ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1474+1475
บทที่ 1474 ข้าเห็นแล้วอึดอัดมาก…
ทุกครั้งที่เหลิ่งอู๋ซวงมา มารดาเยี่ยนล้วนให้หลานไว่หู่ไปอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ มารดาเยี่ยนปฏิบัติต่อเหลิ่งอู๋ซวงด้วยสีหน้าอ่อนโยน มักจะเอ่ยชมรูปโฉมและคุณสมบัติของเหลิ่งอู๋ซวงอยู่ไม่ขาดปาก ส่วนจิ้งจอกน้อยบ้างก็หมางเมินนาง ให้นางมองอยู่ด้านข้าง บ้างก็ว่ากล่าวติเตียนต่อหน้าเหลิ่งอู๋ซวง ทำให้จิ้งจอกน้อยกระสับส่ายปานนั่งบนพรมหมุด…
เมื่อเหลิ่งอู๋ซวงจากไป มารดาเยี่ยนจะเพ่งพิศจิ้งจอกน้อย สายตานั้นราวกับมองเศษขยะที่อยู่ในหลุมอาจม บางครั้งก็ราวกับมองโคลนที่ไม่อาจก่อตัวเป็นกำแพงได้ ทำให้จิ้งจอกน้อยปรารถนาจะหดร่างเป็นฝุ่นธุลีไปเสีย
ทุกครั้งเมื่อถึงยามนี้มารดาเยี่ยนจะพูดจากระทบกระเทียบจิ้งจอกน้อยอยู่สองสามประโยค
ยกตัวอย่างเช่น ‘เจ้าดูอู๋ซวงสิ ท่วงท่ากริยาล้วนสง่างามมีชาติตระกูล แล้วเจ้าดูตัวเจ้าสิ…หึ!’
‘เจ้าหัดเอาอย่างอู๋ซวงบ้าง หากว่าเรียนรู้มาสักกระผีกหนึ่ง ก็คงไม่เป็นเช่นวันนี้…หึ! สุดท้ายก็เชิดหน้าชูตาไม่ได้…’
จิ้งจอกน้อยถูกกระทบกระเทียบจนทนไหว กัดฟันเลียนอย่างท่าเดินดั่งต้นหลิวลู่ลมของเหลิ่งอู๋ซวง แต่เดินได้เพียงสองก้าวก็ถูกมารดาเยี่ยนเยาะเย้ยว่าเป็นตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง ทำให้จิ้งจอกน้อยแทบเดินไม่เป็นแล้ว!
เหลิ่งอู๋ซวงก็ปฏิบัติต่อจิ้งจอกด้วยท่าทีที่ลุ่มลึกยิ่งนัก ยามที่พูดคุยกับจิ้งจอกน้อย ถึงแม้จะจะสุภาพ แต่ก็แฝงท่าทางสูงส่งเอาไว้ ซ้ำยังใช้อุบายอันแยบคายให้จิ้งจอกน้อยเทน้ำรินชาให้นางด้วย วิธีการเหล่านั้นทำให้จิ้งจอกน้อยที่อยู่ต่อหน้ามารดาเยี่ยนไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงปฏิบัติตาม
หลังจากจิ้งจอกน้อยปฏิบัติแล้ว มักจะเห็นแววตารื่นเริงที่บรรลุผลในดวงตาของเหลิ่งอู๋ซวงเสมอ
ทำให้จิ้งจอกน้อยไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ค่อยๆ ไม่ถูกชะตากับเหลิ่งอู๋ซวงขึ้นมา
ด้วยเห็นแก่หน้าเยี่ยนเฉิน จิ้งจอกน้อยจึงข่มกลั้นความคับข้องใจที่ถูกมารดาเยี่ยนรังแกเอาไว้ และย่อมไม่คิดจะให้เหลิ่งอู๋ซวงมารังแกได้อีก มักจะปฏิบัติต่อเหลิ่งอู๋ซวงด้วยสายตาเย็นชา ทำให้มารดาเยี่ยนไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง ดุด่านางยกใหญ่
เหลิ่งอู๋ซวงก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง พิณหมากตำราวาดภาพนางล้วนชำนาญสิ้น ยามที่นางมาเยือนคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยน นอกจากสนทนากับมารดาเยี่ยนแล้ว บางครั้งยังบังเอิญพบเยี่ยนเฉินอีกด้วย และได้พูดคุยกับเยี่ยนเฉินอยู่สองสามประโยค บางครั้งก็หาข้ออ้างมาเชิญเยี่ยนเฉินไปชี้แนะปัญหาในการฝึกฝนวรยุทธ์
ฝ่ายเยี่ยนเฉินเกรงอกเกรงใจนางยิ่งนัก เนื่องจากมารดาเยี่ยนมักจะชมเชยว่าเหลิงอู๋ซวงเข้าจิตเข้าใจผู้อื่น สุภาพรู้ความต่อหน้าเขาอยู่เสมอ
ดังนั้นเยี่ยนเฉินจึงมีทัศนคติต่อเหลิ่งอู๋ซวงดียิ่ง ส่วนเหลิ่งอู๋ซวงเมื่ออยู่ต่อนหน้าเขาก็ไม่เคยเผยท่าทีว่าอยากออกเรือนกับเขาเลย พูดคุยกับเสมือนมิตรสหาย จึงลดกำแพงในใจของเยี่ยนเฉินลงได้สำเร็จ เห็นนางเป็นสหายคนหนึ่ง
บางครั้งก็เดินหมากกับนาง ยามนางมาเชิญไปชี้แนะปัญหาในการฝึกยุทธ์ ขอเพียงไม่เกี่ยวพันถึงเคล็ดลับของสำนัก เขาก็ยินดีจะชี้แนะให้นางยิ่งนัก
และไม่ทราบว่าบังเอิญหรือมีใครจงใจ ทุกครั้งที่เขาอยู่กับเหลิ่งอู๋ซวงจิ้งจอกน้อยจะเห็นเข้าเสมอ…
ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยจึงได้เห็นเขาเดินหมากกับเหลิ่งอู๋ซวงอยู่ใต้ต้นไม้ ได้เห็นเขากับเหลิ่งอู๋ซวงเดินเล่นด้วยกันอยู่ในสวนดอกไม้ ทั้งสองพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก…
มีครั้งหนึ่งถึงขั้นเห็นตอนที่เหลิ่งอู๋ซวงเดินๆ อยู่แล้วสะดุดอะไรเข้า โผเข้าใส่ร่างของเยี่ยนเฉินที่อยู่ข้างกายพอดี เยี่ยนเฉินพยุงนางไปนั่งที่โขดหิน ซ้ำยังถามไถ่อย่างห่วงใยด้วยว่าข้อเท้านางแพลงหรือไม่…
ภาพเหล่านี้หากเป็นยามปกติ จิ้งจอกน้อยอาจจะไม่หวั่นใจ และไม่เก็บมาใส่ใจเลย แต่นางมีอคติกับเหลิ่งอู๋ซวงแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้เข้านางจึงรู้สึกว่าแทงใจยิ่งนัก! และทำให้นางรู้สึกถึงวิกฤต…
สิ่งที่ทำให้จิ้งจอกน้อยหงุดหงิดกว่าเก่าคือ นางลองเลียนอย่างท่าเดินของเหลิ่งอู๋ซวงรวมถึงกริยาบางอย่างต่อหน้าเยี่ยนเฉินดู ทำให้เยี่ยนเฉินตกตะลึงยิ่งนัก เยี่ยนเฉินมองด้วยสีหน้าเหมือนปวดฟัน พลางลูบเส้นขนบนแขนของเขาที่ลุกชันขึ้นมา “จิ้งจอกน้อย เจ้าไม่ได้เป็นไข้ใช่หรือไม่? เจ้าอย่าเป็นแบบนี้สิ ข้าเห็นแล้วอึดอัดมาก…”
————————————————————–
บทที่ 1475 เจ้าชักจะไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว!
ทำให้จิ้งจอกน้อยโกรธยิ่งนัก สุดท้ายจึงถามเขาประโยคหนึ่ง “เหลิ่งอู๋ซวงก็มิใช่เช่นนี้หรอกหรือ? หรือท่านเห็นนางก็อึดอัดเหมือนกัน?”
เยี่ยนเฉินพูดไปโดยไม่ได้คิด “โง่งม นางนั้นเป็นไปตามธรรมชาติ เจ้านี่เป็นตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง…”
ผู้พูดไร้เจตนาทว่าผู้ฟังกลับคิด ภาษิตสุดท้ายของเยี่ยนเฉินทำลายความมั่นใจในตัวเองของจิ้งจอกจนแตกพ่ายแล้ว สุดท้ายนางจึงโมโห “ท่านเห็นว่านางดีกระมัง? ท่านชอบนางใช่ไหม?! เช่นนั้นท่านก็แต่งกับนางซะสิ! พวกเราตัดขาดกันเสีย!” นางวิ่งหนีไปด้วยความขุ่นเคือง ทำให้เยี่ยนเฉินค่อนข้างจับต้นชนปลายไม่ถูกยิ่งนัก
ต่อมาเยี่ยนเฉินขอโทษ จิ้งจอกน้อยทั้งสองคนกลับมาคืนดีกัน แต่เหลิ่งอู๋ซวงได้กลายเป็นหัวข้อที่ไม่อาจแตะต้องได้ไปแล้ว มิเช่นนั้นจิ้งจอกน้อยจะโมโหขึ้นมา!
ในสายตาเยี่ยนเฉิน จิ้งจอกน้อยเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนอารมณ์ร้ายไม่มีเหตุผล มักจะอารมณ์เสียใส่เขาบ่อยๆ โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ ถึงขั้นที่ต้องการให้เขาเว้นระยะห่างกับเหลิ่งอู๋ซวงด้วย ไม่อนุญาตให้เขาคุยกับเหลิ่งอู๋ซวงเลยสักประโยค มิเช่นนั้นนางจะทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย ถึงขั้นที่ร่ำร้องว่าจะเลิกกับเขา จะกลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์…
เยี่ยนเฉินเป็นคนที่ค่อนข้างหัวรั้นยิ่งนัก ในที่สุดจึงไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว
มีครั้งหนึ่งเขาบังเอิญพบเหลิ่งอู๋ซวงในลานเรือน เหลิ่งอู๋ซวงบาดเจ็บที่เท้า ถามเขาว่ามีของจำพวกยาทาแก้ฟกช้ำบ้างไหม เยี่ยนเฉินจึงมอบให้นางไปหนึ่งกระปุก นึกไม่ถึงว่าจะถูกจิ้งจอกน้อยเห็นเข้า
หลานไว่หู่ฉวยยานั้นมา ดวงตาคู่โตถลึงมองเหลิ่งอู๋ซวงแล้วกล่าว “โอสถของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เราต่อให้โยนทิ้งแล้วก็ไม่มอบให้เจ้าใช้!” พลางโยนโอสถนั้นลงสระน้ำไปเสีย
นี่ทำให้เยี่ยนเฉินขายหน้าผู้อื่นยิ่งนัก และทำให้เขาโกรธมาก โกรธจนหน้าเขียวไปหมดแล้ว
แต่เหลิ่งอู๋ซวงกลับทำตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเกลี้ยกล่อมเยี่ยนเฉิน บอกว่านางไม่เป็นไร ให้เขาอย่ามีปากเสียงกับจิ้งจอกเพราะนางเลย นางสามารถไปซื้อหายาที่ร้านยาได้ จากนั้นก็เดินกะโผลกกระเผลกไป
สีหน้าของเยี่ยนเฉินเขียวคล้ำ เอ่ยกับจิ้งจอกน้อยอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “เจ้าชักจะไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว!” จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าจากไป ปล่อยจิ้งจอกน้อยไว้ตรองนั้นกับความอ้างว้างของสายลมฤดูใบไม้ร่วง
จิ้งจอกน้อยนั่งอยู่บนม้านั่งหินร้องไห้จนกลายเป็นตุ๊กตาเจ้าน้ำตาแล้ว นางไม่รู้ว่าตนเดินมถึงจดนี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าที่แท้ตนทำอะไรผิดจึงได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้
เยี่ยนเฉินคงอยากสอนบทเรียนที่แท้จริงให้นาง จึงหมางเมินนางอยู่หลายวัน และไม่มาหานางเลย
และช่วงนั้นเขาก็ฝึกยุทธ์จนถึงช่วงที่ค่อนข้างหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว เขากลับว่าตัวเองจะใจอ่อนไปชั่วขณะ จึงปิดด่านกักตนเสียเลย การกักตนหนนี้เป็นเวลาแปดวัน
ผ่านไปแปดวันก็ออกมา ท้ายที่สุดเขาก็อดเป็นจิ้งจอกน้อยไม่ได้ จึงไปหานาง พบว่านางป่วยหนักแล้ว ตัวคนซูบผอมหนังหุ้มกระดูก ขับให้ดวงตาดูโตขึ้นไปอีก
เยี่ยนเฉินสำนึกเสียใจ รีบเดินเข้าไปกุมมือนาง
จิ้งจอกน้อยขี้แยมองเยี่ยนเฉินโดยไม่มีน้ำตาเลยสักหยด และนางก็ไม่ให้เขากุมมือนางด้วย เพียงเบิกดวงเนตรกลมโตมองดูเขาเอ่ยถามเขา “พี่เยี่ยนเฉิน ท่านไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม?”
เยี่ยนเฉินรั้งนางเข้าสู้อ้อมอกอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด จุมพิตหน้าผากนาง “เด็กโง่ ข้าชอบเจ้าถึงขนาดนี้ จะไม่ต้องการเจ้าได้อย่างไร?”
หลานไว่หู่ค่อนข้างแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนเขา นางส่ายศีรษะ คล้ายจะไม่รับรู้อะไรแล้ว “แต่ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมด ข้าอยากลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว…”
เยี่ยนเฉินกอดนางแน่น ใช้คางกดคลึงกระหม่อมนาง “จิ้งจอกน้อย ขอโทษนะ เป็นข้าไม่ดีเอง อภัยให้ข้าเถอะ เจ้ายกโทษให้ข้าด้วย…”
หลานไว่หู่ไม่พูดอะไรแล้ว นางเป็นสาวน้อยที่ชอบทำตัวน่ารักออดอ้อนให้กอดโอ๋ผู้หนึ่ง เมื่อก่อนพอเยี่ยนเฉินกอดนางก็อารมณ์ดีแล้ว ปลอบโยนเล็กน้อยก็ยิ้มเบิกบานดั่งดอกทานตะวันแล้ว ซ้ำนางยังกอดเขากลับด้วย เกาะติดบนร่างเยี่ยนเฉินปานหมีโคอาล่า แต่หนนี้มือของนางห้อยอยู่ตลอด ไม่ยอมกอดตอบเขาอีก
—————————————————————–