ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1407+1408
บทที่ 1407 เผชิญหน้า 3
ยามนี้จับกุมคนได้แล้ว เขาก็โล่งอกเช่นกัน ขอเพียงคนตกอยู่ในกำมือเขา ยังต้องกลัวว่านางจะดื้อรั้นพูดความจริงอีกหรือ? นางคงมิได้เป็นแบบพวกมู่เฟิงสี่ผู้คุ้มกันที่ลืมเลือนทุกอย่างเกี่ยวกับตี้ฝูอีไปจนสิ้นแล้วกระมัง?
“หลีเมิ่งซย่า ข้าถามเจ้า เจ้า…” ขณะที่เขากำลังจะถามถึงประเด็นสำคัญ สองตาของหลีเมิ่งซย่ากลับจ้องที่ของว่างบนโต๊ะ เอ่ยพึมพำ “หิวเหลือเกิน!”
เดินโซเซเข้ามา ฉวยไปหนึ่งจานทันที คว้าขนมอบชิ้นหนึ่งแล้วยัดเข้าปาก
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผงะไปครู่หนึ่ง
เขาพลันโบกแขนเสื้อ ลำแสงสีขาวสายหนึ่งส่องวาบ จานในมือของหลีเมิ่งซย่าหายไปแล้ว ขนมอบในมือก็ไม่มีร่องรอยแล้วเช่นกัน
สีหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลึกล้ำดุจธารา “กบฏอย่างเจ้าคู่ควรจะได้กินอาหารของข้าหรือ? ข้าจะถามเจ้า หากว่าเจ้าตอบมาตามจริง…”
ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกมา เนื่องจากจู่ๆ หลีเมิ่งซย่าก็ล้มคว่ำลงไป ชักอยู่บนพื้นไม่กี่ครา แล้วสลบไปทันที
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมตะลึง
ประมุขหยางที่อยู่ด้านข้างเข้ามาจับชีพจรนาง เอ่ยรายงาน “นางหิวจนเป็นลมไปแล้วขอรับ” มองเห็นสีหน้าของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมมิสู้ดี จึงกล่าวอย่างค่อนข้างหวาดหวั่น “คนผู้นี้มุทะลุดุดัน ทว่ามีจุดอ่อนถึงชีวิตอยู่ประการหนึ่ง คือกลัวหิว พอหิวแล้วจะเป็นลมได้ง่ายๆ…เดิมทีนางพกของว่างติดตัวอยู่ตลอดเวลา หนนี้ระหว่างเดินทางเกรงว่านางจะเล่นตุกติก จึงริบทั้งหมดมา นางไม่ได้กินอะไรจริงๆ จังๆ มาหลายวันแล้วขอรับ…”
มือของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมที่อยู่บนเก้าอี้พลันกำเข้าหากัน เอ่ยสั่งการ “เรียกผู้คุ้มกันมู่เฟิงมา”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฟิงก็สาวเท้าก้าวเข้ามา ค้อมกายทำความเคารพทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม “นายท่าน”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายโบกมือ ชี้ไปที่หลีเมิ่งซย่า “ไปดูสิว่านางเป็นอะไร?”
มู่เฟิงตอบรับคราหนึ่ง เดินไปที่ข้างกายหลีเมิ่งซย่าจริงๆ จับชีพจรนางดู ผ่านไปสักครู่ก็ขมวดคิ้ว ยืดกายขึ้นรายงาน “เรียนนายท่าน นางมีโรคแอบแฝง พอหิวแล้วจะเป็นลม…” พูดจาแบบเดียวกับประมุขหยาง
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมถึงได้วางใจ “ต้องทำอย่างไรให้นางฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว?”
มู่เฟิงหลุบตา “หากคนทั่วไปเป็นเช่นนี้ กรอกน้ำหวานลงไปสักชามก็จะฟื้นขึ้นมาในหนึ่งเค่อขอรับ แต่นางแตกต่างออกไป เมื่อนางหิวจนเป็นลมไป จะไม่ฟื้นขึ้นมาหนึ่งคืน”
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ย่อมไม่สามารถไต่สวนต่อได้แล้ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมสั่งการให้คนนำหลีเมิ่งซย่าไปขังไว้ที่คุกลับ
ยามนี้ดึกเอาการแล้ว ปกติแล้วที่นี่ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่ให้ผู้คนรั้งอยู่ ดังนั้นเข้าจึงเอ่ยกำชับพวกประมุขหยางอีกหลายประโยค แล้วให้พวกเขาออกไปซะ สั่งให้มู่เฟิงส่งคนพวกนี้ออกไป
หลังจากพวกเขาออกไป ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ เรือนกายไหววูบ ติดตามออกมาเช่นกัน แอบซุ่มอยู่ด้านหลัง
วรยุทธ์ของเขาสูงส่ง เห็นได้ชัดว่าไม่กี่คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสัมผัสถึงเขาไม่ได้
ด้านนอกจันทร์เพ็ญเต็มดวง มู่เฟิงเดินนำอยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ พวกประมุขหยางตามอยู่ด้านหลัง
ประมุขหยางตีสนิทมู่เฟิง “ใต้เท้ามู่เฟิง ผู้น้อยได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานแล้ว จนใจด้วยไร้วาสนาพบพาน วันนี้ในที่สุดก็ได้พบแล้ว ใต้เท้ามู่เฟิงช่างองอาจโดดเด่นโดยแท้ ไม่ธรรมดาเลย”
มู่เฟิงไม่หันกลับไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “กล่าวได้ดี”
“ใต้เท้ามู่เฟิง เหตุใดไม่เห็นผู้คุ้มกันอีกสามท่านล่ะขอรับ?”
น้ำเสียงมู่เฟิงเยียบเย็นเล็กน้อย “หยางเฟยอี้ เจ้าละเมิดกฎแล้ว!”
หยางเฟยอี้ไอแห้งๆ คราหนึ่ง เกาหัวเล็กน้อย เอ่ยขออภัยต่อเขา พูดจาน่าฟังออกมากระบุงหนึ่ง ผู้คุ้มกันมู่เฟิงคนนั้นเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นประมุขหยางผู้นี้อยู่ในสายตาเลย
ประมุขหยางยิ้มขื่น คล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นได้ “ที่แท้วิชาแพทย์ของผู้คุ้มกันมู่เฟิงก็เลิศล้ำถึงเพียงนี้ ระยะนี้ผู้น้อยรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าผู้คุ้มกันมู่เฟิงพอจะตรวจอาการให้ข้าได้หรือไม่?”
——————————————————————-
บทที่ 1408 บางทีข้าอาจลองดูได้! – 4
มู่เฟิงค่อนข้างหงุดหงิดแล้ว “ข้าเห็นว่าเจ้าสบายดียิ่งนัก”
“นี่…โรคแอบแฝง เป็นโรคแอบแฝง…หวังว่าผู้คุ้มกันมู่เฟิงจะช่วยดูให้สักหน่อย” สีหน้าเขาเว้าวอน แทบจะประชิดอยู่เบื้องหน้ามู่เฟิง
จมูกมู่เฟิงพลันได้กลิ่นหอมกระจ่างที่คุ้นเคยสายหนึ่ง ร่างกายพลันแข็งทื่อ เหลียวมองประมุขหยาง รูปร่างของประมุขหยางค่อนข้างอ้วนท้วม จมูกเล็กตาหยี รูปโฉมค่อนข้างอัปลักษณ์จริงๆ ยามนี้ดวงตาหยีคู่นั้นกำลังมองเขาตาละห้อย ก้นบึ้งดวงตาคล้ายมีคลื่นแสงไหลเวียน
มู่เฟิงกระแอมคราหนึ่ง สีหน้ายังคงเย็นชาเช่นเกิน “ส่งมือให้ข้า!”
ประมุขหยางก็ยื่นมือให้จริงๆ มู่เฟิงจับชีพจรให้เขา
ประมุขหยางสัมผัสถึงปลายนิ้วเย็นเฉียบของเขา จึงสั่นสะท้านเล็กน้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆ ปล่อยมือ มองดูประมุขหยาง “อาการเจ้าน่าจะเป็นในใจมีเรื่องหนักหนาเกินไป จิตใจว้าวุ่น ทำร้ายหัวใจและเลือดลม…” เขาร่ายศัพท์เฉพาะทางออกมากองหนึ่ง
ประมุขหยางพนักหน้า “วิชาแพทย์ของผู้คุ้มกันมู่เฟิงยอดเยี่ยมจริงๆ มีหนทางรักษาหรือไม่?”
มู่เฟิงกล่าวว่า “ข้าจะจัดยาให้เจ้าเทียบหนึ่ง เจ้าเอากลับไปต้มก็ใช้ได้แล้ว”
ไม่ทราบว่าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากไหน เขียนใบสั่งยาออกมา ขณะที่กำลังจะส่งให้ประมุขหยาง ด้านหลังพลันมีคนเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “ประมุขหยางเป็นอะไรเล่า?”
ทุกคนหันกลับไปอย่างพร้อมเพรียง เห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยืนอยู่ในจุดอับ กำลังมองพวกเขาอยู่
ประมุขหยางแย้มยิ้มแล้วบอกเล่าถึงอาการของตน กล่างอย่างเปิดเผยว่าผู้คุ้มกันมู่เฟิงจัดยาให้เขา
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยื่นมือไปทางมู่เฟิง “ข้าก็ชำนาญวิชาแพทย์ ให้ข้าดูหน่อย”
มู่เฟิงจึงส่งใบสั่งยาให้เขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมดูอยู่ครู่หนึ่ง ตัวยาบนนั้นไม่ซับซ้อน และเป็นตัวยาที่พบเห็นได้ทั่วไป เขามองอยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร จึงส่งใบสั่งยาแผ่นนั้นให้ประมุขหยาง “ใบสั่งยานี้นับว่าใช้ได้ ประมุขหยางจัดยาตามใบสั่งก็พอ”
พวกประมุขหยางกล่าวอำลาแล้วจากไป ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมปรายตามองมู่เฟิงแวบหนึ่ง เห็นเขายืนหลุบตาอยู่ตรงนั้น ไม่มีความผิดปกติอื่นใด
เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ “มู่เฟิง ข้าหิวแล้ว ไปจับปลามาให้ข้าสักตัวสิ”
“ขอรับ!” มู่เฟิงตอบรับโดยไม่หยุดคิดเลย พลิกกายคราหนึ่ง กระโจนลงสู่ทะเลสาบใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง
ยามนี้เป็นยามดึก น้ำในทะเลสาบเย็นยะเยือก และก้นทะเลสาบแห่งนี้มีวิญญาณอาฆาตนับไม่ถึงถูกสะกดจองจำไว้ ยามเที่ยงคืนของทุกวันจะเป็นช่วงที่พวกมันฮึกเหิมที่สุด
ในทะเลสาบใหญ่แห่งนี้มีปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้น เป็นปลาที่ดุร้ายยิ่งนักชนิดหนึ่ง ด้วยใช้ชีวิตเสพกินวิญญาณอาฆาต ยามปกติอาศัยอยู่ในก้นทะเลสาบลึก ร่างกายปราดเปรียว จับยากยิ่งนัก
ทะเลสาบยามเที่ยงคืน วิญญาณอาฆาตดุร้าย ปลาก็ดุร้ายเช่นกัน มู่เฟิงที่กระโจนเข้าไปสำหรับวิญญาณอาฆาตและฝูงปลาแล้ว เป็นอาหารจานเนื้ออันโอชะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ทะเลสาบพลุ่งพล่านขึ้นมาปานหม้อน้ำเดือด…
ผ่านไปหนึ่งเค่อ มู่เฟิงโผล่ขึ้นมาจากน้ำในมือจับปลาตัวใหญ่ที่ดีดดิ้นไว้ตัวหนึ่ง บนร่างเขาถูกกัดจนมีบาดแผลอาบเลือดมากมาย อาภรณ์บนร่างจับตัวเป็นน้ำแข็ง เกาะตัวเป็นชั้นทั่งร่างปานเกราะน้ำแข็ง
ในน้ำหนาวเย็นด้วยไอหยิน แตกต่างกับความหนาวเย็นธรรมดาริมฝีปากมู่เฟิงขาวซีดไปหมด หลังจากเขาจับปลาตัวนั้นได้ก็หมายจะขึ้นฝั่ง ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกลับเอ่ยเรียบๆ ว่า “ปลาตัวนี้เล็กเกินไป ไปจับตัวอื่นที่ใหญ่กว่านี้มา”
“ขอรับ!” มู่เฟิงไม่พูดไร้สาระเลยสักประโยค มุดลงน้ำไปอีกครา
ในน้ำพลุ่งพล่านอีกครั้ง มีบุปผาโลหิตผุดขึ้นมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นของมู่เฟิง หรือว่าเป็นของปลาเหล่านั้น…
“นี่ท่านทำอะไรอยู่?” ขณะที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยืนมองอยู่ที่ริมฝั่ง เสียงกระจ่างใสของสตรีก็แว่วมาจากด้านหลัง
เขาหันกลับไป ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขาก็คือเซียนหญิงลี่หวาง
“ปลาในทะเลสาบแห่งนี้อุดมสารอาหาร ข้าอยากเอามาตุ๋นน้ำแกงดู”
เซียนหญิงลี่หวางเม้มปากนิดๆ “ปลาในทะเลสาบแห่งนี้ไม่เลิศรสสักเท่าใด…ท่านทำเช่นนี้ต้องการทดสอบความภักดีที่เขามีต่อท่านกระมัง? วางใจเถอะ คนที่โดนกู่หนึ่งใจภักดิ์ของข้า ล้วนจะภักดีต่อผู้เป็นนายอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้มาทดสอบเลย”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถูกจี้ปมในใจเข้า จึงยิ้มแวบหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าปลาชนิดนี้เลิศรสจริงๆ…”
น้ำเสียงเซียนหญิงลี่หวางเยียบเย็นเล็กน้อย “ยามเที่ยงคืนเป็นช่วงเวลาที่วิญญาณร้ายในทะเลสสาบนี้กำเริบเสิบสาน ต่อให้เป็นท่านหรือข้าที่ลงไปก็ยังไม่แน่ว่าจะขึ้นมาได้โดยไม่บุบสลาย ท่านให้เขาลงไปเพื่อสนองความอยากของตนเท่านั้นจริงๆ น่ะหรือ? เห็นทีว่าท่านคงไม่เชื่อถือในเวทวิชาของข้าสักเท่าไหร่สินะ”
เห็นได้ชัดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่คิดจะล่วงเกินนาง ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านเซียนคิดมากไปแล้ว…ช่างเถิด ปลานี้ข้าไม่อยากกินแล้ว มู่เฟิง ขึ้นมา!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฟิงก็โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ ตัวคนแทบจะแข็งจนเป็นก้อนน้ำแข็งแล้ว บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลนองเลือด ดูแล้วค่อนข้างน่าตกใจ
เขาอยากขึ้นฝั่ง ทว่าเห็นได้ชัดว่าไม่มีแรง…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมโบกมือคราหนึ่ง แขนเสื้อยืดทะยานออกไป ม้วนตัวเขากลับขึ้นฝั่ง
ทั้งร่างของมู่เฟิงจับตัวเป็นน้ำแข็ง สั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้อยู่ตรงนั้น ทว่ายังคงจับปลาตัวนั้นไว้แน่นแล้วค้อมกายให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม “นายท่าน”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายค่อนข้างหมดอารมณ์อยู่บ้าง “จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากกินปลาแล้ว ปล่อยปลาตัวนี้ไปเถอะ”
“ขอรับ” มู่เฟิงหลุบตาลงแล้วปล่อยปลาที่ทุ่มเทไปเกือบครึ่งชีวิตถึงจับมาได้ลงทะเลสาบไป
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมองสีหน้าของเขาอย่างละเอียด ถึงแม้สีหน้าของมู่เฟิงจะซีดขาวอย่างยิ่ง ทว่าไม่มีสีหน้าคับข้องใจที่ถูกกลั่นแกล้งเลยสักนิด
เขาถึงได้พอใจ โยนโอสถให้หนึ่งขวด “กินยานี้เข้าไปซะ กลับไปค่อยนั่งสมาธิอีกสามชั่วยามเพื่อขับพิษหนาวไอหยินในร่าง”
มู่เฟิงขานรับอีกครา กล่าวขอบคุณแล้วถือขวดยาจากไป
เซียนหญิงลี่หวางยิ้มนิดๆ “ไม่คิดเลยว่าเขาจะเชื่องเชื่อเสมือนสุนัขตัวหนึ่งได้”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกุมมือนาง “ที่นี่ลมแรง…”
สีหน้าเซียนหญิงลี่หวางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อ สลัดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมออกทันที เอ่ยอย่างเย็นชา “จะพูดก็พูดไป อย่าได้ปากว่ามือถึง!” พลันหมุนกายจากไป
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมมองเงาหลังของนาง ดวงตาฉายแววคุกรุ่น นิ้วมือค่อยๆ กำแน่น…
เสแสร้งอันใดกัน? ก็แค่คนจากดินแดนเบื้องบนที่ถูกลดขั้นนั้น ยังนึกว่าตนเป็นผู้ควบคุมโลกนี้จริงๆ อยู่อีกหรือ? เฮอะ!
….
มู่เฟิงกลับไปที่เรือนพักของตนอย่างช้าๆ ท่าทางของเขาสงบนิ่งยิ่งนักอยู่ตลอด ทว่าในใจปั่นป่วนไปหมดแล้ว
นายท่าน! นายท่านกลับมาแล้วจริงๆ!
ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวังแล้ว! ในที่สุดความทรมานก็ได้ผล!
นายท่านปลอมเป็นไอ้คนอัปลักษณ์เช่นนั้นมาหาพวกเขา หากมิใช่เขาได้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์บนร่างของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เขาก็คงจำเขาไม่ได้…
ยามที่จดจำได้ว่าเป็นนายท่าน เขาตื่นเต้นจนแทบอยากตีลังกาแล้ว! หากมิใช่หลายปีมานี้ขณะที่ติดตามทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้ฝึกฝนวิชาสงบเยือกเย็นจนชำนาญแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อครู่เขาอาจเผยพิรุธออกมา
ถึงแม้ในใจเขาจะตื่นเต้นอย่างยิ่ง ทว่าฉากหน้ากลับมองอะไรไม่ออกเลย
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นวิปริตยิ่งนัก ในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนมีกล้องวงจรปิดอยู่ทั่วสารทิศ อากัปกริยาของเขาล้วนอยู่ภายใต้การจับตามองของผู้อื่น ดังนั้นหลังจากเขากลับถึงเรือนตน ก็เริ่มทายาให้ตัวเองด้วยสีหน้าทึ่มทื่อปานท่อนไม้
หลังจากทายาแล้ว เขาก็ลาดตระเวนไปรอบๆ เหมือนที่ผ่านมา ทำหน้าที่ตรวจตราป้องกันตามปกติ
เขากับสหายของเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน แยกกันอยู่อยู่สี่ของคฤหาสน์ ทุกๆ วันไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนล้วนต้องวนไปหาอีกสามคนที่เหลือรอบหนึ่ง วันนี้ก็เช่นกัน
เขาวนไปหามู่เหล่ยที่นั่นก่อน มู่เหล่ยกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่ เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็เอ่ยทักทายเขา แล้วฝึกวรยุทธ์ต่อ
มู่เฟิงพยักหน้านิดๆ ไม่ได้พูดอย่างอื่นก็ออกมาเลย
หายนะครั้งนี้พวกเขาติดกับอย่างเหนือความคาดหมาย ก่อนเกิดเรื่องไม่เคยมีวี่แววเลยสักนิด!
หลังจากท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้าสู่ตาค่ายแห่งนั้น พวกเขาเป็นกังวลกันอยู่หลายวัน แทบจะไปสำรวจรอบป่าทมิฬทุกสองสามวัน ป้ายหยกที่ใช้สื่อสารกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ถูกหยิบออกมาวันละแปดรอบ
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหายเงียบไปเลย เวลาเคลื่อนคล้อยไป หัวใจของพวกเขาก็ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เมื่อสองปีก่อนมีวันหนึ่งมู่อวิ๋นทนไม่ไหวออกไปตามหาเพียงลำพัง เมื่อกลับมาในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง เหล่าพี่น้องก็พาเขาไปเลี้ยงปลอบใจ กินอาหารด้วยกันมื้อหนึ่ง จากนั้นก็ตกอยู่ในห้วงฝันร้าย!
พวกเขาเห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับมา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้บุคลิกท่าทางต่างๆ ล้วนไม่เหมือนนายท่านของพวกเขาเลย แต่ในใจพวกเขากลับจงรักภักดีต่อเขาอย่างน่าประหลาด เขาว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น ถึงขั้นที่เขาบอกว่าลูกบอลเป็นสี่เหลี่ยม พวกเขาก็คล้อยตามเช่นกัน
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าในใจทราบชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร แต่ร่างกายและการเคลื่อนไหวกลับไม่ฟังคำสั่งตนเลย คอยติดตามอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นวิ่งตามปรนนิบัติรับใช้…
ความรู้สึกนั้นราวกับร่างกายของตนเป็นหุ่นเชิด ถูกผู้อื่นควบคุมไว้แล้ว ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึก นิสัยใจคอกริยาท่าทางไม่แตกต่างจากในอดีตเลย ไม่มีผู้ใดแยกแยะออก ความรู้สึกนั้นน่าหวาดหวั่นและสิ้นหวังยิ่งนัก เหมือนทราบว่าเบื้องหน้าคือหุบเหว แต่ก็ยังกระโดดลงไป
เคราะห์ที่ว่าอ่านเป็นเพราะสมรรถภาพร่างกายของมู่เฟิงมีความพิเศษ เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ครึ่งวัน อีกครึ่งวันให้หลังเขาก็ชิงการควบคุมร่างกายกลับมาได้แล้ว
แต่พี่น้องของเขาไม่ได้โชคดีเหมือนเขา พวกเขาไม่เคยได้สติขึ้นมาอย่างแท้จริงเลย
เมื่อมู่เฟิงได้สติกลับมา เรื่องแรกที่กระทำก็คือทดสอบพี่น้องทั้งสามคนของตน เมื่อพบว่าพวกเขายังคงถูกสะกดอยู่ เขาจึงทำได้เพียงใช้วิชาลับลบความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของทั้งสามคนไปเสีย เช่นนี้ถึงจะป้องกันหายนะที่จะเผยความลับทั้งหมดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายออกมาไว้ได้…
ถึงแม้มู่เฟิงจะหลุดพ้นจากการควบคุมของกู่นั้นแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าจากไป พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายทั้งสามคนของเขาล้วนอยู่ในกำมืออีกฝ่าย หากว่าเขาหนีไป เกรงว่าจะเกิดเหตุเหนือความคาดหมายกับพวกเขาทั้งสาม อีกอย่างคาถาลบความจำชนิดนั้นจะต้องร่ายเดือนละครั้ง มิเช่นนั้นจะเสื่อมฤทธิ์
อีกอย่างวรยุทธ์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นี้กับเซียนหญิงลี่หวางนางนั้นสูงส่งยิ่ง ต่อให้พวกเขาทั้งสี่ผนึกกำลังกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี
กล่าวอีกนัยคือบนโลกนี้นอกจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงแล้วไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้…
ดังนั้นมู่เฟิงจึงฝืนทนต่อไป เขาแสร้งทำเป็นถูกสะกดอยู่ตลอดปฏิบัติตามคำสั่งของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม ลอบศึกษาวิธีคลี่คลายวิชากู่ให้เหล่าพี่น้องอย่างลับๆ
จนปัญญาที่กู่ชนิดนี้พบเห็นได้ยากยิ่งนัก เริ่มแรกสุดมู่เฟิงถึงขั้นที่ไม่ทราบเลยว่าสรุปแล้วพวกเขาถูกเล่ห์กลอันใดกันแน่ ทำได้เพียงค่อยลองคลำทางดู ยามที่ติดตามอยู่ข้างกายสองคนนั้นจะสืบหาเบาะแสจากบทสนทนาของพวกเขา
เขาเพิ่งทราบในครึ่งปีมานี้ว่าพวกเขาโดนกู่ที่พบเห็นได้ยากชนิดหนึ่ง และมู่เฟิงก็ไม่สันทัดด้านวิชากู่เลย เขาจึงทำอะไรไม่ได้ชั่วขณะ…
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นี้เป็นคนขี้ระแวง ถึงแม้จะควบคุมพวกเขาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่วางใจในตัวพวกเขา มักจะคิดอุบายชั่วช้ามาทดสอบพวกเขาอยู่เนืองๆ ถึงขั้นที่ให้พวกเขาสี่คนไปจูงม้ารับใช้หญิงนางนั้น มอบให้เป็นข้ารับใช้ของหญิงนางนั้น…
ดังนั้นวันคืนของพวกเขาในช่วงสองปีมานี้จึงทุกข์ทนยากจะเอื้อนเอ่ยยิ่งนัก มู่เฟิงขมขื่นกล้ำกลืนมาโดยตลอด รอคอยโอกาส
ยามนี้ในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว นายท่านของพวกเขากลับมาแล้ว!
ขอเพียงนายท่านของพวกเขากลับมา ทุกอย่างก็จะง่ายดายแล้ว!
เทียบยาที่เขามอบให้ ‘ประมุขหยาง’ ดูเผินๆ ก็ปกติทั่วไป อันที่จริงแล้วแฝงกลไกไว้มากมาย
เขาติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ระหว่างนายบ่าวย่อมมีวิธีสื่อสารแบบพิเศษชุดหนึ่ง มิเช่นนั้นในยามที่ตี้ฝูอีเล่นละครพันโฉมหน้า แล้วพวกเขายังหาตัวพบอย่างแม่นยำก็เนื่องด้วยเหตุผลข้อนี้
เขาเชื่อว่าหลังจากที่นายท่านได้เห็นเทียบยานั้น น่าจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในยามนี้ของพวกเขาทั้งสี่…
….
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
ตี้ฝูอีถอดความเทียบยานั้นออกมาอย่างรวดเร็ว ในเทียบยาประกอบเป็นถ้อยคำได้สองประโยค ‘อีกสามคนถูกวิชากู่หนึ่งใจภักดิ์ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ยามอิ๋น[1]สามเค่อของทุกวันวิญญาณอาฆาตใต้ต้นฉัตรจีนต้นหนึ่งทางตะวันตกของคฤหาสน์จะเสื่อมฤทธิ์เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม’
ปลายนิ้วของตี้ฝูอีเคาะเบาๆ ตรงคำว่ากู่หนึ่งใจภักดิ์ คิ้วคมมุ่นเล็กน้อย สำหรับวิชากู่เขาก็รู้เพียงผิดเผินเท่านั้น ไม่นับว่าสันทัดเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขาอาศัยจังหวะยามมู่เฟิงจับชีพจรให้เขา ลอบจับชีพจรของมู่เฟิงด้วยเช่นกัน ในร่างของมู่เฟิงมีกู่ แต่ถูกสะกดควบคุมไว้ ดังนั้นเขาจึงมีสติแจ่มใส ส่วนอีกสามคนที่เหลือกลับยังคงถูกควบคุมอยู่จนถึงยามนี้
เขามองจากท่าทางที่มู่เฟิงแสร้งแสดงออกมา คาดว่าน่าจะเป็นเช่นเดียวกับอีกสามคนที่เหลือ
หากว่าให้เวลาเขาสักหน่อย เขาก็น่าจะผลิตยาแก้ออกมาได้ไม่ต่างกัน เพียงแต่ตอนนี้พวกเขามีเวลาไม่มาก เขาจะต้องแข่งกับเวลาแล้ว!
“ซีจิ่ว เข้าคุ้มกันให้ข้าที ข้าจะลองหลอมโอสถแก้พิษดู” ตี้ฝูอีตัดสินใจลองดู
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “ลองหลอม? ท่านไม่มีแนวทางที่ชัดเจนหรือ?”
“ใช่ กู่ชนิดนี้ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทำได้เพียงทดลองดูสักหลายๆ ครั้ง” ตี้ฝูอีก็ไม่ปิดบังเธอ
กู้ซีจิ่วสูดหายใจนิดๆ “บางทีข้าอาจลองดูได้!”
ตี้ฝูอีประหลาดใจ “เจ้าน่ะหรือ?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “กู่ชนิดนี้คล้ายกู่หนึ่งรักมั่นที่ข้าเคยเห็นมาก่อน ข้ารู้วิธีแก้กู่หนึ่งรักมั่น สองอย่างนี้ไม่แน่ว่าอาจใช้ยาแก้แบบเดียวกันได้”
ตี้ฝูอีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ได้ เจ้าลองดูก่อน ข้าจะคุ้มกันให้เจ้า! ต้องการตัวยาใดบ้าง?”
กู้ซีจิ่วบอกชื่อตัวยาจำนวนหนึ่งออกมา ในบบรดาเหล่านั้นมีสองสามอย่างที่ตี้ฝูอีเตรียมพร้อมไว้แล้ว ยังมีอีกสองสามอย่างที่จำเป็นต้องออกไปซื้อแบบสดใหม่จากร้านยา
ตี้ฝูอีสั่งการให้ผู้อาวุโสเหลียงไปจัดการเรื่องสมุนไพรเหล่านั้นทันที สำหรับคนของหอเงาราตรีแล้ว การไปซื้อยาจากร้านขายยาเป็นเรื่องที่ไม่คณามือเลย ดังนั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งในสี่ของหนึ่งชั่วยาม (ครึ่งชั่วโมง) ตัวอย่างที่กู้ซีจิ่วต้องการก็เตรียมพร้อมแล้ว
ยามที่หลอมโอสถพลังวิญญาณจะรั่วไหลออกมาภายนอก อาจก่อให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมแคลงใจได้ กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีจึงตรงไปที่วังค้ำนภา
สภาพภายในวังค้ำนภายังเป็นเช่นเดิม เพียงบ่าวไพร่ในวังหายไปกว่าครึ่ง
ทั้งสองแฝงกายเข้าไป ไม่ได้ทำให้ผู้ใดแตกตื่น บางครั้งก็พบกับข้ารับใช้สองสามคนที่เดินตรวจตรายามราตรี ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเป็นครั้งคราว ทำให้ทั้งสองคนได้ทราบเบาะแสของข้ารับใช้ชายหญิงเหล่านั้น…
ถูกตี้ฝูอีตัวปลอมโยกย้ายไปที่คฤหาสน์หลังใหม่แล้ว!
หัวใจของกู้ซีจิ่วจมดิ่งลงไป ในคฤหาสน์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมเธอไม่พบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเลย
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ข้ารับใช้ครึ่งหนึ่งมีอยู่หลายสิบคน ยามที่เธอกับตี้ฝูอีเข้าไป ข้ารับใช้ทั้งหมดที่พบเห็นล้วนเป็นคนใหม่ทั้งสิ้น ไม่เห็นคนเก่าๆ เลยสักคน
เช่นนั้นคนพวกนั้นจะถูกย้ายไปไว้ที่ไหนเล่า? ไปเป็นแรงงานอยู่ในซอกหลืบรูใด หรือว่าประสบเหตุไปแล้วเช่นกัน?
ด้วยนิสัยของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคนนั้น มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าคนเหล่านั้นจะประสบเหตุไปแล้ว…
ข้ารับใช้หญิงชายที่ถูกคัดเลือกไปล้วนเป็นอัจฉริยะของที่นี่ กล่าวได้ว่าเคยรับใช้ตี้ฝูอีอย่างใกล้ชิด
ถึงแม้จะไม่ใกล้ชิดเท่าสี่ทูต แต่ก็จงรักภักดีต่อตี้ฝูอี ยามที่กู้ซีจิ่วพำนักอยู่ในวังค้ำนภา ข้ารับใช้เหล่านั้นปฏิบัติต่อเธออย่างเป็นมิตรและเคารพเทิดทูนยิ่งนัก ในใจของกู้ซีจิ่ว ได้มองคนเหล่านั้นเป็นสหายไปแล้ว หากว่าพวกเขาประสบเหตุสิ้นชีพ…
จิตใจของกู้ซีจิ่วหนักอึ้ง ฝีเท้าก็เชื่องช้าลง
….
————————————————————————–
[1] ยามอิ๋น คือ ช่วงเวลาระหว่าง 03:00 – 04:59 นาฬิกา