ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1403+1404
บทที่ 1403 ชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 2
สี่ทูตติดตามอยู่ข้างกายเขามานานที่สุด เป็นทั้งข้ารับใช้ของเขาและครอบครัวของเขา เมื่อเห็นลูกน้องที่จงรักภักดีที่สุดของตัวเองถูกกระทำจนมีสภาพเช่นนี้เพื่อรับใช้ดูแลผู้อื่น จิตใจของผู้ใดก็ไม่อาจแบกรับไหว กู้ซีจิ่วจับมือเขาไว้อยู่ข้างกาย แล้วตบเบาๆ ตี้ฝูอีก็จับมือเธอเช่นกัน
ทั้งสองคนไม่มีใครพูดจาอันใด แต่กลับเข้าใจความหมายของกันและกัน
กลุ่มคนหลายพันคนยาวต่อเนื่องกันหลายลี้ การเคลื่อนขบวนก็ไม่ถือว่ารวดเร็ว ชาวบ้านเริ่มคุกเข่าลงตั้งแต่ได้ยินเสียงตะโกน หลังจากเห็นรถม้าก็เริ่มกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้งประหนึ่งเข้าเฝ้าจักรพรรดิ อีกทั้งยังต้องคุกเข่าคำนับไม่หยุดหย่อน ดังนั้นชาวบ้านต้องคุกเข่าคำนับอย่างน้อยที่สุดครึ่งชั่วโมง พวกหนุ่มสาวยังพอไหว เพียงแต่ก็ต้องลำบากพวกผู้สูงอายุ การคุกเข่าคำนับหนึ่งชุดนี้ ทำให้ขาทั้งสองข้างสั่นสะท้าน แทบจะลุกขึ้นยืนไม่ไหว
ในกลุ่มคนที่คุกเข่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กหนึ่งขวบ เด็กน้อยย่อมไม่รู้เรื่องราวอันใด เมื่อเห็นมารดาของตัวเองคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกน่าสนุกในตอนแรก จึงอ้าปากน้อยๆ อยากจะหัวเราะ กลับถูกมือของมารดาอุดไว้อย่างรวดเร็ว
มารดาตื่นเต้นเกินไป อุดปากจนเด็กคนนั้นหายใจไม่ออก ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำอยากจะร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก มีเพียงน้ำตาเม็ดใหญ่ที่ไหลริน ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตในอ้อมอกมารดา ดวงหน้าน้อยค่อยๆ เขียวคล้ำ…
กู้ซีจิ่วเหลือบมองไปทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นภาพฉากนี้พอดี หัวใจพลันหนักอึ้ง
เด็กคนนั้นจะถูกอุดปากจนหายใจไม่ออกตายอยู่แล้ว!
นิ้วมือเธอพลันสะบัด ลำแสงพลังไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งพุ่งทะยาน ดีดไปที่มือของมารดาเด็กคนนั้น มือของนางพลันไร้เรี่ยวแรงและร่วงลงทันที
วินาทีที่มือร่วงลง หญิงสาวผู้นั้นตื่นตระหนกใบหน้าซีดเผือด คิดว่าอย่างไรลูกก็ต้องร้องออกมาสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
กลับนึกไม่ถึงว่าเด็กคนนั้นนอกจากหายใจพะงาบๆ แล้วก็ไม่ส่งเสียงอันใดออกมา อ้าปากน้อยๆ ทำท่าทางจะร้องไห้ แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องสักนิด
หญิงสาวผู้นั้นโล่งใจ ย่อมไม่อุดปากและจมูกของลูกอีก ยังคงคุกเข่าคำนับท่ามกลางฝูงชน
ตี้ฝูอีเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง เขารู้ว่านางถือโอกาสสกัดจุดของเด็กคนนั้น เช่นนี้ภยันตรายของหญิงสาวกับลูกจึงคลี่คลายได้อย่างสงบ
หลีเมิ่งซย่าตื่นเต้นจนอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้กู้ซีจิ่ว “แม่นางกู้ ยอดเยี่ยมมาก!”
กู้ซีจิ่วกลับจ้องมองคนในรถม้าหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาแหลมคมเย็นชา
คนผู้นี้น่าจะเป็นหลงฟั่นกระมัง?! ดูจากกลิ่นอายรอบกายเขา พลังวิญญาณน่าจะบรรลุขั้นสิบขึ้นไปแล้ว อีกทั้งรอบกายเขามีไอชั่วร้ายรางๆ คล้ายรายล้อมด้วยวิญญาณอาฆาต ดูเหมือนเขากระหายความสำเร็จ คิดหาวิธีแปลกใหม่ ฝึกฝนวิชายุทธ์ชั่วร้ายแล้วจริงๆ!
และมองสตรีที่ชื่อว่าเซียนหญิงลี่หวาง สวมชุดทอไหมเนื้อนุ่มดังหิมะ ใบหน้าคลุมแพรโปร่งผืนหนึ่ง ดูแล้วเสมือนเสี่ยวหลงหนี่ว์ผู้บริสุทธิ์เหนือโลกีย์
กลิ่นอายรอบกายของเซียนหญิงผู้นี้เยือกเย็นยิ่งนัก เดินหมากอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่สนใจการคุกเข่าคำนับของชาวบ้านโดยรอบ เบื้องหลังของนางมีผู้ทรงพลังสีทองคนนั้นยืนอยู่
บนถนนเงียบสงัดยิ่งนัก ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่เป็นหนึ่งเดียวกันของคนนับพัน กับเสียงลมหายใจที่กลั้นไว้ของชาวบ้านโดยรอบ
ดังนั้นเมื่อเซียนหญิงลี่หวางท่านนั้นเอ่ยขึ้น ทั้งที่เสียงไม่ดัง ทว่าคนทั่วทั้งถนนล้วนได้ยิน “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านแพ้อีกแล้ว” สุ้มเสียงชัดเจนปานกระดิ่งหยก
“ทักษะการเดินหมากของฮูหยินสูงส่ง ฝูอีไม่อาจทัดเทียม” ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนั้นยิ้มบางๆ ชายเสื้อพลันโบกสะบัด ผลักกระดานหมากออกไป แล้วกวาดตามองชาวบ้านที่คุกเข่าคำนับทั้งสองฝั่ง สายตาประหนึ่งมองมดปลวก
เซียนหญิงลี่หวางหยักยิ้มมุมปาก “ชมเกินไปแล้ว…” สายตานางก็มองสองฝั่งข้างทางเช่นกัน มองชาวบ้านคุกเข่าคำนับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตรงนั้น
————————————————————————–
บทที่ 1404 ชื่อเสียงของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 3
นางทอดถอนใจเบาๆ “ดินแดนเบื้องล่างนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนจนมากมาย คนฉลาดน้อยนิด…”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคนนั้นทอดถอนใจเบาๆ “เหตุผลที่ดินแดนเบื้องล่างถูกเรียกว่าดินแดนเบื้องล่าง ย่อมเป็นเพราะคนโง่งมมากมาย ไม่ได้มีผู้ฝึกตนคลาคล่ำเหมือนดินแดนเบื้องบน ทำให้เซียนหญิงลำบากแล้ว”
กู้ซีจิ่วกระชับกำปั้นแน่น ไอ้คนชั่วช้า! ตัวเขาเองจะทำตัวไร้ยางอาย ไร้ศักดิ์ศรีต่อหน้าคนดินแดนเบื้องบนอย่างไรก็ช่างเถิด แต่กลับมาใช้สังขารของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทำเรื่องแบบนี้! เจ้าผู้นี้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!
หลีเมิ่งซย่าก็เดือดดาลจนตัวสั่นสะท้าน แทบอยากจะทุบกำปั้นลงบนไม้ระแนงหน้าต่าง! คนที่นางเลื่อมใสและศรัทธามากที่สุดก็คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จะไม่โมโหได้อย่างไร?
ชื่อเสียงของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถูกไอ้ตัวปลอมทำลายจนหมดสิ้นแล้ว!
นางไม่กล้าแม้แต่จะมองสีหน้าของตี้ฝูอี เกรงว่าเมื่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงเห็นภาพฉากนี้แล้วหัวใจจะหลั่งโลหิตกระมัง?
กู้ซีจิ่วจับมือตี้ฝูอี ส่งกระแสเสียงไปหาเขา ‘อย่าเสียใจไป ภายหน้าพวกเราจะหาทางเรียกคืนเกียรติยศของท่านกลับมา…’
ดวงตาตี้ฝูอีดังธารน้ำแข็ง เหลือบมองเบื้องล่าง กวาดตามองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนั้นอย่างช้าๆ มุมปากโค้งยิ้มเย้ยหยัน
ในที่สุดกองทหารเกียรติยศขบวนนั้นก็จากไป ภายในร้านอาหาร บนถนนกลับมาคึกคักอย่างที่เคย
หลังจากขบวนของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยิ่งใหญ่ขนาดนั้นผ่านไป กลับไม่มีผู้ใดอาจหาญพูดคุย แต่ทุกคนล้วนแอบกระชับกำปั้นแน่น ความโกรธและความเคียดแค้นแผดเผาอยู่ในสายตาที่มองไปยังขบวนกองทหารเกียรติยศของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…
ความคับแค้นใจของผู้คนเดือดพล่าน ทว่าล้วนข่มใจไว้ เพียงรอคอยฟางเส้นสุดท้ายที่จะบดขยี้หลังอูฐ[1]…
…..
กำแพงสูงกว่ากำแพงวังหลวง ลวดลายบนกำแพงดูแปลกตา ประหนึ่งมีมนตรา อีกทั้งยังเหมือนกะโหลกศีรษะ ตัวกำแพงสีแดงสด ด้านบนราวกับถูกปกคลุมด้วยไอหมอก เยือกเย็นและน่าหวาดหวั่นเมื่อเข้าใกล้
“นายท่าน กำแพงนี้แหละที่แปลกตายิ่งนัก ขึ้นไปแล้วหลงทาง คนทั้งคนหายไปท่ามกลางม่านหมอก ภายในม่านหมอกยังมีเงาร่างแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน เพียงแค่ชนเข้ากับเงาร่างเหล่านั้นก็จะถูกเกาะติด ถูกหลอมละลาย จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น…” หลีเมิ่งซย่าบอกเล่าสิ่งที่พบจากการพาคนมาสำรวจหลายครั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เราสูญเสียคนของพวกเราไปไม่น้อยที่นี่…”
ตี้ฝูอีพยักหน้าเล็กน้อย เขาก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ยื่นนิ้วมือสัมผัสกำแพงเบาๆ เยือกเย็นดังเหล็กหมาด ทิ่มแทงเข้ากระดูก
ดวงตาเขาฉายแววความโกรธแค้น “กำแพงวิญญาณอาฆาต!”
หลีเมิ่งซย่าประหลาดใจ “หา?”
กู้ซีจิ่วกล่าวอยู่ด้านข้าง “ไอ้ตัวปลอมนั้นเคยใช้ช่างฝีมือหนึ่งแสนคนสร้างคฤหาสน์แห่งนี้ขึ้นมา ช่างฝีมือเหล่านั้นไม่ได้หายสาบสูญไป แต่ถูกฆ่าตายแล้วหลอมเรียงไว้ภายในกำแพงนี้ ก่อนตายช่างฝีมือเหล่านั้นคงต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ด้วยความเคียดแค้นอย่างสุดขีด กำแพงนี้จึงกลายเป็นกำแพงวิญญาณอาฆาต เงาร่างในม่านหมอกที่พวกเจ้าเห็นคงเป็นสิ่งที่วิญญาณอาฆาตซึ่งไม่ได้รับการปลดปล่อยเหล่านั้นสร้างขึ้นมา…”
หน้าหลีเมิ่งซย่าเปลี่ยนสี เดิมทีนางเพียงได้ยินว่าช่างฝีมือหนึ่งแสนคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ยังคิดว่าคนเหล่านั้นถูกคุมขังไว้สถานที่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ภายในกำแพงนี้!
ช่างฝีมือก็เป็นคน กลับต้องมาตายอนาถอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เจ้าตัวปลอมผู้นี้เหมือนจะไม่ได้มองคนเป็นคน แต่มองคนเป็นมดปลวก เผด็จการยิ่งกว่าจิ๋นซีฮ่องเต้เสียอีก!
“มีวิธีเข้าไปหรือไม่? ปลดปล่อยวิญญาณอาฆาตในกำแพงจากความทุกข์ทรมานได้หรือไม่?” หลีเมิ่งซย่าถาม
ตี้ฝูอีกล่าว “ข้าปลดปล่อยพวกเขาได้ ทว่าหากเริ่มต้นพิธี คนด้านในรับรู้ได้แน่นอน จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
กู้ซีจิ่วม้วนแขนเสื้อขึ้น “ข้าจะเคลื่อนย้ายพริบตาเข้าไป!” วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของเธอไม่ถูกจำกัดช่องว่างระหว่างกำแพง
ตี้ฝูอีคว้ามือหยุดยั้งนางไว้ “ไม่ได้!”
เขาดึงนางมาไว้ข้างกาย จากนั้นมองไปที่หลีเมิ่งซย่า “อยากช่วยข้าช่วยเหลือพวกมู่เฟิงหรือไม่?”
—————————————————————-
[1] ฟางเส้นสุดท้ายที่จะบดขยี้หลังอูฐ มาจากสุภาษิตอาหรับ หมายถึงหมดความอดทน เมื่อเจ้าของอูฐนำของบรรทุกหลังอูฐมากขึ้น ถึงจุดที่อูฐทนต่อไปไม่ไหว แม้จะเพิ่มฟางซึ่งมีน้ำหนักเบามากอีกเส้นเดียวก็ทำให้อูฐหลังหักได้