ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1520+1521
บทที่ 1520 รุ่งโรจน์เจิดจรัส 5
“ขอรับ!” มู่เฟิงและสี่ทูตตอบรับพร้อมกัน แต่ละคนล้วนคันไม้คันมือ
พวกเขาทั้งสี่ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้เงื้อมมือของเซียนหญิงผู้นี้ ต้องการหาทางเอาคืนมานานแล้ว! ในที่สุดยามนี้โอกาสก็มาถึง
หูของเซียนหญิงลี่หวางยาวไกลยิ่งนัก พลันร้องเรียกขึ้นมาเมื่อได้ยินการพูดคุยฝั่งนี้ “ตี้ฝูอี เจ้าทำกับข้าเยี่ยงนี้มิได้! ข้ามาจากดินแดนเบื้องบน หากเจ้าทำร้ายข้าจริงๆ จักรพรรดิดินแดนเบื้องบนจะไม่ให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน!”
ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “จักรพรรดิดินแดนเบื้องบน? คือสิ่งใดกัน?”
เซียนหญิงลี่หวางกล่าว “บังอาจ! หาญกล้าไม่ให้เกียรติจักรพรรดิดินแดนเบื้องบน! เขาเป็นถึงเจ้านายดินแดนเบื้องบนของพวกเรา เป็นตัวแทนสวรรค์! คนดินแดนเบื้องบนของพวกเราต่อให้ลงมาเป็นชั้นผู้น้อยก็สามารถทำลายเมืองทั้งเมืองของพวกเจ้าได้! หากจักรพรรดิดินแดนเบื้องบนรู้ว่าเจ้ากล้าสังหารข้า จะต้องลงโทษทัณฑ์สถานหนัก ให้เจ้าอยู่มิสู้ตาย!”
นางกล่าวด้วยหน้าตาถมึงทึง ประหนึ่งหากตี้ฝูอีกล้าทำอันใดนางจะถูกทัณฑ์อสนีสวรรค์
ตี้ฝูอีเดินเข้าใกล้นางอีกสองก้าว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนที่ทำให้ข้าอยู่มิสู้ตายคงยังไม่ถือกำเนิด ข้าก็ใคร่รู้ยิ่งนักว่าความรู้สึกอยู่มิสู้ตายมันเป็นเยี่ยงไร ความจริง ข้าสนใจในตัวจักรพรรดิดินแดนเบื้องบนที่เจ้าพูดถึงยิ่งนัก อยากพบหน้าเขาสักครา เพียงแต่เขาเอาแต่หดหัวอยู่ดินแดนเบื้องบนไม่ลงมา ทำให้ข้าค่อนข้างเสียดาย ในเมื่อสังหารเจ้าแล้วเรียกเขาลงมาได้ ข้ายิ่งอยากลองดูเสียหน่อย…”
เซียนหญิงลี่หวางนิ่งอึ้ง
ตี้ฝูอีเอ่ยถามอีก “ไหนเจ้าลองบอกเล่าหน่อยเสียว่าจักรพรรดิดินแดนเบื้องบนอ้วนหรือผอม เป็นชายหรือหญิง แก่ชราหรืออ่อนเยาว์…”
ใบหน้าพริ้มเพราของเซียนหญิงเขียวคล้ำ ในที่สุดก็ปิดปากเงียบไม่โวยวายแล้ว
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “เหตุใดจึงไม่พูดไม่จาแล้วเล่า?”
ริมฝีปากของเซียนหญิงลี่หวางปิดแน่นสนิทยิ่งกว่าเปลือกหอยเสียอีก
ตี้ฝูอีส่ายหน้าเล็กน้อย ใช้เท้าถีบมู่เฟิงหนึ่งครา “รีบไปสอบสวนนาง สอบสวนเสร็จแล้วก็ส่งนางไปตามทางเสีย”
มู่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าในใจ รู้ดีว่านายท่านบ้านตัวชอบสรรหาทำเรื่องน่าตื่นเต้นเสมอมา จะดีกว่าหากเซียนหญิงลี่หวางผู้นี้ไม่หยิบยกจักรพรรดิดินแดนเบื้องบนอะไรนั้นมาข่มขู่ ไม่แน่ยังอาจเหลือซากศพครบถ้วนได้ ทว่านางพูดเยี่ยงนี้เห็นได้ชัดว่าละเมิดข้อห้ามอันใหญ่หลวงของเทพศักดิ์สิทธิ์
หลายปีมานี้เทพศักดิ์สิทธิ์มีเวลาว่างมากมาย คร่ำครวญอยู่บ่อยครั้งว่าชีวิตสงบสุขเยี่ยงน้ำสงบนิ่ง ทำให้เขาเบื่อหน่าย หลังจากที่พบกู้ซีจิ่ว ชีวิตของเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงได้เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ความจริงเทพศักดิ์สิทธิ์ตามหาคู่ต่อสู้ที่แท้จริงมาโดยตลอด เพียงแต่หาไม่พบ ยามนี้จักรพรรดิดินแดนเบื้องบนนี้คงทำให้นายท่านมีความมุ่งมาดในการต่อสู้ขึ้นมาแล้ว
เกรงว่าเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังครุ่นคิดจะไปหาเรื่องเจ้านายดินแดนเบื้องบนผู้นี้…
ว่าแต่ว่าดินแดนเบื้องบนนี้มันคือสถานที่แห่งใดกันแน่? ไปอย่างไร? เหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกมู่เฟิงต้องสอบสวน…
พวกมู่เฟิงมีความสามารถในการสอบสวนยิ่งนัก ใครก็ตามที่อยู่ในเงื้อมมือพวกเขาน้อยคนนักที่จะต้านทานได้ ทุกคนแทบจะเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่เมื่อผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม แทบอยากจะพูดออกมาว่าวันหนึ่งกินหมั่นโถวไปทั้งหมดกี่อัน
สี่ทูตพาตัวเซียนหญิงลี่หวางท่านนั้นออกไปในทันใด
เซียนหญิงลี่หวางผู้นั้นย่อมหวีดร้องต่างต่างนานา บัดนี้ลูกน้องนางเหลือแค่เพียงคนยักษ์เกราะทอง และคนยักษ์เกราะทองนั้นก็ถูกกู้ซีจิ่วจับมัดไว้แล้ว ยามนี้ไม่สามารถปลีกตัวไปช่วยเหลือนางได้เลย…
ในที่สุดนางก็รับรู้แล้วว่าอะไรคือความสิ้นหวัง ก่อนจากไปยังตะโกนโหวกเหวก “ตี้ฝูอี ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น!”
ตี้ฝูอีอมยิ้ม เพียงแค่โบกมือให้นาง เขาเชื่อว่าไม่เกินสองชั่วยาม เขาจะได้รู้ในสิ่งที่เขาอยากรู้…
“อ๊า…” เสียงแหลมและรันทดสายหนึ่งส่งผ่านมาจากกลางอากาศ ตี้ฝูอีแหงนหน้ามองเห็นคนยักษ์เกราะทองนั้นถูกปกคลุมด้วยภูเขากระบี่ของกู้ซีจิ่วพอดี ทว่าลำแสงกระบี่ทั่วท้องนภากลับจางหาย ไม่มีแม้แต่เงาของคนยักษ์เกราะทองนั้น มีเพียงฝนนองโลหิตไหลหลั่งลงมากมากมายนับไม่ถ้วน…
————————————————————————————-
บทที่ 1521 ตัดรากถอนโคน
“เยี่ยมเลย!” ผู้คนที่อยู่ด้านล่างมองอย่างเลือดลมพลุ่งพล่าน ไชโยโห่ร้องขึ้นมา
กลางนภา กู้ซีจิ่วยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ถึงแม้จะสวมชุดดำ ทว่าทำให้คนรู้สึกประกายแสงเจิดจรัสนับหมื่นจั้งประการหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ไม่รู้ว่ามีจิตรกรมากน้อยเพียงใดที่สะบัดพู่กันฝนหมึกเพื่อเธอ วาดภาพเหมือนของเธอไว้
เซียนหญิงลี่หวางเห็นฉากนี้ในระหว่างที่ถูกคุมตัวอยู่ สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง!
ที่ดินแดนเบื้องบนคนยักษ์เกราะทองผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือเช่นกัน หลังจากติดตามนางลงมายังโลกเบื้องล่างถึงแม้พลังวิญญาณจะอ่อนแอลงไปบ้าง แต่หลังจากรั้งอยู่ที่โลกนี้แปดปีอีกทั้งใช้วิธีการพิเศษฝึกฝน พลังยุทธ์ก็ฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแล้ว นางหลงนึกไปว่ามีคนยักษ์เกราะทองผู้นี้อยู่ข้างกาย ผู้ใดก็มิใช่คู่ต่อสู้ นางไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลย ในสายตาของนางเกรงว่าแม้แต่เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อของคนยักษ์เกราะทองผู้นี้ กลับคาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วตัวกระจ้อยร่อยจะปลิดชีพคนยักษ์เกราะทองผู้นี้ได้!
คนยักษ์เกราะทองผู้นี้ติดตามตนมาหลายสิบปีแล้ว ความรู้สึกย่อมผูกพันลึกซึ้งเหนือธรรมดา บัดนนี้เมื่อเห็นเขาถูกสังหาร นัยน์ตาของเซียนหญิงลี่หวางจึงแดงฉานหมดแล้ว!
“เจ้ากล้าสังหารเวียนจากดินแดนเบื้องบน เจ้าจะได้รับกรรมตามสนอง!” นางกรีดร้องชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงดุดันแกร่งกร้าวราวกับสาปแช่ง พุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
มู่เฟิงลงมือสกัดจุดนาง ระงับการร้องตะโกนของนางได้สำเร็จ มู่เหล่ยยิ้มหัว “เจ้าห่วงตัวเจ้าเองเถอะ! กรรมกำลังจะตามสนองเจ้าเดี๋ยวนี้แล้ว!” ลากนางออกเดิน
กู้ซีจิ่วหอบหายใจเล็กน้อย ถ้าไม่ได้ประมือกับคนยักษ์เกราะทองจะไม่รับรู้ถึงความร้ายกาจเลย พอได้ประมือด้วยเธอถึงได้เข้าใจว่ามีแรงกดดันมากแค่ไหน ทุกกระบวนท่าทุกกลยุทธ์ของเจ้าคนผู้นี้เสมือนขุนเขาลูกหนึ่งที่กดทับลงมา! เป็นชนิดที่สามารถสะกดข่มผู้คนได้ทุกขณะ เธอทำได้เพียงต่อสู้วนเวียนไปมาเท่านั้นถึงจะตัดทอนความรู้สึกกดข่มนั้นทิ้งได้บ้าง
เคราะห์ดีที่เธอปรับกลยุทธ์ได้ทันกาล สุดท้ายจึงเอาชนะศึกนี้ได้ ยามนี้รู้สึกเพียงว่าแขนล้วนปวดชาราวกับมิใช่แขนตนแล้ว หลังจากโจมตีท่าสุดท้ายออกไปแล้ว เบื้องหน้าเธอถึงขั้นที่มืดไปแวบหนึ่ง ร่างกายซวนเซอยู่กลางอากาศ หวิดจะล้มทั้งยืนแล้ว!
โชคดีที่เธอฝืนยันไว้ได้ทันท่วงที เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นตี้ฝูอีทะยานขึ้นมาแล้ว สองมือเขาดั่งโคจรเคล็ดดูดดาว ประกายแสงนับไม่ถ้วนวูบไหวอยู่ในฝ่ามือเขา
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงทันที ตี้ฝูอีกำลังใช้วิชาเรียกวิญญาณ!
ใช่จริงๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในฝ่ามือของตี้ฝูอีก็มีดวงวิญญาณสีทองอ่อนจางดวงหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นี่เป็นดวงวิญญาณของคนยักษ์เกราะทองผู้นั้น มันดิ้นรนอย่างสุดกำลังอยู่ในฝ่ามือตี้ฝูอี คล้ายว่าต้องการจะหลบหนี จนปัญญาที่ฝ่ามือของตี้ฝูอีมีแรงดึงดูดยิ่งนัก มันหนีไม่พ้น
มันร้องเสียงแหลม “เจ้าจะทำอะไร?!”
ตี้ฝูอียิ้มดั่งพุทธองค์ผู้โปรดเวไนยสัตว์ “โปรดสัตว์อย่างเจ้าไงเล่า!”
เปลวเพลิงแดงฉานผุดขึ้นมาจากฝ่ามือเขา คนตัวจ้อยที่ทองจาง ที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงร้องโหยหวน พูดข่มขู่ กล่าวว่าสังหารเทพจะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อย่างหนัก ให้เขารามือเสีย
จนใจที่ตี้ฝูอีไม่หือไม่อือเลย บงกชชาดกลางฝ่ามือทวีความรุนแรงขึ้น จวบจนคนตัวจ้อยสีทองสลายหายไปจนสิ้นเขาถึงได้เก็บมือ
กู้ซีจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าเขาจะสังหารให้หมดจดถึงเพียงนี้ ถึงอย่างไรคนยักษ์เกราะทองผู้นี้ก็เป็นเพียงข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์เท่านั้น
สีหน้าของตี้ฝูอีค่อนข้างซีดเซียวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการเผาผลาญวิญญาณดวงนี้สิ้นเปลื้องพลังวิญญาณของเขายิ่งนัก เขามองลงไปด้านล่างแวบหนึ่ง ฝูงชนด้านล่างล้วนตะโกนโห่ร้องยินดี
เรื่องที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีถูกให้ร้ายประชาชนทั้งหมดยังไม่ได้รับรู้ ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงชิงชังเขาอยู่ ดังนั้นนามที่ผู้คนด้านล่างสรรเสริญแซ่ซ้องจึงเป็นนามของกู้ซีจิ่ว เสียงแซ่ซ้องนั้นกังวานขึ้นเรื่อยๆ สะเทือนเมฆาขาวบนฟากฟ้าให้สั่นไหว
ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “ซีจิ่ว ยินดีด้วย!” เขาเชื่อว่านับจากวันนี้ไป นามของกู้ซีจิ่วจะก้องไปทั่วใต้หล้า ไม่ด้อยไปว่าใครหน้าไหน
กู้ซีจิ่วช้อนตามองเขา รู้สึกอยู่เสมอว่าเขาคล้ายจะอยู่ห่างไกลจากตนไปอีกหลายขั้น
————————————————————————————-