ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1442+1443
บทที่ 1442 ไม่อาจต่อกรเช่นนี้ได้
ซากศพนี้เปื่อยยุ่ยเหลือคณาแล้ว แต่บนแผ่นหลังมีเนื้อชิ้นเล็กๆ ที่ยังอยู่ดี บนเนื้อชิ้นเล็กๆ นั้นมีรูกลมๆ สองรู รูไม่ใหญ่ ราวกับใช้ตะปูตอกเข้าไป
เขาพลิกซากศพต่อเนื่องกันหลายศพ ตำแหน่งด้านหลังหัวใจของทุกศพล้วนมีรูกลมๆ เช่นนี้อยู่
กู้ซีจิ่วตรวจสอบบาดแผลนั้นดู และเกิดความสงสัย “นี่เป็นรอยกัดของสัตว์มีเขี้ยวชนิดใดกัน? เหตุใดจึงกัดเพียงตำแหน่งนี้?”
ดวงตาตี้ฝูอีโชนแสงแวบหนึ่ง “สัตว์ร้ายเขี้ยวตะปู นี่เป็นรอยกัดของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปู พวกมันคือตัวการที่ทำลายสถานที่แห่งนี้”
กู้ซีจิ่วคิดว่าตนรู้จักสัตว์ร้ายในทวีปนี้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ชื่อของสัตว์ร้ายชนิดนี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก “ไม่น่าเชื่อว่ามันจะสามารถทำลายเมืองแห่งหนึ่งได้…หรือว่ามันเป็นสัตว์ร้ายขั้นแปดที่หนีมาจากยอดเขาที่แปด?”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ระดับขั้นของสัตว์ร้ายชนิดนี้ไม่นับว่าสูง เป็นสัตว์ขั้นเจ็ด แต่ดุร้ายโหดเหี้ยมยิ่งนัก ชอบดูดกลืนหัวใจมนุษย์ คนที่ถูกมันกัดวิญญาณจะแตกสลายไปด้วย แม้แต่จะกลับชาติมาเกิดก็ทำไม่ได้แล้ว แถมยังปล่อยไอพิฆาตออกมาด้วย เคยก่อหายนะในทวีปนี้เมื่อสี่พันปีก่อน ถูกข้านำกำลังคนกวาดล้างไปจนสิ้นแล้ว นึกไม่ถึงว่ายามนี้จะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่…”
เขามองบาดแผลบนร่างศพเหล่านั้นอย่างละเอียด “และหนนี้ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นเพียงตัวเดียวด้วย อย่างน้อยน่าจะมีแปดตัวขึ้นไป”
กู้ซีจิ่วมองซากปรักหักพังรอบข้าง “แต่หากว่าเป็นรอยกัดของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูอะไรนี่ แล้วเหตุใดพวกมันจึงทำลายบ้านเรือนด้วยเล่า?”
นัยน์ตาตี้ฝูอีมีแววใคร่ครวญลึกซึ้งพาดผ่าน “การทำลายบ้านเรือนน่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เมืองเล็กแห่งนี้น่าจะถูกทำลายเพราะสงครามาก่อน แต่มีประชาชนบางส่วนที่ไม่ยอมย้ายจากถิ่นฐานบ้านเกิดกลับมายังเมืองหลังจากสงครามผ่านพ้นไป ทว่าถูกสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูเหล่านี้เข่นฆ่า…”
บัดนี้ในเมืองมีไอหมอกค่อยๆ แผ่ขึ้นมา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าใกล้ถึงฤดูร้อนแล้ว แต่ยามที่ไอหมอกเหล่านี้แผ่ขึ้นมากลับเหน็บหนาวอย่างน่าประหลาด
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองดวงตะวันเหนือศีรษะ ตะวันจ้าขนาดนี้ทำไมจู่ๆ ถึงมีหมอกล่ะ?
ทันใดนั้นตี้ฝูอีพลันลากเธอไปอยู่ข้างกาย “ระวัง! มันมาแล้ว!”
‘ฟุ่บ!’ เงาสีขาวจางๆ สายหนึ่งพุ่งออกาจากไอหมอก เร็วปานสายฟ้าแลบ โผใส่กู้ซีจิ่ว!
กู้ซีจิ่วไม่มีเวลาพอชักกระบี่ออกมา จึงดีดปลายนิ้วคราหนึ่ง กระแสดัชนีจากปลายนิ้วยิงใส่เงาสีขาวจางๆ นั้น
กระแสดัชนีของเธอในยามนี้ไม่ต่างไปจากคมกระบี่เลย เมื่อยิงเข้าใส่เงานั้น เงานั้นก็สลายตัวไปทันทีดั่งไอหมอกก็มิปาน…
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน นี่คือตายแล้วหรือ?
เธอยังไม่เห็นแม้กระทั่งรูปลักษณ์ของเงานั้นเลยด้วยซ้ำ
เธอคิดยังไม่ทันจบดี ในไอหมอกก็มีเงาอีกสี่ห้าสายพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง เข้าโจมตีพวกเขาทั้งสองจากสี่ทิศทาง
คราวนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้หน้าตาของพวกมันชัดๆ แล้ว
ตัวยาวเหมือนงู ร่างกายอยู่ในสภาวะกึ่งโปร่งแสง บนร่างมีปีกอยู่คู่หนึ่ง ค่อนข้างคล้ายมังกรเจียว แต่วงหน้ากลับเป็นโฉมงามทรงเสน่ห์ที่ทาตาสีเข้ม ดวงตายาวรี จมูกโด่งสูง ริมฝีปากดำสนิท ยามที่พุ่งออกมาราวกับแฝงรอยยิ้มไว้ มองแล้วทำให้หัวใจคนเหน็บหนาว
นี่คือสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูหรือ? แล้วเขี้ยวตะปูของมันอยู่ไหนล่ะ?
ความสงสัยพาดผ่านดวงตาของกู้ซีจิ่ว เพียงแต่ยามนี้มิใช่เวลาที่เหมาะให้เธอครุ่นคิด จึงชักกระบี่ออกมาทันที กระแสกระบี่ดั่งคลื่น พวยพุ่งออกไป เงาสี่ห้าสายนั้นให้กระเด็นออกไป จากนั้นก็สลายหายไปเหมือนไปหมอกอีก
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ สิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะร้ายกาจ ความเร็วก็ว่องไวพอ แต่ถ้าคนที่พลังวิญญาณบรรลุขั้นแล้วต้องการสังหารมันก็ไม่น่าจะยากเย็นกระมัง?
เธอสำแดงออกไปเพียงกระบวนท่าเดียวก็กำจัดพวกมันได้หมดแล้ว…
“ไม่อาจต่อกรเช่นนี้ได้ มิเช่นนั้นพวกมันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ!”
——————————————————————–
บทที่ 1443 ประเดี๋ยวเอาอย่างข้านะ…”
ตี้ฝูอีจรดนิ้วร่ายอาคม “ประเดี๋ยวเอาอย่างข้านะ…”
เพิ่งจะเอ่ยจบไป ในม่านหมอกก็ปั่นป่วนอีกครั้ง เงาสีขาวอ่อนจางสามสิบสี่สิบสายพุ่งทะยานออกมา…
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ทราบแล้วว่าสิ่งนี้ร้ายกาจตรงไหนกัน มันแบ่งร่างได้!
หากว่าเธอฟันพวกมันออกเป็นสองท่อน สองท่อนนั้นก็จะงอกร่างกายออกมาใหม่
เมื่อครู่เธอฟันสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูสี่ห้าตัวนั้นออกเป็นตัวละสี่ห้าท่อน ผลคือสี่ห้าท่อนนี้ต่างก็งอกร่างใหม่ออกมา…
เจ้าสิ่งนี้รูปร่างเหมือนงู ขนาดก็พอๆ กับงู ยามที่แห่กันพุ่งออกมาเช่นนี้ ดูราวกับลำแสงที่ส่องลงมาจากฟากฟ้าก็มิปาน
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นเขี้ยวของพวกมันแล้ว เขี้ยวของพวกมันสามารถยืดได้หดได้ ยามที่พุ่งมาถึงด้านหน้า เขี้ยวคมขนาดครึ่งฉื่อก็พุ่งออกมาจากปากที่อ้ากว้างของพวกมัน แหลมคมเสมือนตะปูที่ทอแสงเยียบเย็น!
ในที่สุดตี้ฝูอีก็ลงมือ กระแสเพลิงผุดจากปลายนิ้ว กระแสงเพลิงนั้นก่อตัวเป็นเมฆากลุ่มหนึ่งทันที โอบล้อมสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูกว่าสิบตัวไว้ตรงกลาง สัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูกรีดร้องเสียงแหลมเสียดหู จากนั้นก็มอดไหม้ในกระแสเพลิงไปทีละตัวๆ
กู้ซีจิ่วรู้จักอาคมที่ตี้ฝูอีร่ายออกมา เรียกว่าเมฆาล่องแดนสรวง ใช้เพลิงที่ก่อกำเนิดจากพลังวิญญาณ มีเพียงผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไปถึงจะใช้อาคมนี้ออกมาได้
ตี้ฝูอีเคยสอนอาคมนี้ให้เธอแล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง ได้ยินว่าใช้ชำระล้างไอพิฆาตโดยเฉพาะ
ตอนนี้เธอไม่มีเวลาคิดแล้ว รีบเอาเยี่ยงอย่างเรียกกระแสเพลิงออกมาทันที…
ถึงอย่างไรพลังยุทธ์เธอก็สู้ตี้ฝูอีไม่ได้ เมฆาเพลิงที่ร่ายออกมาจึงใหญ่ไม่เท่าอันนั้นของตี้ฝูอี และไม่เจิดจ้าแยงตาเท่าของเขา ทว่ามีประสิทธิภาพยิ่งนัก เมฆาล่องแดนสรวงของเธอก็กักสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูได้สี่ห้าตัว ทำการเผาผลาญพวกมัน…
กระแสเพลิงเมฆาล่องแดนสรวงชนิดนี้สามารถร่ายออกมาพร้อมกันหลายอันได้ ทั้งสองคนหันหลังชนกัน ต่างคนต่างร่ายออกมาสามอัน โอบล้อมสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูที่กรูเข้ามาโจมตีจากทั่วสารทิศไว้…
ผ่านไปหนึ่งเค่อ สัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูทั้งหมดล้วนถูกเผาผลาญไปจนสิ้นแล้ว แม้แต่ไอหมอกที่ผุดออกมานั้นก็ค่อยๆ สลายไปด้วย
พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองย่อมไร้ซึ่งบาดแผล เธอถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ที่นี่เจ้าสิ่งนี้ก็สามารถงอกร่างได้ ความสามารถในการงอกร่างของพวกมันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ย่อมมีมากกว่าแปดตัวกระมัง?”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “พวกนี้แบ่งร่างมาจากตัวเดียวเท่านั้น เนื่องจากใบหน้าของสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นเช่นเดียวกับใบหน้ามนุษย์ แต่ละตัวล้วนแตกต่างกัน แต่พวกที่ถูกเราสังหารไปเมื่อครู่นี้ล้วนมีใบหน้าแบบเดียวกันหมด…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง ในที่สุดเธอก็กระจ่างแล้วว่าสิ่งนี้ตอแยยากเช่นใด!
เพียงตัวเดียวก็แบ่งร่างได้มากมายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นตัวต้นแบบทั้งแปดเล่า…
เจ้าสิ่งนี้สามารถทำลายเมืองทั้งเมืองได้จริงๆ!
มิน่าล่ะที่นี่จึงไม่มีมนุษย์เลยสักคน ต่อให้มีคนผ่านทางมาที่นี่บ้าง ก็เกรงว่าจะถูกสิ่งเหล่านี้กัดตายหมดกระมัง?!
ในบรรดาซากศพที่กู้ซีจิ่วพบก่อนหน้านี้มีคนที่สวมชุดของสำนักยุทธ์ด้วย คาดว่าน่าจะเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดที่ได้ยินเรื่องราวของที่นี่เข้า จึงมาปราบมารปีศาจ ทว่าต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แทน
“ฝูอี พวกเรามากวาดล้างสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูในเมืองนี้ให้หมดสิ้นเถิด! ป้องกันไม่ให้พวกมันไปทำร้ายคนได้อีก”
ตี้ฝูอีพยักหน้า “ได้!” พลางดึงแขนเสื้อเธอ “ไปเถอะ ขาจะพาเจ้าไปหาอีกหลายตัวที่เหลือ!”
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีคุ้นเคยกับนิสัยของเจ้าสิ่งนี้ยิ่งนัก เขาพากู้ซีจิ่วตระเวนไปสี่ทิศ พบสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูอีกสี่ตัวจริงๆ…
หน้าตาของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูแต่ละตัวแตกต่างกันจริงๆ มีทั้งใบหน้าโฉมงาม ใบหน้าตาลุง ใบหน้าตัวตลก ไม่เหมือนกันสักตัว แต่ว่าลักษณะของพวกมันล้วนเป็นเช่นเดียวกัน หากใช้กระแสดัชนีหรือว่ากระบี่ฟันให้ขาด มันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…
ทั้งสองใช้อาคมเดิมเผาผลาญสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูทั้งสี่ตัว กู้ซีจิ่วมองไปรอบๆ รู้สึกว่าอากาศในเมืองบริสุทธิ์ขึ้นไม่น้อยเลย
ขระที่เธอกำลังจะกล่าวบางอย่าง พลันได้ยินเสียงต่อสู้กู่ตะโกนแว่วมาจากที่ไกลๆ
ดวงตาเธอเปล่งประกายทันที “มีคนอยู่! ข้าได้ยินเสียงของจิ้งจอกน้อยด้วย!”
————————————————————