ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1409+1410
บทที่ 1409 คืนนี้จะต้องช่วยคนออกมาให้ได้! – 2
เธอมองตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ริมฝีปากบางของเขาเม้มนิดๆ ไม่เผยท่าทีออกมา แสงจันทร์ส่องสะท้อนนัยน์ตาเขา ดำยิ่งนัก มืดมนยิ่งนัก
เขาไม่ได้มองเธอ แต่เงยหน้ามองท้องฟ้า
แสงดาวสกาวเต็มฟ้ามีกี่ดวงที่ส่องสว่างกี่ดวงที่มืดมนเล่า?
หกว่าดาวหนึ่งดวงคือตัวแทนของคนหนึ่งคน มีดวงดาวมากน้อยเพียงใดแล้วที่ร่วงหล่นไปโดยมิมีผู้ใดทราบ?
ในใจเขาคงไม่สบายใจเหมือนกันกระมัง? เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงออกมาก็เท่านั้น
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปจับมือเขา นิ้วมือของเขาเย็นเฉียบ ดูเหมือนเขาจะใจลอยอยู่ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ประสานมือกลับเหมือนที่ผ่านมา เพียงปล่อยให้เธอจับไว้
กู้ซีจิ่วเอียงศีรษะซบไหล่เขาพลางเอ่ยเอาใจ “ฝูอี ข้าจะต้องหลอมยาแก้ได้แน่นอน!”
ตี้ฝูอีตบมือเธอเบาๆ ตอบอืมคราหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก
ทั้งสองไปที่ห้องหลอมโอสถในอดีตของตี้ฝูอี กู้ซีจิ่วตั้งสมาธิ เริ่มค้นคว้าหลอมยาแก้ชนิดนั้น…
เนื่องจากเวลากระชั้นชิด กู้ซีจิ่วจะต้องมีสมาธิตั้งมั่นกับการหลอมโอสถ ไม่อาจถูกรบกวนจากโลกภายนอกได้ ดังนั้นตี้ฝูอีจึงติดตั้งเขตแดนไว้นอกห้องหลอมโอสถ เช่นนี้คนที่อยู่ด้านนอกก็จะมองไม่เห็นแสงเทียนในห้องหลอมโอสถแล้ว และไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หนึ่งชั่วยามผ่านไป…
กู้ซีจิ่วค้นคว้าหลอมกลั่นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้เธอไม่ได้ออกมาเลย ย่อมไม่ได้พักผ่อนด้วยเช่นกัน
ตัวเธอเองก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้วว่าหลอมโอสถเสียไปแล้วมากน้อยเพียงใด จวบจนยามพลบค่ำของวันถัดมา เมื่อเธอเปิดฝาเตาออก จึงได้เห็นยาลูกกลอนสีเขียวแวววาวนอนอยู่ในเตาสิบเม็ด…
โอสถขจัดกู่ระดับแปด! มีสรรพคุณขจัดกู่ได้ชะงัดที่สุด ต่อให้เป็นกู่ที่ร้ายกาจเพียงใดก็สามารถกำจัดทิ้งได้
เดิมทีเธอคาดการณ์ไว้ว่าโอสถขจัดกู่ระดับเจ็ดก็น่าจะใช้ได้แล้ว แต่เพื่อรับประกันว่าจะเห็นผล ในเตาสุดท้ายนี้เธอเพิ่มตัวยาพิเศษลงไปอีกอย่าง…เลือดของเธอ!
ไม่น่าเชื่อว่าจะหลอมได้ลูกกลอนระดับแปด! แถมยังได้ตั้งสิบเม็ดอีก! นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง!
อันที่จริงเธอค้นพบนานแล้วว่าเลือดของตัวเองสามารถยกระดับโอสถที่หลอมได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นสภาพร่างกายแบบในอดีตหรือว่าสภาพร่างกายในปัจจุบัน ล้วนได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน เพียงแต่เธอไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลย ถือว่าเป็นความลับเล็กๆ ของเธอ
แน่นอนว่าเธอใช้โลหิตของตนเป็นกระสายในการหลอมโอสถน้อยครั้งยิ่งนัก เธอเคยใช้ไปหนหนึ่งตอนที่ช่วยชีวิตตี้ฝูอีในตาค่าย
ที่เหลือเป็นการบาดเจ็บเป็นบางครั้งในระหว่างที่หลอมโอสถ เลือดหยดลงไปในเตาหลอม ผลคือโอสถเตานั้นกลายเป็นโอสถระดับสูงเป็นพิเศษ…
เดิมทีจิตใจเธอหนักอึ้งยิ่งนักมาโดยตลอด ถึงแม้ตี้ฝูอีจะไม่เคยติเตียนว่ากล่าวเธอเลย ถึงขั้นที่ไม่เผยท่าทีโทษว่าเป็นความผิดของเธอเลยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับทราบดีว่าทุอย่างล้วนมีสาเหตุมาจากการหนีงานแต่งครั้งนั้นของเธอ…
ถ้าหากเธอไม่หนีงานแต่งไป โลกภายนอกก็คงไม่เกิดเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ขึ้น ผู้บริสุทธิ์ก็คงไม่ต้องสังเวยชีวิตมากมายถึงเพียงนี้…
หลังจากออกมาจาป่าทมิฬ ทุกคืนเธอจะตื่นขึ้นมากลางดึก ความรู้สึกในใจไม่เคยเลือนหายไปเสมอมา เพียงแต่เธอเก็บไว้กับตัวมาโดยตลอด ไม่เคยเปิดเผยออกมา
ยามนี้เมื่อได้เห็นยาลูกกลอนสิบเม็ดนี้ ในที่สุดจิตใจอันหนักอึ้งของเธอก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
นี่คือลูกกลอนขจัดกู่ที่ทรงอานุภาพที่สุด คนพิลึกคนหนึ่งที่เธอรู้จักในยุคปัจจุบันได้ถ่ายทอดให้แก่เธอ คนผู้นั้นอ้างตัวว่าเป็นบรรพชนกู่ เธอบังเอิญช่วยเหลือภรรยาของเขาไว้ครั้งหนึ่ง เขาจึงบอกสูตรยาชนิดนี้ให้เธอ…
เนื่องจากโอสถชนิดนี้ต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งพอถึงจะหลอมออกมาได้ แถมยังต้องใช้ทักษะการหลอมแบบพิเศษด้วย ยามนั้นกู้ซีจิ่วยังไม่เข้าใจว่าพลังวิญญาณคือตัวอันใด ทั้งยังไม่เข้าใจทักษะการหลอมโอสถด้วย ดังนั้นเธอจึงจดจำสูตรยานี้ไว้ในใจเสมอมา ไม่เคยหลอมมาก่อนเลย นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้ประโยชน์ในยามนี้
ยาลูกกลอนกลิ้งหลุนๆ อยู่ในฝ่ามือเธอ ในที่สุดหัวใจเธอก็ลิงโลดขึ้นมาบ้างแล้ว หากว่าสิ่งที่เจ้าคนนามว่าซวนหยวนลั่วอวี่ผู้นั้นพูดมาเป็นความจริง เขาเป็นบรรพชนกู่จริงๆ เช่นนั้นสูตรยานี้ของเขาก็ต้องเป็นของจริงเหมือนกัน พวกมู่เฟิงมีทางช่วยเหลือแล้ว!
เธอนำยาลูกกลอนทั้งสิบเม็ดใส่ลงไปในขวดใบเล็กอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปิดประตูออกไปหาตี้ฝูอี ผลคือพบว่าเขาไม่ได้คอยอยู่นอกห้องหลอมโอสถ
เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพียงแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ล้วงยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาจากร่างเพื่อติดต่อ
จากนั้นก็พบว่าติดต่อไม่ได้ ยันต์ถ่ายทอดเสียงคล้ายว่าไม่มีสัญญาณ
เธอใจหายวาบ พบว่าในสถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ…เขาเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามอันใดเข้าแล้ว!
เขาบอกไว้อย่างชัดเจนว่าจะคอยเฝ้าเธออยู่ด้านนอก แล้วจู่ๆ จะเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามได้อย่างไร? ไปนานแค่ไหนแล้ว? จะกลัมาเมื่อไหร่? มีอันตรายหรือเปล่า?
หัวใจเธอพลันเป็นกังวลขึ้นมา เธอเดินไปวนมาอยู่ที่เก่าประหนึ่งโม่แป้ง จากนั้นก็มองสีของท้องฟ้าภายนอก ฟ้ามืดสนิทแล้ว ดวงดาวส่องแสงพร่างพราวเต็มฟ้า
ในใจเธอค่อนข้างร้อนรน หลีเมิ่งซย่ายังอยู่ในกำมือของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคนนั้น ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกไต่สวนหรือไม่? ยามไต่สวนจะมีการทรมานหรือเปล่า?
เธอไม่อาจยืดยาดต่อไปได้ คืนนี้จะต้องช่วยคนออกมาให้ได้!
โชคดีที่มู่เฟิงบอกไว้ว่ายามอิ๋นสามเค่อเป็นช่วงที่กำแพงวิญญาณอาฆาตนั้นจะเสื่อมฤทธิ์ลงครึ่งชั่วยาม ครึ่งชั่วยามนี้เพียงพอให้เธอลอบเข้าไปช่วยเหลือคนออกมาแล้ว!
แต่ว่าสรุปแล้วตี้ฝูอีไปอยู่ที่ไหนกันแน่?
ความรู้สึกไร้กำลังในใจของกู้ซีจิ่วทะยานขึ้นมา ดูเหมือนทุกครั้งที่ตี้ฝูอีหายตัวไป เธอล้วนไม่ทราบเลยว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน ทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทน…
เวลายังไม่ดึก อันที่จริงเธอควรพักผ่อนสักหน่อย แต่เนื่องจากพะวงถึงตี้ฝูอี เธอนอนอยู่บนเตียงเมฆาก็หลับไม่ลง จึงกระโดดลงมาจากเตียงเสียเลย วนสำรวจภายในวังค้ำนภา
เธอเคยพักอาศัยอยู่ในวังค้ำนภาหลายเดือน สำหรับต้นไม้ใบหญ้าของที่นี่ล้วนคุ้นเคยทั้งสิ้น เมื่อก่อนมองแล้วเพียงรู้สึกว่าบุปผาเบ่งบานงดงามดั่งผ้าดิ้น สีสันงดงามละลานตา ทว่ายามนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนเรือนเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าที่นี่ยังมีคนคอยปัดกวาดเช็ดถูอยู่ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ารอบข้างยังคงสะอาดเรียบร้อยยิ่งนัก แต่กู้ซีจิ่วก็ยังรู้สึกหนาวยะเยือก
เสมือนสวนขวัญในเรื่องความฝันในหอแดง ยามที่เหล่าคุณหนูล้วนพำนักอยู่ในสวนขวัญ จะคึกคักมีสีสัน ร้องรำทำเพลงเจริญหูเจริญตาไปทั่วทุกแห่ง
แต่หลังจากเหล่าคุณหนูบ้างก็ออกเรือนบ้างก็สิ้นชีพบ้างก็ย้ายออกไปแล้ว ถึงแม้จะมีเหล่าสาวใช้คอยทำความสะอาดสวนขวัญอยู่ แต่ผู้ที่เข้ามาเดินเล่นกลับรู้สึกอยู่เสมอว่าด้านในเหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยว
ตอนนี้กู้ซีจิ่วก็รู้สึกเช่นนั้น
ที่เธอเดินเตร็ดเตร่ไม่ใชเพื่อชมทิวทัศน์ อันที่จริงเธอยังไม่ถอดใจ คิดจะตามหาตี้ฝูอีอยู่
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเธอก็เดินมาถึงสวนด้านหลังแล้ว ในสวนด้านหลังมีตำหนักอยู่หลังหนึ่ง ตำหนักหลังนั้นไม่มีอะไรต่างกับตำหนักที่ส่วนอื่นๆ ยามปกติจะลงสลักคล้องประตูไว้ เปิดไม่ได้ง่ายๆ
ยามที่กู้ซีจิ่วพำนักอยู่ที่นี่ เคยมาเดินเล่นละแวกตำหนักใหญ่ ไม่รู้สึกว่าตำหนักนี้มีสิ่งใดน่าสนใจ ดังนั้นจึงไม่เคยเข้าไปดูเลย
ยามนี้เธอเดินเตร่มาถึงที่นี่อีกครั้ง บังเอิญเห็นว่าสลักบนประตูตำหนักอันนั้นไม่อยู่แล้ว…
ประตูตำหนักเปิดอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีคนเข้าไปแล้ว
เธอจำที่มู่เฟิงเคยบอกไว้ได้ ตำหนักหลังนี้เป็นเขตหวงห้าม มีเพียงตัวท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่สามารถเข้าไปได้ หากคนอื่นๆ หลงเข้าไปจะมีโทษถึงตาย
กู้ซีจิ่วทราบบนร่างสามีตนมีความลับมากมายนัก เนื่องจากหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชะตาฟ้าลิขิต ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงคร้านจะถามเช่นกัน ที่ไหนไม่ให้เธอเข้าเธอก็ไม่เข้า ถึงขั้นที่ไม่เอ่ยถามด้วยซ้ำ
ยามนี้เมื่อเห็นบานประตูแง้มออกครึ่งหนึ่งเธอคิดสับสนวุ่นวายอยู่สักครู่
ตี้ฝูอีจะอยู่ในนี้หรือเปล่านะ?
—————————————————————
บทที่ 1410 ระยะนี้เจ้ารู้สึกผิดยิ่งนักใช่หรือไม่? – 3
เธอหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาอีกครั้ง ติดต่อเขาดูอีกที ผลคือยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเช่นเดิม
เขายังอยู่ในเขตหวงห้าม เช่นนั้นก็ไม่น่าจะอยู่ที่นี่ ถ้างั้นคนที่เข้าไปคือใครกันล่ะ? หากว่าเป็นผู้ที่จิตใจลึกล้ำไม่อาจคาดคะเนได้เข้าไปเห็นทุกอย่างที่ด้านใน ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลร้ายใหญ่หลวงต่อตี้ฝูอี!
เธอตัดสินใจในทันใด ตัดสินใจว่าจะเข้าไปดู
เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายก่อน หมายจะเคลื่อนย้ายเข้าไป
เธอกะระยะทางได้แม่นยำ การเคลื่อนย้ายครั้งนี้น่าจะเคลื่อนย้ายไปโผล่ที่กลางตำหนักได้ ผลคือหลังจากเธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายแล้ว พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางหมอกหนา…
ไอหมอกนั้นหนาวเย็นยิ่งนัก เธอหนาวจนสั่นสะท้าน กอดแขนเอาไว้
เวรแล้ว คราวนี้เธอเคลื่อนย้ายมาโผล่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย?
เธอพิศดูรอบข้าง ผลคือเห็นเพียงหมอกหนากลุ่มแล้วกลุ่มเล่ารวมตัวอยู่รอบด้าน ทำให้เธอมองไม่เห็นทิศทางเลย
เธอลองก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว จู่ๆ ใต้เท้าพลันว่างเปล่า ตัวคนเสมือนก้าวพลาดลงไปในเหวลึกพันจั้ง และใต้เหวลึกก็มีลาวาปะทุอยู่ ถ้าเธอร่วงหล่นลงไปเกรงว่าแม้แต่ซากกระดูกก็หาไม่พบแล้ว!
โชคดีที่ตอนนี้พลังวิญญาณของเธอสูงพอ จึงโคจรลมปราณเหินทะยานขึ้น ในที่สุดก็กระโจนขึ้นมาได้อีกครั้ง
จากนั้นเธอก็พบว่าตนหาที่วางเท้าไม่ได้แล้ว ทุกที่ที่ย่ำลงไปล้วนปริแตก และด้านล่างบางทีก็เป็นลาวา บางทีก็เป็นดาบน้ำแข็งคมกริบ บางทีก็เป็นหล่มโคลนดำเมื่อมที่โหมซัด…ทุกอย่างดูเอาชีวิตคนได้ทั้งสิ้น!
เมื่อก่อนเธอเรียนวิชาเหาะเหินมาแล้ว ต่อให้ไม่ต้องใช้เท้าเหยียบพื้น ก็สามารถลอยตัวอยู่ในอากาศได้ แต่ที่นี่กลับคล้ายจะมีแรงโน้มถ่วงมหาศาล ทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายตนหนักอึ้งปานลูกตุ้มน้ำหนัก เธอพยายามร่ายคาถาสุดชีวิตถึงสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้หล่นลงไปได้ แต่ก็ยังลำบากมากอยู่ดี
หรือว่าตนจะเข้ามาให้ค่ายกลอันใดเข้าแล้ว?!
มิฉะนั้นตนที่เคลื่อนย้ายด้วยระยะทางกสิบว่าเมตร ไม่น่าจะเคลื่อนย้ายได้ไกลนัก
บางทีตำหนักใหญ่แห่งนี้อาจเป็นเขตหวงห้าม ตี้ฝูอีติดตั้งกลไกไว้ที่ประตู และเธอที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาก็ไปกระทบกลไกเข้า
ตี้ฝูอีเคยสอนวิธีทำลายกลไกสารพัดอย่างให้เธอแล้ว เธอจึงเริ่มใช้ทันที…
วิธีแก้กลไกแต่ละอย่างแตกต่างกันไป เธอต้องควบคุมไม่ให้ร่วงลงไป อีกทั้งต้องลองดูสารพัดวิธี เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีตกหล่นไปบ้าง ไม่ทันระวังจึงถูกเชือกที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าคล้องไว้แล้วดึงลงไปด้านล่าง ลากอย่างรุนแรง เธอร้องอุทานคราหนึ่ง ร่างกายร่วงดิ่งลงไป!
ลาวาแดงฉานพุ่งเข้ามา เธอแกะเชือกไม่ออกชั่วขณะ ขณะที่ในใจกำลังเข้าตาจน ทันใดนั้นพลันมีลำแสงสีฟ้าที่คล้ายผืนแพรสายหนึ่งโฉบลงมาจากฟากฟ้า ห่อตัวเธอไว้ ร่างกายเธอลอยเข้าไปในแนวตะแคง!
จากนั้นก็เข้าสู่อ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง กลิ่นอายที่คุ้นเคยโชยเข้าสู่จมูก กู้ซีจิ่วกอดอีกฝ่ายไว้ตามสัญชาตญาณ รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือกระแสน้ำวน…
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอรู้สึกว่าเท้าตนย่ำลงบนพื้น ห้อมล้อมด้วยผกาแดงพฤกษาขจี ยังคงเป็นสวนด้านหลังแห่งนั้น
และเธอก็ถูกตี้ฝูอีอุ้มร่อนลงบนโขดหินก้อนหนึ่ง กู้ซีจิ่วยังตกใจไม่หาย มองตี้ฝูอีที่ยังคงกอดตนไว้ “ท่าน…”
หัวใจเธอเต้นกระหน่ำ ไม่น่าเชื่อว่าหัวใจเขาก็เต้นรัวยิ่งนักเช่นกัน ถึงขั้นที่สีหน้าค่อนข้างซีดขาวด้วย เขาเปิดปากก็ติเตียนเลย “เจ้าวิ่งวุ่นวายอันใดอีกแล้ว?! มิใช่ว่าสถานที่แห่งใดเจ้าก็วิ่งวุ่นวายได้นะ!”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอเม้มริมฝีปากนิดๆ หลุบตาลง “ขอโทษ”
ตี้ฝูอีคล้ายจะสัมผัสได้แล้วว่าตนกล่าวหนักไปหน่อย สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยถามเธอ “บาดเจ็บหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “สบายดี”
ตี้ฝูอียื่นมือไปจับชีพจรเธอ คล้ายต้องการจะตรวจวัดชีพจรเธอ กู้ซีจิ่วถอยหลังไป “ข้าบอกแล้วไงข้าไม่เป็นไร”
เธอสงบหัวใจที่เต้นกระหน่ำลง มองตำหนักหลังนั้น เมื่อครู่ประตูตำหนักหลังนั้นเปิดแง้มไว้ ยามนี้กลับลงสลักคล้องประตูแล้ว ชัดเจนยิ่งนักว่าตี้ฝูอีออกมาจากตำหนักหลังนี้ ก่อนหน้านี้เขาก็อยู่ในตำหนักแห่งนี้มาโดยตลอด
หลังจากเขาเข้าไปในตำหนักแห่งนี้ก็จะมีเขตแดน ถ้าไม่มีคำอนุญาตจากเขา ผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้ หากมีคนหลงเข้าไปก็จะถลำเข้าสู่ม่านหมอก
และม่านหมอกนั้นก็สามารถทำร้ายคนได้จริงๆ เธอเชื่อว่าถ้าหากเธอหล่นลงสู่ลาวานั้นกระทั่งซากศพก็คงไม่หลงเหลืออยู่จริง…
เธอพิศดูตี้ฝูอีเล็กน้อย เขาสวมเสื้อคลุมพิธีการสีครามนภาอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก บนเสื้อคลุมปักลวดลายดวงดาว ดวงดาวนั้นเสมือนดวงดาวของจริง พลิ้วไหวอยู่บนเสื้อคลุมเขาตามการเคลื่อนไหวของเขา
เธอตั้งสติแล้วเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ท่านอยู่ในตำหนักตลอดใช่ไหม? ข้าใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อท่านแต่ท่านไม่ตอบกลับเลย ข้าไม่วางใจจึงออกตามหา…”
ตี้ฝูอีนิ่งไปเล็กน้อย ถอนหายใจ “ข้าอยู่ที่นี่มีอะไรให้ไม่วางใจเล่า? ระยะนี้เจ้าดูตื่นตูมไปหน่อยนะ”
กู้ซีจิ่วหลุบตาลง ใช่แล้ว ระยะนี้เธอค่อนข้างตื่นตูมจริงๆ มักจะวิตกจริตหวั่นเกรงว่าเจ้าจะเกิดเรื่องขึ้น เปลี่ยนจนไม่เหมือนตัวเองอยู่บ้าง
บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตนี้เธอมีคนที่ใส่ใจอย่างแท้จริงน้อยเกินไป เมื่อใส่ใจคนผู้หนึ่ง วางเขาไว้ในใจอย่างหวงแหนห่วงใย ไม่ยินยอมให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้น
ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง พักนี้ถึงแม้นางจะดูเข้มแข็งยิ่งนักแต่ความจริงแล้วค่อนข้างระแวดระแวง…
เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ จูงมือนางออกเดิน “ระยะนี้เจ้ารู้สึกผิดยิ่งนักใช่หรือไม่?”
ร่างกายกู้ซีจิ่วแข็งทื่อเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา คิดจะเอ่ยปฏิเสธตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อมองตาเขาก็กล่าวถ้อยคำปฏิเสธไม่ออก สักพักก็ถอนหายใจไม่พูดอะไรออกมา
ตี้ฝูอีจึงกล่าวว่า “วันนี้ได้ประจักษ์ชัดเจตนาสวรรค์ไร้น้ำใจ บางคราเจตนาสวรรค์ก็เหี้ยมโหด เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง บางเรื่องก็ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”
กู้ซีจิ่วช้อนตามองเขา “ข้านึกว่าท่านจะกล่าวว่าชีวิตข้าลิขิตโดยข้าหาใช่ฟ้าไม่เสียอีก…”
ตี้ฝูอีอดขำไม่ได้ “นี่มิใช่ว่าข้ากำลังทำเรื่องที่พลิกสถานการณ์อยู่หรอกหรือ? เอาล่ะ การหลอมโอสถเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เธอล้วงขวดยาออกมาโบกตรงหน้าเขา เสมือนเด็กน้อยที่โอ้อวดความสำเร็จของตนต่อหน้าผู้ใหญ่ “ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง!”
ตี้ฝูอีรับขวดยาไป เทยาลูกกลอนออกมาดูเม็ดหนึ่ง แล้วดมดู ยาลูกกลอนชนิดนี้เขายังไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่เขาสามารถสัมผัสถึงพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านอยู่บนนั้นได้ โอสถนี้บนแผ่นดินยังไม่มีผู้ใดเคยหลอมมาก่อน โอสถชนิดใหม่นี้ต่อให้เขาเป็นผู้หลอม หลอมอยู่สามวันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหลอมระดับแปดออกมาได้ นึกไม่ถึงว่านางจะหลอมออกมาได้ในหนึ่งวันหนึ่งคืน!
เรื่องนี้นอกจากความสามารถอันเลิศล้ำของตัวนางแล้ว ยังอาศัยอีกคำหนึ่งด้วย…อุตสาหะ!
เขามองดวงหน้าพริ้มเพราของนาง ใต้ตามีรอยคล้ำจางๆ เห็นได้ชัดว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้นางไม่ได้พักเลยสักครู่เดียว
หัวใจเขาปวดปลาบ กอดนางไว้แน่น “เจ้าทุ่มเทถึงเพียงนี้ทำไม? ช่วยคนก็ไม่ได้รีบร้อนในวันสองวันนี้เสียหน่อย”
กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ “ไม่รีบร้อนได้อย่างไร? เมิ่งซย่ายังอยู่ในมือคนวิปริตผู้นั้น ช่วยออกมาได้เร็วขึ้นหนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน พวกเราจะไปช่วยคืนนี้ใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีอดไม่ได้ที่จะโอบเอวนางแล้วอุ้มขึ้นมา “ไปสิ ยามนี้ยังเช้าอยู่ เจ้าไปพักสักหนึ่งชั่วยามเถอะ”
เขาอุ้มนางตรงไปที่เรือนนอนของตน เรือนนอนของเขายังคงสะอาดสะอ้านยิ่งนัก ไม่มีฝุ่นเลยสักนิด ตี้ฝูอีวางนางลงบนเตียงของตน “นอนดีๆ สักงีบเถอะ เมื่อถึงเวลาข้าจะเรียกเจ้า”
กู้ซีจิ่วก็ง่วงงุนจริงๆ ตอบอืมคราหนึ่งแล้วหลับตาลง ยามที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นเรื่องแรกที่ทำก็คือกวาดสายตามองหาเขา
ค่อยยังชั่ว ตี้ฝูอีไม่ได้จากไปไหน นั่งดื่มชาอยู่หน้าโต๊ะ เขาสัมผัสได้อย่างฉับไวถึงการตื่นของเธอ “เป็นอะไร?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า เธอแค่กระวนกระวายใจอยู่บ้าง ค่อนข้างไม่อยู่กับร่องกับรอย
ตี้ฝูอีคล้ายจะสัมผัสถึงอารมณ์ของเธอได้ ถอนหายใจ นอนลงข้างกายนางเสียเลย “ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้า เอ้า ตอนนี้นอนดีๆ ได้แล้ว!”
กู้ซีจิ่วพลิกกาย กลิ้งไปซุกอกเขา “ข้านอนเป็นเพื่อนข้านะ”
ตี้ฝูอีตบหลังนางเบาๆ “ได้”
กู้ซีจิ่วหลับตาลง “ไม่อนุญาตให้ทิ้งข้าไว้แล้วแอบไป!”
ตี้ฝูอีเงียบกริบ
อันที่จริงเขามีความคิดเช่นนี้จริงๆ ให้นางพักอยู่ที่นี่ เขาจะไปช่วยคน
แต่เมื่อเห็นท่าทางหวาดผวากังวลของนางแล้ว เขาก็แข็งใจไม่ลง เอ่ยสัญญาว่า “แน่นอนอยู่แล้ว วางใจเถอะ ถ้าข้าไปจะพาเจ้าไปด้วย”
เช่นนั้นกู้ซีจิ่วถึงได้วางใจ ครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับไป
ตี้ฝูอีหลุบตามองแพขนตายาวงานของนาง ริมฝีปากงดงามได้รูป อดไม่ไหวจึงก้มลงไปจูบขมับคราหนึ่ง
มิน่าเล่าผู้คนถึงกล่าวกันว่าหญิงงามคือสุสานของผู้กล้า ต่อให้เป็นตัวเขา เมื่อชมชอบใครสักคนขึ้นมาจริงๆ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะละทิ้งความองอาจ เพื่อรักมั่นโฉมงาม
กู้ซีจิ่วหลับไปหนึ่งชั่วยามเต็ม ในหนึ่งชั่วยามนี้มือน้อยๆ ของนางยึดสาบเสื้อเขาไว้ตลอดตามสัญชาตญาณ คล้ายเกรงว่าเขาจะหนีไป
ตี้ฝูอีก้ไม่ได้ลุกขึ้นเลยจริงๆ เขานอนตะแคงอยู่ข้างกายนาง โอบนางไว้กึ่งหนึ่ง นำโอสถชนิดใหม่ที่นางหลอมออกมาศึกษาอยู่ตลอดหนึ่งชั่วยาม
จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เป็นลูกกลอนขจัดกู่ที่ทรงอานุภาพยิ่งนัก เมื่อกินลูกกลอนชนิดนี้เข้าไป ไม่ว่ากู่อันใดล้วนกำจัดได้ทั้งสิ้น สูตรนี้เป็นสูตรระดับเทพโดยแท้ นางไปได้สูตรยานี้มาจากที่ไหนกัน?
….
ยามอิ๋นสองเค่อ กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอียืนอยู่ด้านนอกกำแพงวิญญาณอาฆาตแล้ว เงี่ยหูฟังดูว่าด้านในมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่
ทั้งสองรอคอยอย่างสงบอยู่หนึ่งเค่อ จากนั้นก็พบว่ามุมหนึ่งของกำแพงที่ใกล้กับต้นฉัตรจีนขนาดใหญ่ จุดที่ถูกไอหมอกปกคลุมไว้มาโดยตลอดคล้ายถูกบางสิ่งผลักดัน ไอหมอกแยกตัวออก เผยให้เห็นจุดที่พอให้คนหนึ่งคนมุดเขาไปได้ออกมา ตำแหน่งเล็กๆ นี้ไม่มีไอหมอกจากวิญญาณอาฆาต
ในยามนี้เอง กู้ซีจิ่วจับตี้ฝูอีไว้แล้วใช้วิชาเคลื่อนย้าย ทะลุช่องเล็กๆ นั้นเข้าไป
หนี้วิชาเคลื่อนย้ายได้ผลยิ่งนัก ไม่ชนกับสิ่งกีดขวางอันใด ภายในคฤหาสน์จุดที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นคือป่าไผ่แห่งหนึ่ง สายลมพัดต้องใบไม้จนเกิดเสียงซวบซาบ มู่เฟิงก็ยืนคอยอยู่ไม่ไกล เธอเห็นพวกเขาเข้ามาได้จึงโล่งอก ถลาเข้ามาต้อนรับ คุกเข่าลงแทบเท้าตี้ฝูอีทันที “นายท่าน!” น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ ไม่พูดจาไร้สาระเช่นกัน “เมิ่งซย่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เรียนนายท่าน นางยังอยู่ในคุกขอรับ”
“ถูกทรมานหรือไม่?” กู้ซีจิ่วเอ่ยถามประโยคหนึ่ง
มู่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย “ไอ้ตัวปลอมผู้นั้นเคยใช้วิชาอ่านใจกับนาง เพียงแต่อ่านไม่พบอะไร อีกทั้งนางยังสะลึมสะลืออยู่ตลอด ไอ้ตัวปลอมผู้นั้นคี่ยวกรำนางอยู่หนึ่งวัน ก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย เพียงแต่ได้ยินจากถ้อยคำของเขา บอกว่าพรุ่งนี้ถ้านางยังไม่ได้สติอีกจะทรมานนางอย่างแท้จริง…”
กู้ซีจิ่วโล่งอก นับว่าเธอไม่ได้มาช้าเกินไป
เนื่องจากต้องเตรียมการล่วงหน้า อีกทั้งมีมู่เฟิงคอยประสานงานอยู่ภายใน ดังนั้นการเข้ามาจึงราบรื่นยิ่งนัก
เนื่องจากที่นี่มีกล้องวงจรปิดมากเกินไป กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีทั้งสองล้วนใช้วิชาเร้นกาย ตามมู่เฟิงไปที่เรือนพักของเขา
กู้ซีจิ่วมอบยาลูกกลอนให้มู่เฟิงก่อนหนึ่งเม็ด ให้เขากินเข้าไป ถึงอย่างไรวรยุทธ์ของเขาก็สูงส่ง อีกทั้งใช้พลังวิญญาณสะกดควบคุมฤทธิ์ของกู่นั้นไว้แล้ว การทดสอบกับเขาจึงค่อนข้างน่าเชื่อถือ
—————————————————————-