ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1155+1156
บทที่ 1155 เอาใจออกห่าง 2
วันมะรืนจะเป็นวันวิวาห์ของเขากับกู้ซีจิ่วแล้ว ด้วยร่างกายเช่นนี้ต่อให้วิวาห์แล้วจะทำอันใดได้?
จิตใจของโม่เจ้าว้าวุ่นยิ่งนัก แต่ไม่อาจเล่นงานหลงฟั่นได้จริงๆ
เขาย่อมเชื่อใจหลงฟั่น แต่ถ้อยคำที่ตี้ฝูอีกล่าวมาเหล่านั้นทิ้งเงามืดไว้ในเบื้องลึกของจิตใจเขา…
ยามที่เขากำลังจะก้าวพ้นประตู จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เอ่ยชื่อสมุนไพรสามชนิดออกมาอย่างรวดเร็ว “ดอกเล็บมังกร หญ้าหงสา ผลชีพจรหยาง…”
ฝีเท้าของโม่เจ้าชะงัก “หมายความว่าอย่างไร?”
ตี้ฝูอีกลับหลับตาลงแล้ว เอ่ยเรียบๆ ประโยคเดียวว่า “พูดเล่นๆ เท่านั้น”
โม่เจ้าเงียบงัน เขาร้องเฮอะคราหนึ่ง สาวเท้าก้าวจากไป ทว่าในใจกลับจดจำจำสมุนไพรสามชนิดนี้ไว้ขึ้นใจ หลังจากลับไปถึงห้องพักของตน เขาก็ลองใช้ยาของหลงฟั่นดูก่อน ผลคือ…น้ำตานองหน้า
คนเราเมื่อผิดหวังบ่อยครั้งเข้าก็จะด้านชาขึ้นไม่น้อย กลับปลอบใจหลงฟั่นอีกสองประโยคด้วย หลังจากหลงฟั่นจากไปแล้ว เขาก็สั่งคนให้เรียกลูกน้องคนหนึ่งมา คนๆ นั้นก็เข้าใจศาสตร์การแพทย์เช่นกัน วิชาแพทย์ก็ไม่เลว เพียงแต่ยังสู้หลงฟั่นมิได้…
โม่เจ้าถามลูกน้องคนนั้นเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรทั้งสามชนิด คนผู้นั้นก็มีความรู้กว้างขวาง รีบตอบทันที “ท่านเจ้า สมุนไพรสามชนิดนี้ล้วนเป็นสมุนไพรธาตุหยางที่หายากอย่างยิ่ง สามารถผลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งทรงพลัง…”
โม่เจ้าเงียบไปครู่หนึ่ง “…เท่านี้หรือ?”
ลูกน้องคนนั้นกล่าวต่อว่า “เพียงแต่ ข้าน้อยยังเคยได้ยินว่าพวกมีมีสรรพคุณอย่างหนึ่งที่หาได้ยากนัก สมุนไพรสามชนิดนี้ถ้ากินเดี่ยวๆ สรรพคุณจะเป็นไปตามที่ข้าน้อยได้กล่าวไป แต่ถ้านำมารวมกัน ได้ยินว่าสามารถรักษาอาการหยางพร่องได้…”
โม่เจ้าไม่พูดอะไรแล้ว
อันที่จริงโม่เจ้าไม่ใคร่เชื่อตี้ฝูอี เขาไว้ใจหลงฟั่นยิ่งนักมาโดยตลอด ไม่อยากสงสัยอะไรเขา
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้กลับทำให้ในใจของเขามีข้อสงสัยผุดขึ้นมารางๆ แล้ว
โดยเฉพาะตอนที่เขากลับไปแล้วแสร้งถามหลงฟั่นเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรสามชนิดนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลงฟั่นก็อธิบายแบบส่งๆ และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่สมุนไพรสามชนิดนี้สามารถรักษาอาการหยางพร่องได้
เขาไม่แสดงสีหน้าใดๆ แล้วแอบเรียกตัวลูกน้องที่รู้วิชาแพทย์คนนั้นมา ให้เขาพาคนไม่กี่คนออกไปเก็บเกี่ยวสมุนไพรสามชนิดนั้นมา
สมุนไพรสามชนิดนั้นถึงแม้จะหายาก แต่ความบังเอิญก็คือ ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเขาลูกนี้มีอยู่ เพียงแต่ในหุบเขาแห่งนั้นมีสัตว์ร้ายค่อนข้างมาก คนธรรมดาไม่กล้าย่างกรายเข้าไปก็เท่านั้น
ส่วนลูกน้องที่รู้วิชาแพทย์คนนี้กลับฝึกฝนพลังวิญญาณจนบรรลุขั้นเจ็ดแล้ว และอีกไม่กี่คนที่เขาพาไปก็ไม่มีปัญหาเลยสักนิด
เขาวางแผนไว้ดียิ่ง แต่เขาไม่ได้หารือกับหลงฟั่นเลย ผลคือหลงฟั่นที่อู่ในห้องสังเกตการณ์เห็นหมอคนนั้นกำลังพาคนออกไป…
หลงฟั่นย่อมส่งคนไปสกัดไว้ จากนั้นคนของทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบน จึงไม่มีใครยอมใคร
หมอคนนั้นบอกว่าได้รับสั่งมาจากท่านเจ้าต้องการออกไป อีกฝ่ายก็บอกว่าได้รับคำสั่งมาจากหลงฟั่น ไม่มีป้ายคำสั่งจากผู้อาวุโสหลง ผู้ใดก็ออกไปไม่ได้
ทุกคนอยู่ในสถานที่ที่แม้แต่นกก็ยังมองเมินไม่อึรดแห่งนี้มาตลอดเดิมทีก็เดือดดาลกันอยู่แล้ว หงุดหงิดได้ง่ายๆ ยามนี้ได้มีโอกาสเช่นนี้แล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง สองฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กัน!
การต่อสู้นี้ย่อมร้อนไปถึงเจ้านายของแต่ละฝ่าย หลงฟั่นกับโม่เจ้าจึงมุ่งหน้ามาในเวลาเดียวกัน
ยังไม่ทันเดินไปถึงสถานที่ต่อสู้แห่งนั้น ก็ได้ยินเสียงหมอคนนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างขุ่นคือง “ที่นี่ท่านเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด ผู้อาวุโสหลงก็ต้องเชื่อฟังท่านเจ้าเหมือนกัน! พวกเราได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าให้ออกไป เจ้ากลับไม่ยอมปล่อยให้เดินทาง เห็นท่านเจ้าอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่?!”
ในกลุ่มคนที่สกัดเขาไว้คนหนึ่งเอ่ยหยันขึ้นมามาอย่างเหลืออด “ที่นี่ท่านเจ้าย่อมเป็นใหญ่ที่สุด แต่ผู้ที่ทุกคนยอมรับนับถืออย่างแท้จริงคือผู้อาวุโสหลง! ท่านเจ้ามิได้แยแสความเป็นความตายของลูกน้องอย่างพวกเราเลย…”
————————————————————————————-
บทที่ 1156 เอาใจออกห่าง 3
ท่านเจ้ามิได้แยแสความเป็นความตายของลูกน้องอย่างพวกเราเลย แต่ผู้อาวุโสหลงกลับใส่ใจดูแล อย่างไรเสียภายในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ก็มีคนอาศัยอยู่กว่าสามร้อยคน หากถูกคนนอกบุกเข้าโจมตีเช่นนั้นก็มิใช่เรื่องขบขันแล้ว…”
คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในสามคนนั้นที่ถูกตี้ฝูอีจับเป็นตัวประกัน
คนอื่นๆ ก็พูดขึ้นมาด้วย “ใช่แล้วๆ พวกเจ้าออกไปอย่างสะดวกสบาย รอจนกลับมาแล้วต้องถูกตรวจสอบสิ ไม่แน่ว่าทุกคนอาจถูกพวกเจ้าทให้เดือดร้อน ถูกขังไว้ในห้องมืดอีกหลายวัน…”
“อย่าได้มาท่านเจ้าเช่นนั้นท่านเจ้าเช่นนี้เลย บางทีท่านเจ้าอาจไม่ได้ใส่ใจที่นี่เลยสักนิด คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่คือคนของผู้อาวุโสหลง สมควรต้องเชื่อฟังผู้อาวุโสหลงสิ”
ทุกคนเอะอะโวยวายทะเลาะต่อยตี เสียงดังโฉ้งเฉ้งครึกครื้นยิ่งนัก
หลงฟั่นหน้าเปลี่ยนสีแล้ว รีบกระโดดออกไป “หุบปาก! พูดเหลวไหลอะไรกัน?!”
จากนั้นก็พุ่งไปทำความเคารพจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล “ท่านเจ้า!”
ด้านหลังเสาต้นหนึ่ง โม่เจ้าปรากฏตัวอกมา ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านเผยตัวแล้ว คนที่กำลังรบราอยู่ย่อมหยุดมือลง
โม่เจ้ากล่าวด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “ที่แท้คำสั่งของท่านเจ้าเช่นข้าก็สู้คำสั่งจากผู้อาวุโสหลงไม่ได้สินะ เช่นนี้นี่เอง” ถึงแม้เขาจะกลาวด้วยรอยยิ้ม ทว่ายิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดงตา
หลงฟั่นกระอักกระอวน
เวลานี้ตัวเขาไหนเลยจะกล้าพูดเป็นอื่น จึงขออภัยโม่เจ้า สั่งให้ปล่อยคนไป พลางลงโทษไม่กี่คนนั้นที่พูดจากำเริบเสิบสานว่าท่านเจ้าสู้ผู้อาวุโสไม่ได้อะไรทำนองนั้นอย่างรุนแรงปด้วย พวกเขาโดนโบยคนละแปดสิบไม้…
โม่เจ้าที่สวมเสื้อคลุมสีดำดูราวกับทูตแห่งรัตติกาล มองดูด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่พูดเลยสักคำ
จวบจนหลงฟั่นลงโทษเสร็จ เขาถึงเหลือบมองไม่กี่คนนั้นที่พูดจากำเริบเสิบสานแวบหนึ่ง “ผู้อาวุโสหลงช่างมีใจเมตตาโดยแท้ เห็นทีว่าต่อให้พวกเขาทรยศข้า เกรงว่าผู้อาวุโสหลงก็คงหักใจลงโทษพวกเขาอย่างจริงจังไม่ลง”
นี่เห็นได้ชัดว่ารังเกียจที่หลงฟั่นลงโทษเบาไป หลงฟั่นจนปัญญา ตัดสินใจในทันใด สั่งให้นำไม่กี่คนนี้ไปประหารให้หมด เพื่อมิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
โม่เจ้ายิ้มบางๆ แวบหนึ่ง ตบไหล่เขาเบาๆ อย่างชื่นชมยิ่งนัก “หลงฟั่น ข้ารู้ว่าเจ้าจงรักภักดีที่สุดแล้ว”
แล้วมองไม่กี่คนที่กำลังจะถูกประหารอีกแวบ เอ่ยเสริมอย่างเฉยชาประโยคหนึ่ง “กล้าวิพากษ์วิจารณ์ความขัดแย้งของข้ากับผุ้อาวุโสหลง ต้องสงสัยว่ามีเจตนายุแยง คนที่ใจมิซื่อคิดคดเช่นนี้ เพียงแค่ประหารออกจะง่ายเกินไป…”
แขนเสื้อพลันกวัดแกว่ง ลำแสงห้าสีพุ่งวาบออกมา ครอบคลุมไม่กี่คนนั้นที่ถูกมัดไว้ทั้งหมด มีเสียงโหยหวนหลายเสียงแว่วออกมาจากในลำแสงนั้น หมอกโลหิตพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเงาเลือนรางหลายสาย
เงาพวกนั้นคือดวงวิญญาณของคนเหล่านั้น โม่เจ้าสะบัดแขนเสื้ออีกครา เกิดเสียงกรีดร้องเสียดหูดังขั้นอีกครั้งแล้วสลายไป
เห็นได้ชัดกว่าการลงมือครั้งนี้เขย่าขวัญทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนต่างอดไม่ได้ถอยหลังไป
โม่เจ้าหันกลับมามองหลงฟั่นที่หน้าซีดเผือดแวบหนึ่ง “ผู้อาวุโสหลง ข้าลงโทษเช่นนี้เจ้าไม่มีความเห็นใดกระมัง?”
หลงฟั่นย่อมไม่มีความเห็นใด เขาทำได้เพียงกล่าวว่าลงโทษได้ถูกต้อง ลงโทษอย่างเป็นธรรมแล้ว
โม่เจ้ากวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง “ทราบชัดเจนหรือยังว่าผู้ใดเป็นนายของพวกเจ้า?”
“ท่านเจ้า!”
“ย่อมเป็นท่านเจ้า” คนมากมายเอ่ยตอบ
โม่เจ้าถึงได้พอใจหันหลังจากไป
หลงฟั่นมองดูเงาหลังของเขา หนาวยะเยือกไปทั้งใจ
เดิมทีเขายังคงอยากถามโม่เจ้าว่าจะส่งไม่กี่คนนั้นไปทำอะไร ยามนี้ไม่อาจถามได้แล้ว
อำนาจสูงสั่นคลอนนาย[1] ยามนี้เขามีอำนาจสูงจนสั่นคลอนผู้เป็นนายแล้ว
อีกทั้งโม่เจ้าอยู่ในราชวงศ์ที่แก่งแย่งชิงดีกันมานานหลายปี จักรพรรดิจัดการกับขุนนางมีผู้มีคุณูปการเช่นไร เรื่องเหล่านั้นโม่เจ้ากระจ่างแจ้งดี ได้เรียนรู้มา และเอามาใช้กับเขา
ตอนนี้โม่เจ้ายังต้องใช้ประโยชน์จากเขา ย่อมไม่ทำอะไรเขาจริงๆ…
————————————————————————————-
[1] อำนาจสูงสั่นคลอนนาย หมายถึง คนที่มีความสามารถโดดเด่นจนทำให้ผู้เป็นนายหวาดระแวง