ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1492+1493
บทที่ 1492 เปิดโหมดตบหน้า 6
กู้ซีจิ่วก็แย้งออกมาทันที “เยี่ยนฮูหยินกล่าวเช่นนี้มองเผินๆ ดูสง่างามมีเกียรตินัก หากว่าท่านต้องการให้สมบูรณ์แบบจริงๆ ทนมองพฤติกรรมบางอย่างของจิ้งจอกน้อยไม่ไหว ก็สามารถบอกกล่าวนางต่อหน้าเยี่ยนเฉินได้ นางจะได้แก้ข้อบกพร่องของตน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นฮูหยินกลับแสร้งว่ารักใคร่เอ็นดูนางยิ่งนัก ลับหลังคนอื่นกลับทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของจิ้งจอกน้อยอย่างสุดชีวิต ติเตียนจนนางหาดีมิได้ ซ้ำยังดูถูกเหยียดหยามบุพการีของผู้อื่นอยู่เนืองๆ มิใช่หรือ? นี่คือเพื่อความสมบูรณ์แบบหรือ? เยี่ยนฮูหยินคงมิได้เห็นคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนโง่งมไปหมดกระมัง?!”
เยี่ยนฮูหยินอ้าปากพะงาบๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจในทันใด เอ่ยออกไปตรงๆ “ใช่ ฮูหยินอย่างข้าดูแคลนนาง! มารดาของนางเดิมทีหนีตามผู้อื่นไป ชื่อเสียงเลวร้ายยิ่งนัก คาดการณ์ได้เลยว่าบิดานางก็น่าจะเป็นบุรุษเสเพลมิมีศีลธรรมที่ล่อลวงหญิงสาวชาติตระกูลดีเช่นกัน หลานไว่หู่มีสายเลือดของพวกเขา ยากจะบอกได้ยิ่งนักว่าวันหน้าจะไม่เจริญรอยตามบิดามารดาของนาง ทำลายชื่อเสียงตระกูลเยี่ยนของข้า ส่วนเฉินเอ๋อร์ก็หลงใหลมัวเมา ยืนกรานจะแต่งกับนาง ข้าจนปัญญา ทำได้เพียงใช้แผนเช่นนี้ แค่อยากให้นางรู้ฐานะของตน ตระกูลเยี่ยนของข้ามิใช่สิ่งที่คนมีภูมิหลังครอบครัวอย่างนางจะอาจเอื้อมเกี่ยวดองได้! ด้วยฐานะของนาง ยังพอจะฝืนคู่ควรกับคนทั่วไปได้ แต่สกุลเยี่ยนของข้าเป็นตระกูลที่มีเกียรติ ไหนเลยจะปล่อยให้ว่าที่เจ้าบ้านตระกูลเยี่ยนแต่งภรรยาเช่นนี้ได้?!”
จากนั้นก็หยุดไปครู่หนึ่ง กล่าวต่อว่า “เดิมทีนางก็เติบโตมาในบ้านของพวกเรา กับเยี่ยนเฉินก็นับว่าเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ ข้าเห็นแก่ฐานะนี้ จึงมิใช่จะไม่ยอมรับนางเลย แต่งเป็นอนุของเฉินเอ๋อร์ก็ยังพอไหว แต่เฉินเอ๋อร์กลับยืนกรานจะแต่งนางเป็นภรรยา ซ้ำยังบอกว่าชาตินี้จะแต่งกับนางเพียงผู้เดียว ถ้าวันหน้าเรื่องแพร่ออกไปจะไม่เป็นที่น่าขบขันหรอกหรือ? ส่วนเหลิ่งอู๋ซวงชาติตระกูลขาวสะอาด พวกเราสองตระกูลสนิทสนมกัน ปีนั้นพวกเขาก็เคยมีสัญญาหมั้นหมายปากเปล่าไว้ เป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับเฉินเอ๋อร์ แต่เฉินเอ๋อร์กลับไม่ยอม…”
กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว “เยี่ยนฮูหยิน ที่ท่านถูกตาคุณหนูเหลิ่งน่าจะไม่ใช่แค่เพราะครอบครัวสนิทสนมกันหรือชาติตระกูลขาวสะอาด ยังเป็นเพราะตัวนางมีสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกครามด้วยกระมัง?! และเหตุผลที่ท่านรับเลี้ยงไว่หู่เมื่อปีนั้น ก็มิใช่เพราะสงสารที่นางไร้พ่อขาดแม่เพียงอย่างเดียวกระมัง? แต่เป็นเพราะนางแซ่หลาน! ยามนั้นท่านสงสัยว่านางอาจมีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกคราม และสายเลือดสตรีของเผ่าจิ้งจอกครามก็สูงส่งมีเกียรติ หลังจากแต่งงานแล้วสามารถช่วยยกระดับพลังยุทธ์ของสามีได้ ดังนั้นท่านจึงรับไว่หู่มาเลี้ยงดูข้างกาย เพียงแต่หลังจากพบว่าบนร่างไว่หู่ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกครามเลย ถึงได้รังเกียจนางขึ้นมาเช่นนี้ ข้าพูดถูกหรือไม่?”
เยี่ยนฮูหยินถูกนางพูดจาตรงประเด็นใส่ จึงชะงักไปเล็กน้อย กลับเป็นเหลิ่งอู๋ซวงที่ไม่ได้เปิดปากเลยมาโดยตลอดที่กล่าวขึ้นมา “เยี่ยนเฉินเป็นหงส์มังกรในหมู่มนุษย์ มีเพียงสตรีที่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามถึงจะคู่ควร ส่วนคนอื่น…ไม่คู่ควรเลยจริงๆ ต่อให้แซ่หลานก็ไม่มีประโยชน์ อันที่จริงถึงแม้วิธีของท่านป้าเยี่ยนจะรุนแรงไปบ้าง แต่ก็เป็นเพราะหวังดีต่อคุณชายเยี่ยน แม่นางหลานมีชาติตระกูลเช่นนั้นจะทำให้ผู้อื่นครหาเอาได้ง่ายๆ ท่านป้าเยี่ยนเป็นมารดาคน ย่อมไม่อยากให้บุตรชายตนแต่งเด็กสาวที่มีหัวนอนปลายเท้าไม่ชัดเจน นั่นจะเป็นจุดด่างพร้อยของเขาไปชั่วชีวิต”
ดวงหน้าน้อยๆ ของหลานไว่หู่แปรเปลี่ยนในทันที ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ย พลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาจากด้านนอก “ชาติตระกูลของนางไม่กระจ่างงั้นหรือ? ชาติตระกูลของนางสูงส่งกว่าเจ้ามากนัก!”
เมื่อสิ้นเสียง ชายหนุ่มชุดครามคนหนึ่งก็เยื้องย่างเข้ามา
หลานเยวี่ยมาแล้ว
เขามองเหลิ่งอู๋ซวงด้วยสายตาคมกริบ “สตรีเผ่าจิ้งจอกครามของข้าสายเลือดสูงส่งทรงเกียรติจริงๆ นั่นละ แต่น่าเสียดายยิ่งนัก เจ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อนี้ด้วย ตัวเจ้าไม่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามเลยสักนิด!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา ทั้งโถงพลันเงียบกริบ!
———————————————————————
บทที่ 1493 ภูมิหลังของจิ้งจอกน้อย
เหลิ่งอู๋ซวงตกตะลึงครู่หนึ่ง ใบหน้างดงามแดงก่ำ เย้ยยิ้ม “ข้าวปลาอาจกินมั่วซั่วได้ แต่วาจามิอาจพูดมั่วซั่ว เจ้าเป็นผู้ใดกัน? กล้าดียังไงมาพูดจาเหลวไหลที่นี่!
หลานเยวี่ยอมยิ้ม “ข้าน้อยผู้ไร้ความสามารถ ก็คือคนเผ่าจิ้งจอกคราม”
เหลิ่งอู๋ซวงตะลึงงันไปอีกครา นางย่อมเคยได้ยินชื่อของหลานเยวี่ย รู้ว่าเขาเป็นคนเผ่าจิ้งจอกคราม และรู้ว่าเขาหมั้นหมายกับหลานไว่หู่ ทว่าตามที่นางรู้มา บุรุษเผ่าจิ้งจอกครามไม่มีทางแต่งงานกับสตรีต่างแดน ทว่าหลานเยวี่ยผู้นี้กลับหมั้นหมายกับจิ้งจอกน้อย ‘ชั้นต่ำ’ ฐานะภายในเผ่าจิ้งจอกครามของเขาต้องต่ำต้อยเป็นที่สุดอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจเป็นเพียงสายเลือดข้ารับใช้ของตระกูลชั้นสูง
ดังนั้นนางจึงไม่สนใจหลานเยวี่ย ยิ้มอย่างเคร่งขรึม “คุณชายท่านนี้ ถึงแม้ท่านเป็นคนเผ่าจิ้งจอกคราม ทว่าฐานะคงไม่สูงส่งสักเท่าใดกระมัง? ไม่ทราบเรื่องบางเรื่องของเผ่าจิ้งจอกครามก็ถือเป็นเรื่องปกติ ท่านยายข้าเป็นสาวใช้ข้างกายของประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม หกสิบปีก่อน ประมุขเผ่าจิ้งจอกครามตบรางวัลจัดงานแต่งงานให้ท่านตาข้าด้วยตัวเอง มารดาข้าเป็นบุตรสาวคนโตของท่านยาย ข้ามีสายเลือดบริสุทธ์ของเผ่าจิ้งจอกคราม…”
หลานเยวี่ยยิ้ม โบกสะบัดพัดจีบในมือเบาๆ “ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะในเผ่าจิ้งจอกครามของข้าว่าสูงส่งหรือไม่ แต่ข้าทราบเรื่องบางเรื่องของเผ่าจิ้งจอกคราม โดยเฉพาะเรื่องในราชวงศ์ ท่านยายของเจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายประมุขเผ่าก็จริง แต่นางไม่ใช่คนเผ่าจิ้งจอกคราม นางเป็นหญิงสาวกำพร้าทีพระชายาเก็บมาตอนไปเยือนต่างแดน ด้วยเห็นว่านางฉลาดเฉลียวจึงให้มาเป็นสาวใช้อยู่ข้างกาย เรื่องงานแต่งงานของนางก็ไม่ใช่การจับคู่ของประมุขเผ่า แต่เป็นนางกับท่านตาของเจ้าแอบมีสัมพันธ์กันก่อน เดิมทีประมุขต้องการจับคู่หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกครามคนหนึ่งให้ท่านตาเจ้า ทว่าท่านตาเจ้าคุกเข่าขอร้องในวังประมุขอยู่หลายวันเพื่อขอแต่งกับนาง บอกว่ารักนางด้วยใจจริง ชาตินี้หากไม่ใช่นางก็จะไม่แต่งงานอีก ประมุขเผ่าเห็นเขาลุ่มหลง จึงให้สัญญา แต่ไม่ได้พูดถึงภูมิหลังที่แท้จริงของยายเจ้าอย่างชัดเจน ในเมื่อรักกันจริง เหตุใดต้องสนใจภูมิหลังของอีกฝ่ายด้วยเล่า? เจ้าว่าไหม?”
ฝูงชนต่างนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น สายตาทั้งหมดหันเหกลับมามองที่เหลิ่งอู๋ซวง
เหลิ่งอู๋ซวงเสมือนแมวที่ถูกเหยียบหาง รักษาท่าทางของกุลสตรีมีเกียรติไม่ไหวอีกต่อไป กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าพูดจาเหลวไหล! เจ้าเป็นแค่คนชั้นต่ำที่สุดในเผ่าจิ้งจอกคราม จะมารู้เรื่องราวของราชวงศ์ได้อย่างไร?! เจ้าพูดจามั่วซั่วไม่เป็นความจริง! ใส่ร้ายป้ายสี!”
พูดถึงประโยคด้านหลังนางก็ร้องเสียงหลง เห็นได้ชัดว่าลนลานแล้วจริงๆ
กู้ซีจิ่วยืนกอดอกมองอยู่ด้านข้าง รู้สึกสนุกสนาน ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะน่าสนใจมากกว่าที่เธอคาดคิดเอาไว้
หลานเยวี่ยกลับยิ้ม “ข้าถามเจ้า ยายของเจ้าล่วงลับไปตั้งแต่เมื่อใด?”
เหลิ่งอู๋ซวงหยุดชะงัก “เมื่อ…เมื่อตอนอายุประมาณสี่สิบ…แต่นั่นเป็นเพราะนางเจอกับศัตรูและตายไปพร้อมกัน”
“เห็นโครงกระดูกของนางหรือไม่?”
เหลิ่งอู๋ซวงพูดอย่างเย็นชา “ข้าบอกว่าตายไปพร้อมกัน กลายเป็นเถ้าธุลีไปพร้อมกับศัตรู ย่อมไม่เหลือโครงกระดูก เจ้าถามสิ่งนี้ด้วยเหตุอันใด?”
หลานเยวี่ยกล่าวอย่างเรียบเฉย “คนเผ่าจิ้งจอกครามมีอายุยืนยาว มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ถึงแม้อายุพันปีก็ยังคงมีใบหน้าอ่อนวัยประหนึ่งอายุยี่สิบปี แต่ฮูหยินทั่วไปอายุสี่สิบปีก็เห็นได้ชัดถึงความชราภาพ หากนางมีชีวิตอยู่ต่อไป ความลับของคนเผ่าจิ้งจอกครามจะต้องปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อนางมีชีวิตถึงอายุสี่สิบปี ไม่ตายก็ต้องตายอยู่ดี ผู้ที่ทำให้นางสิ้นชีพไม่ใช่ศัตรูที่ไหน แต่เป็นสามีของนางเอง สามีนางหลอกล่อนางไปที่ภูเขา ถือโอกาสตอนนางไม่ทันระวังตัวสังหารนางเสีย จากนั้นจึงจุดไฟเผาเพื่อรักษาความลับนี้ไปตลอดกาล เดิมทีฐานะทางบ้านเขาต่ำต้อยยากจน เพราะสายเลือดจิ้งจอกครามจึงทำให้มีคนนับหน้าถือตา มารดาเจ้าและพี่น้องของนางได้แต่งงานกับคนดีๆ ก็เพราะสายเลือดเผ่าจิ้งจอกคราม…”
——————————————————————