพราะนี่เป็นชื่อเฉพาะที่ข้าใช้เรียกเจ้า และเจ้าก็อนุญาตให้ข้าเท่านั้นที่เรียกเจ้าเช่นนี้ได้” คนผู้นั้นยิ้มละไม ทว่าสุ้มเสียงกลับจริงจัง
หัวใจของกู้ซีจิ่วอุ่นวาบคันยุบๆ ยิบๆ ดวงตาหยีโค้ง เขยิบเข้าไปใกล้เข้าอีกหน่อยอย่างอดใจไม่อยู่ “อื้อ ถ้างั้นเจ้าก็เรียกเช่นนี้เถอะ” แล้วเสริมอีกประโยคด้วยเสียงเล็กๆ “ข้าชอบที่เจ้าเรียกข้าเช่นนี้”
ต่อให้เป็นเด็กน้อยก็ทราบชัดเจนว่าผู้ใดดีต่อนางด้วยใจจริง นับประสาอะไรกับกู้ซีจิ่วเล่า?
ต่อให้นางไม่มีความทรงจำใดๆ แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนฉลาด ใครดีต่อเธอด้วยใจจริง ใครดีต่อเธอเพียงฉากหน้า เธอยังคงแยกแยะได้
หลายวันมานี้ถึงแม่โม่เจ้าจะอยู่ข้างกายเธอบ่อยๆ ถึงขั้นที่บอกว่าเธอคือว่าที่ภรรยา ซ้ำยังพูดจาเป็นห่วงเป็นใยเธอ แต่เธอยังคงสัมผัสได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายดูแคลนเธอ มองเธอเหมือนเด็กน้อย…
หลงฟั่นผู้นั้นก็เช่นกัน เห็นเธอเปรียบเสมือนวัตถุอย่างหนึ่ง ต่อให้เป็นวัตถุล้ำค่าที่สุดก็ยังเป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่งอยู่ดี
มีเพียงคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ที่ดีต่อเธอด้วยใจจริง ทราบว่าเธอหวาดกลัวที่ต้องอยู่ในหมอกหนาจึงมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ซ้ำยังพาเธอเดินดูรอบๆ ด้วย
ตอนที่พบเขาในฝันเป็นครั้งแรก เธออยากรู้อยากเห็นในตัวเขาอย่างน่าประหลาด แต่ยังคงหวาดระแวงอยู่บ้าง ถึงขั้นที่พูดจากับเขาอย่างหยาบคายไร้มารยาท แต่คนผู้ไม่ถือสาเลย ตนที่เธอกลัวเขา เขาก็ยืนคุยกับเธออยู่ห่างๆ สนทนาเป็นเพื่อนเธอ จนกระทั่งเธอตื่น…
ตอนที่พบเขาในฝันเป็นครั้งที่สอง เธอก็เปิดใจมากขึ้น และกล้าเข้าใกล้เขานิดหน่อยแล้ว
เขาก็พาเธอเดินทะลุม่านหมอก คุยเล่นกับเธอ
เดิมทีในหมอกหนาทึบแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดเลย แต่หลังจากเดินกับเขาไปเรื่อยๆ บางครั้งเธอก็ทิวทัศน์ที่กระจัดจายของสถานที่บางแห่ง ในทิวทัศน์เหล่านั้นคล้ายมีเธอมีมีคนอื่นอยู่ด้วย ถึงแม้ทิวทัศน์ที่กระจัดกระจายเหล่านั้นไม่อาจปะติดปะต่อเป็นหนึ่งเดียวได้ ถึงขั้นที่ไม่อาจมองให้ชัดเจนได้จริงๆ ทว่ากลับทำให้จิตใจเธอสั่นไหวโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เธออยากค้นหามากขึ้นอีกหน่อย
แน่นอนว่าตอนที่ค้นหาทิวทัศน์ที่แตกแยกกระจัดกระจายเหล่านั้นก็ได้พบภัยพิบัติบางอย่างที่ยากจะคาดเดาได้ล่วงหน้า อย่างเช่นจู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดโผล่ออกมาจากหมอกหนาอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นจู่ๆ เส้นทางใต้ฝ่าเท้าก็หายไปกะทันหัน กลายเป็นทะเลเพลิง บึงโคลน หน้าผาชัน…
แต่เขาก็ขวางอยู่ตรงหน้าเธอ ไม่ว่าจะพบภยันอันตรายอันใด เขาล้วนพาเธอผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัยได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเธออยู่ในม่านหมอกจึงขวัญกล้าขึ้นไม่น้อย ถึงขั้นที่ชมชอบความฝันเช่นนี้…
ครั้งนี้เธอพบเขาในความฝันเป็นครั้งที่สามแล้ว เธอสนิทสนมคุ้ยเคยกับเขามากแล้ว นั่งอยู่ข้างกายเขาตกปลาให้เขา และในขณะที่เธอกำลังตกปลาให้เขาอยู่ เบื้องหน้าก็มีภาพบางอย่างปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ปานภาพมายาที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ เธอมองเห็นฉากที่ตนนั่งตกปลากับตี้ฝูอีหลายครั้งหลายครา…
ครั้งนี้มีความก้าวหน้ามากกว่าครั้งที่แล้ว ทิวทัศน์ไม่กระจัดกระจายถึงเพียงนั้นแล้ว ถึงขั้นที่เชื่อมกันเป็นผืนแล้ว…
เธอสัมผัสได้แม้กระทั่งความจนปัญญาและความอบอุ่นจากในฉากนั้น
เธอมองดูอย่างละโมบ รู้สึกว่าทิวทัศน์นั้นแทรกซึมเข้ามาในสมองที่ว่างเปล่าของเธอแล้ว ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน
ตี้ฝูอีก็ไม่รบกวนเธอ ยิ้มน้อยๆ มองดูเธอ นิ้วมือในแขนเสื้อจรดนิ้วร่ายเคล็ดคาถาชนิดหนึ่งไว้ตลอด…
————————————————-