ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1343+1344
บทที่ 1343 ความจริง 6
ถ้าหากเขามีคนในใจแล้ว ฐานะคู่หมั้นนี้จะเป็นโมฆะอย่างง่ายดาย เงื่อนไขที่ทำให้เขายอมช่วยเหลือคือ หลานจิ้งเคอสัญญาว่าจะให้เขายืมกองกำลังของเผ่าเงือกสิบครั้ง…
ตี้ฝูอีในยามนั้นไม่ได้เห็นการหมั้นหมายนี้สลักสำคัญ จึงตอบรับเงื่อนไขนี้ของหลานจิ้งเคอ ด้วยเหตุนี้น้องชายน้องสาวของนางจึงเรียกขานเขาว่าพี่เขยมาเกือบสิบปี ไปมาๆ ก็กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
หลังจากความทรงจำของเขากลับมา ย่อมต้องออกไปตามล้างแค้นพลางกรีธาทัพสยบใต้หล้า หลานจิ้งเคอก็รักษาสัจจะยิ่ง ให้เขายืมกองกำลังเผ่าเงือกจริงๆ นางถึงขั้นที่นำกองทัพออกรบด้วยตัวเอง เผ่าเงือกทั้งเผ่ากลายเป็นกองหนุนของตี้ฝูอี…
หลังจากสงครามนองเลือดผ่านพ้นไป ในที่สุดตี้ฝูอีก็เอาชนะศัตรูตัวฉกาจที่สุดได้ กลายเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ และในศึกครั้งสุดท้ายนั้น หลานจิ้งเคอก็ทรุดลงสิ้นชีพ ก่อนตายตี้ฝูอีก็อยู่ข้างกายนางพอดี นางขอร้องให้ตี้ฝูอีช่วยดูแลน้องชายน้องสาวของตน ช่วยให้น้องชายของนางหลานเหยากวงได้ขึ้นครองตำแหน่งประมุขเผ่าเงือกได้จะดีที่สุด…
แน่นอน นางขอร้องให้ตี้ฝูอีอย่าได้เปิดเผยเรื่องรสนิยมทางเพศของนางด้วย เนื่องจากนางไม่อยากตายแล้วก็ยังถูกคนในเผ่าชี้หน้าติเตียน
ยามนั้นน้องชายน้องสาวของนางยังเล็ก นับตามอายุขัยของชาวเงือกแล้วล้วนยังอยู่ในวัยแบเบาะ เนื่องจากบิดามารดาสิ้นบุญไปนานแล้ว หลานจิ้งเคอที่เป็นพี่สาวคนโตจึงเปรียบเสมือนมารดา ปฏิบัติต่อน้องชายน้องสาวเป็นอย่างดี น้องชายน้องสาวก็พึ่งพานางยิ่งนัก เห็นนางเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว
ชาวเงือกเมื่อสิ้นชีพแล้วไม่สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ หลานจิ้งเคอเกรงว่าน้องชายน้องสาวจะเสียใจจนเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้น ดังนั้นนางจึงอ้อนวอนขอร้องตี้ฝูอีให้โป้ปดต่อหน้าน้องๆ ของนาง บอกว่าภายภาคหน้านางยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ เหลือความหวังไว้ให้น้องชายน้องสาว…
นางสิ้นชีพเพื่อศึกของเขา เงื่อนไขเหล่านี้ของนางก็ไม่ยากเกินจะตอบสนอง ดังนั้นตี้ฝูอีจึงตกปากรับคำ
เขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของทวีปนี้ ทั่วหล้าสวามิภักดิ์ สำหรับเขาแล้ว การให้หลานเหยากวงขึ้นครองตำแหน่งประมุขมิใช่เรื่องยากเย็นเลย เนื่องจากหลานเหยากวงยังเล็ก หลังจากตี้ฝูอีช่วยขาขึ้นครองตำแหน่งแล้ว สักสองสามปีก็มักไปจะที่เผ่าเงือกสักคราอยู่เสมอ เพื่อสอนเขาให้จัดการงานราชกิจ จึงย่อมสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเขาสองพี่น้องยิ่งขึ้น ทั้งสองเรียกขานว่าพี่เขยๆ อยู่ไม่ขาดปาก ตี้ฝูอีก็ได้ยินจนชินไปแล้ว จึงไม่เก็บมาใส่ใจเลย จวบจนยามนี้…
ตี้ฝูอีเล่าจบ กู้ซีจิ่วฟังแล้วตะลึงงัน จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีกับอดีตประมุขเผ่าเงือกจะมีความเป็นมาเช่นนี้
ตี้ฝูอีกับหลานจิ้งเคอเป็นทั้งสหายและพี่น้องที่ดีที่ต่อกัน ไม่เคยเกี่ยวข้องกันในเชิงชู้สาวเลย…
เป็นเธอเข้าใจผิดไปอย่างสิ้นเชิง
ภายในเรือนเงียบยิ่งนัก เงียบจนเข็มสักเล่มหล่นลงพื้นก็ได้ยินกันทั่ว
คงจะเป็นครั้งแรกที่ตี้ฝูอีเอ่ยวาจามากมายถึงเพียงนี้ ดังนั้นเขาจึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง “ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่ววางหินก้อนใหญ่ในใจลงแล้ว พยักหน้าพลางเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจ “เข้าใจแล้ว เป็นข้าเข้าใจท่านผิดไปเอง ขออภัยด้วย”
ตี้ฝูอีหลุบตาลง หมุนถ้วยชาในมือ “เพียงเอ่ยขออภัยประโยคเดียวงั้นหรือ?”
บนร่างเขาคล้ายมีไอเยียบเย็นเล็กน้อยแผ่ซ่านออกมา “กู้ซีจิ่ว เจ้ารู้ไหมว่าการที่เจ้าหนีงานแต่งครั้งนี้เกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้าง? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อตระเตรียมงานวิวาห์ครั้งนี้ข้าทุ่มเทจิตใจปมากน้อยเพียงใด? เจ้ารู้ไหมว่าข้าแทบจะพลิกแผ่นดินเพื่อตามหาเจ้า? เจ้าเพียงได้ยินวาจาเหลวไหลไม่กี่ประโยคก็ไม่ถามไม่ไถ่ สลัดข้าทิ้งแล้วหนีงานแต่งไปดื้อๆ นึกถึงความลำบากใจของข้าบ้างหรือไม่? เจ้าเอาข้าไปวางไว้ที่ไหน?”
กู้ซีจิ่วกำมือแน่น ก้มหน้าเงียบงัน เป็นความจริงที่เธอไร้ซึ่งถ้อยคำจะเอ่ยแย้ง ในใจมีความรู้สึกผิดมหันต์เอ่อล้นขึ้นมา
ตี้ฝูอีวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “เจ้ากับข้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว เผชิญความเป็นความตายด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรเจ้าน่าจะทราบชัดเจน แล้วเหตุใดเจ้าถึงมอบความไว้ใจให้ข้ามากขึ้นสักหน่อยไม่ได้เล่า?”
คำถามของเขาเสมือนค้อนทุบลงบนหัวใจของกู้ซีจิ่ว น้ำเสียงเธอเบาหวิว “เป็นความผิดของข้าเอง…”
—————————————————————
บทที่ 1344 เพราะใส่ใจถึงได้คิดเล็กคิดน้อย…
ประเด็นหลักคือถ้อยคำเหล่านี้เธอได้ยินสองพี่น้องพูดออกมาด้วยหูตัวเอง และตั้งแต่ต้นจนจบตี้ฝูอีก็ไม่ได้ปฏิเสธเลย ประกอบกับคืนนั้นเธอหยั่งเชิงเขาสารพัดอย่าง เขากลับอมพะนำเฉไฉอยู่ตลอด ทำให้กู้ซีจิ่วไม่อาจไม่เชื่อได้ ดังนั้นจึงหนีงานวิวาห์ครั้งนี้ จับผลัดจับผลูก่อเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ขึ้น ตี้ฝูอีก็เกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่…
ตี้ฝูอีมองดูนาง แววตาค่อนข้างซับซ้อน เอ่ยเรียบๆ ว่า “ซีจิ่ว ข้ารู้สึกว่าบางทีเจ้าอาจไม่ได้ชอบข้าจริงๆ มิเช่นนั้นคงไปหนีไปโดยไม่ถามไถ่ให้ชัดเจนก่อน…”
กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นมาทันที “ข้า…”
เขาลุกขึ้นยืน น้ำเสียงแผ่วเบา “เหตุผลที่ข้าไล่ตามมาถึงที่นี่ เป็นเพราะไม่ยินดีถูกเจ้าเข้าใจผิดไปตลอด ดังนั้นจึงทุ่มสุดชีวิตเพื่อเข้ามาพบเจ้าที่นี่ อธิบายทุกอย่างให้กระจ่างชัด ส่วนงานวิวาห์นั้นดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย ล้มเลิกก็ล้มเลิกไปแล้ว ก็เอาเช่นนี้เถิด เจ้ารักษาตัวด้วย” เขาพลันหมุนกายหายลับไป
ปากจิ้มลิ้มของกู้ซีจิ่วอ้าออกเล็กน้อย ถึงขั้นที่ยังไม่ทันได้เอ่ยรั้งสักประโยค เขาก็หายไปดื้อๆ!
เธอไล่ตามออกไปตามสัญชาตญาณ ด้านนอกสายลมบริสุทธิ์พัดโชย รัตติกาลดั่งสายน้ำ ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของตี้ฝูอีอยู่?
วรยุทธ์ของเขาฟื้นฟูกลับมาแล้ว คิดจะไปจากที่นี่น่าจะง่ายดายยิ่งนักกระมัง?!
กู้ซีจิ่วร้อนใจขึ้นมาทันที
ในเมื่อทราบแล้วว่าในใจเขามีเธอเพียงคนเดียว เรื่องของประมุขสาวเผ่าเงือกเป็นความเข้าใจผิดมหันต์ เช่นนั้นเธอยังจะปล่อยมืออีกได้อย่างไรเล่า?
เธอชอบเขาถึงขนาดนั้น ใส่ใจเขาถึงขนาดนั้น เพราะใส่ใจถึงได้คิดเล็กคิดน้อย…
ตอนนี้ความเข้าใจผิดคลี่คลายแล้ว แต่เขาจากไปอีกครั้ง
เขาชี้แจงจบก็เบาตัวไป แล้วเธอล่ะ?
ถ้าหากเขาจากไปแล้ว ทว่าเธอกลับไปจากที่นี่ไม่ได้ แล้วจะไปตามหาเขาอีกได้อย่างไร?
เธอยืนอยู่ตรงนั้น ในใจคล้ายมีอะไรบิดม้วนอยู่!
หากว่าเขาต้องการหลบซ่อนขึ้นมาเช่นนั้นไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรก็หาไม่พบ เสมือนแปดวันมานี้ที่เขาหายไปอ่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าเธอจะหาอย่างไรก็หาไม่พบเลย…
ขณะที่เธอกำลังตามหาไปรอบๆ หมู่บ้านอย่างไม่ถอดใจอยู่ ก็พบกับหลัวจั่นอวี่เข้าพอดี หลัวจั่นอวี่คล้ายจะมีเรื่องในใจ หวิดจะชนกับกู้ซีจิ่วที่เดินกระวีกระวาดเข้าอย่างจังแล้ว
“เสี่ยวจิ่ว ดึกขนาดนี้แล้วทำไมเจ้ายังไม่นอน?”
กู้ซีจิ่วตอบอย่างคลุมเครือ “เดี๋ยวก็นอนแล้ว ใช่แล้ว พี่ ท่านเห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบ้างไหม?”
หลัวจั่นอวี่ส่ายหน้า “ไม่เลย คนผู้นั้นไปมาไร้ร่องรอยเสมอแตกต่างกับพวกเรา…” จากนั้นก็มองไปทางเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล “เขาน่าจะพักผ่อนอยู่ที่เรือนของตนกระมัง?”
กู้ซีจิ่งมองเรือนหลังนั้น เรือนหลังนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนรวมแรงร่วมใจกันสร้างให้เขาจริงๆ ใหญ่พอๆ กับเรือนของเธอเลย
แน่นอน เนื่องจากก่อสร้างขึ้นมาอย่างเร่งด่วน เครื่องเรือนด้านในจึงมีเพียงเตียงที่พอให้คนนอนได้หลังหนึ่งเท่านั้น เธอจำได้ว่าหลังจากสร้างเสร็จ มีคนเชิญเขาไปดู ผลคือเขาเพียงมองอยู่ด้านนอกแวบหนึ่ง เอ่ยออกมาประโยคเดียวว่า “หยาบกระด้างเกินไปแล้ว ห้องสุขาในวังของข้าก็ยังงดงามกว่าเรือนนี้ร้อยเท่า”
ทำให้ทุกคนขุ่นเคืองไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสนใจอีก แถมมีบางคนมาฟ้องกับกู้ซีจิ่วเงียบๆ กู้ซีจิ่วย่อมทราบว่าสิ่งที่ตี้ฝูอีพูดเป็นความจริง แต่ในสถานที่เช่นนี้มีที่ให้ซุกกายก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว เขายังจะหวังให้ทุกคนสร้างวังหลังหนึ่งออกมาได้ภายในวันเดียวอีกหรือ?
ทุกคนล้วนอาศัยสองมือปลูกสร้างขึ้นมา มิได้ใช้เวทวิชาก่อสร้างขึ้นมาเหมือนสี่ทูตเสียหน่อย
กู้ซีจิ่วรู้ว่าตี้ฝูอีเป็นผู้ที่นิยมความสมบูรณ์แบบ ของที่เขาทำถ้าไม่ทำให้ดีที่สุด ก็จะไม่ทำไปเสียเลย เขาไม่เห็นเรือนเช่นนี้อยู่ในสายตานับเป็นเรื่องปกติ กล่าวมาถึงเพียงนี้ก็คือค่อนข้างจู้จี้นั่นแหละ
เพียงแต่โชคดีที่ทุกคนแค่ไม่พอใจความเรื่องมากของเขานิดหน่อย…
—————————————————————-