ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1614+1615
บทที่ 1614 เกาะแน่นประหนึ่งตัวซู่หล่านกอดต้นไม้ก็มิปาน
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีม่วง เป็นตี้ฝูอี เขากุมข้อมือผอมบางของนางทันที ถึงแม้จะระวัดระวังหลบเลี่ยงบาดแผลของนางยิ่งนักแล้ว นางก็ยังครางออกมาเบาๆ หัวคิ้วมุ่นแน่น บนหน้าผากมีเหงื่อมผุดพราย “เจ็บ…” นางพึมพำออกมาคำหนึ่ง
เขายื่นมือไปเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว เด็กดี…”
น้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับสะกดจิต
แปดปีที่ผ่านมาเธอติดนิสัยในการขอการปกป้องขอไออุ่นจากข้างกายเขา ตอนกลางวันถึงแม้เธอขีดเส้นแบ่งจากเขาอย่างชัดเจน ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา แต่เกรงว่าด้วยความเคยชินทำให้ในความฝันเธอลืมเลือนความบาดหมางไป และต้องการพึ่งพิงเขา โดยเฉพาะในยามที่เจ็บปวด
ดังนั้นเธอจึงเอนไปซบเขาตามสัญชาตญาณ ดวงหน้าน้อยๆ ซบอยู่บนตักเขา พึมพำออกมาอีกประโยคหนึ่ง “ฝูอี ข้าเจ็บ ข้าเจ็บจัง…”
หัวใจพลันอึดอัดปานจมน้ำ ตี้ฝูอียื่นมือออกไปหมายจะกอดนาง ทว่าอดกลั้นเอาไว้อีกครา ถอนหายใจเบาๆ ใช้ปลายนิ้วแกะผ้าพันแผลตรงข้อมือนางออก รอยแผลสีแดงปูดนูนสายหนึ่งพาดอยู่บนข้อมือขาวผ่องของนาง ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก
เขาขมวดคิ้วนิดๆ นางจัดการบาดแผลได้สะเพร่าเกินไปแล้ว เพียงใช้ยาสมานแผลทาเข้าที่บาดแผลก็นับว่าจบเรื่องแล้ว ไม่ได้บีบโลหิตพิษด้านในออกมา มิน่าเล่านางถึงเจ็บปวดเช่นนี้…
แผลนี้ของนางมองเผินๆ เหมือนจะสมานดีแล้ว แต่พิษบนคมมีดยังถูกผนึกไว้ด้านใน ออกฤทธิ์อยู่ในเลือดเนื้อของนาง
นางเองก็เป็นหมอที่เก่งกาจผู้หนึ่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่น่าจะไม่ทราบถึงข้อนี้
นี่นางจงใจทรมานตัวเองหรือไง? หรือว่าจิตใจฟุ้งซ่านจึงไม่ได้สังเกตเลย?
ตี้ฝูอีมองบาดแผลบนข้อมือนางเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ต้องบีบโลหิตด้านในออกมา จากนั้นก็พันแผลไว้อีกครั้ง ถึงจะหายดี
แต่หากว่าเขากรีดเปิดปากแผลของนางอีกครั้ง ต้องทำให้นางสะดุ้งตื่นเป็นแน่ และจะทำให้นางได้รับความทรมานอีกครั้ง เขาหลับตาลงเล็กน้อย ยกมือขึ้นแตะบนบาดแผลของนาง ลำแสงสีรุ้งผุดออกมาจากฝ่ามือเขา เข้าครอบคลุมบาดแผลนาง
มีสีม่วงจางๆ ค่อยๆ ผุดออกมาจากปากแผลของนาง ปีนป่ายขึ้นมาตามแสงสีรุ้งของตี้ฝูอี มุดเข้าไปในฝ่ามือเขา…
ผ่านไปครู่หนึ่ง รอยแผลปูดนูนบนข้อมือกู้ซีจิ่วก็ค่อยๆ ราบแบนลงไป
แต่มือของตี้ฝูอีกลับบวมเป่งเล็กน้อย หลังจากเขาถอนพลังกลับไปแล้ว ทั้งฝ่ามือของเขาบวมแดงไปหมด เขามองตัวเองแวบหนึ่ง ไม่ใส่ใจอีก ก่อนหลุบตามองกู้ซีจิ่วอีกครั้ง คงเป็นเพราะความเจ็บปวดไม่เลือนหายเลย ใบหน้าน้อยๆ ของนางจึงซีดขาวอยู่ตลอด บัดนี้เลือดฝาดบนแก้มกลับคืนมาแล้ว หัวคิ้วที่มุ่นแน่นก็คลายออกแล้วเช่นกัน
นางนอนอยู่ตรงนั้น บนร่างสวมอาภรณ์ตัวบางไว้ นอนหลับอย่างไร้สิ่งขวางกั้น
ทันใดนั้นนางพลันพลิกกาย แขนข้างหนึ่งควานหาบางอย่างตามสัญชาตญาณ ทว่าควานพบเพียงอากาศ
ความปวดร้าวพาดผ่านนัยน์ตาของตี้ฝูอี
อยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาแปดปี เมื่อหลับใหลในยามราตรีนางหลับอยู่ในอ้อมแขนเขาจนคุ้นชินไปแล้ว แขนชอบโอวรอบเอวเขาไว้ เกาะแน่นประหนึ่งตัวซู่หล่าน (ตัวสลอธ) กอดต้นไม้ก็มิปาน
ยามนี้ถึงแม้นางกับเขาจะเลิกรากันอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ความเคยชินของนางไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วขณะ ยามหลับใหลยังติดนิสัยที่อยากโอบเอวเขาไว้อยู่
เขานั่งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน เห็นว่าหลังจากที่นางโอบได้เพียงความว่างเปล่าหัวคิ้วก็มุ่นนิดๆ อีกครั้ง ควานหาอีกครั้งอย่างไม่พอใจ ตี้ฝูอีจึงหยิบหมอนอิงใบหนึ่งที่อยู่ด้านข้างมายัดใส่อ้อมแขนนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงกอดหมอนอิงไว้แน่น ใบหน้าแนบอยู่บนหมอนอิง และไม่ทราบเช่นกันว่าในฝันกำลังฝันถึงอะไรอยู่ ขนตาของนางเปียกชุ่มขึ้นมา หยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากหางตา….
————————————————————————————-
บทที่ 1615 ครั้งนี้กลับปล่อยมืออย่างสิ้นเชิงแล้ว
ตี้ฝูอีละสายตาไปทันที หมุนกายคราหนึ่งหายลับไปในแสงสลัวที่แผ่ออกมาจากป้ายหยก
ต่อให้ความเคยชินจะหยั่งรากลึกสักเพียงใดก็สามารถค่อยๆ แก้ไขให้หายไปได้ ในไม่ช้านางจะเคยชินกับการอยู่ตัวคนเดียว…
….
ณ จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ร่างกายของตี้ฝูอีที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นชมดาวปานพุทธองค์พลันสั่นสะท้าน ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
เขายกมือขึ้นมา มองฝ่ามือที่บวมเป่ง โคจรพลังยุทธ์เงียบๆ ขับพิษที่ดูดมาออกจากร่างกาย หยาดโลหิตสีม่วงเข้มไหลรินออกมาทีละหยดๆ บนหน้าผากขาวกระจ่างปานหยกของเขามีหยาดเหงื่อผุดพราย เห็นได้ชัดว่าการขับพิษก็เจ็บปวดยิ่งนักเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยาดโลหิตที่ขับออกมากลายเป็นสีแดงสดแล้ว เขาก็เก็บพลังยุทธ์ ลุกขึ้นมา
เงยหน้าท้องนภาดาษดาราอยู่หนึ่งชั่วยามเต็ม ดาวดวงใหม่ส่องว่างขึ้นทุกที ดาวดวงเก่าหม่นแสงลง และที่มุมหนึ่งของฟากฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีดาวสีแดงดวงหนึ่งค่อยๆ เผยแสงออกมา…
ตี้ฝูอีจ้องดาวสีแดงหม่นดวงนั้นอยู่นานนัก บางครั้งก็จรดนิ้วคำนวณบางอย่าง ขมวดคิ้วนิดๆ
ดาวมารสวรรค์ฉายแสงขึ้นมาอีกครั้ง แสดงว่าโม่เจ้ากำลังจะคืนชีพ
จากการคาดการณ์แต่เดิมของตี้ฝูอี โม่เจ้าสมควรจะใช้เวลาสามสิบปีในการฟื้นคืนชีพ แต่บาปกรรมที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นก่อทำให้เกิดวิญญาณอาฆาตมหาศาล ไอพยาบาทท่วมท้นไปทั่วแผ่นดิน ไอพยาบาทนี้ทำให้โม่เจ้าฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้น ย่นระยะเวลาให้เขาได้มากมายถึงเพียงนี้…
เพียงแต่เขาฟื้นคืนชีพมาเร็วหน่อยก็ดี ตี้ฝูอีจะได้ฉวยโอกาสกำจัดเขาให้สิ้นซากเสีย! กำจัดหายนะใหญ่หลวงนี้
เขามองดวงดาวอีกครา ดาวมารสวรรค์ดวงนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ดูจากตำแหน่งที่ตั้งแล้วคล้ายจะเป็นพื้นที่ของเผ่าจิ้งจอกคราม…
ประหลาด เขาจับสัมผัสได้ว่าโม่เจ้าอยู่ในละแวกหลายร้อยลี้นี้ชัดๆ เหตุใดดวงดาวจึงแสดงพิกัดว่าเขาซ่อนตัวอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้เล่า?
เป็นเขาสูญเสียพลังวิญญาณมากไป ดังนั้นสัมผัสรับรู้จึงมีปัญหางั้นหรือ?
เขาเงยหน้ามองดาวสีแดงหม่นดวงนั้นอีกครั้ง ดูท่าว่าภายในครึ่งปีนี้เขาคงก่อเรื่องอะไรยังไม่ได้ ส่วนตัวเขาก็ต้องฟื้นฟูให้กลับเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ภายในครึ่งปีนี้ เพื่อเตรียมรับมือกับพายุฝนที่หนักหนากว่าเดิม
เขาออกมาจากแท่นชมดาว หน้ากากสวมลงบนหน้าด้วยตัวเอง ถีบปลุกมู่เฟิงที่สัปหงกอยู่ตรงหน้าประตูทีหนึ่ง “เตรียมตัวเสีย พวกเราจะกลับวังมรกตกัน”
มู่เฟิงงุนงงอยู่บ้าง “ยะ…ยามไหนขอรับ?”
“เดี๋ยวนี้”
มู่เฟิงทึ่มทื่อไป
เขาขยี้ตา ทำให้ตนแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย “ข้าน้อยจะเรียกทูตทั้งสามมาเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”
“เจ้าตามเปิ่นจุนกลับไป มู่เหล่ยให้จับตามองความเคลื่อนไหวในวังหลวงต่อ มู่อวิ๋นไปจับตามเผ่าจิ้งจอกคราม มู่เตี่ยนรักษาการณ์อยู่ที่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ถ้ามีความผิดปกติให้รีบรายงานทันที”
“…ขอรับ!” มู่เฟิงทำใจกล้าถามออกไปอีกประโยคหนึ่ง “นายท่าน ทางด้านแม่นางกู้ต้องส่งคนไปดูแลด้วยไหมขอรับ?”
ตี้ฝูอีหันหลังก้าวเดินไป “ไม่ต้อง”
มู่เฟิงที่อยู่ด้านหลังเบ้ปากทีหนึ่ง
เมื่อก่อนไม่ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไปไหน จะต้องส่งคนไปลอบอารักขาแม่นางกู้เสมอ ไม่เคยลืมเลือนเลย ครั้งนี้กลับปล่อยมืออย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ชักจะใจดำอย่างที่หาผู้ใดมิได้ขึ้นทุกทีแล้วจริงๆ…
มู่เฟิ่งรีบไปจัดการเรื่องเหล่านั้นตามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งการอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เขาก็แอบสั่งการมู่เตี่ยนไว้เล็กน้อยเช่นกัน ให้เขาสังเกตความเคลื่อนไหวของจวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินให้มากหน่อย เมื่อถึงคราวจำเป็นให้ช่วยสะสางปัญหาให้กู้ซีจิ่วด้วย มู่เตี่ยนย่อมตกปากรับคำอยู่แล้ว
….
กู้ซีจิ่วนอนหลับสนิทอีกครั้ง ยามที่ตื่นขึ้นมาดวงตะวันด้านนอกลอยขึ้นสูงมากแล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง พบว่าตัวเองกอดหมอนอิงใบหนึ่งหลับอยู่ หมอนอิงใบนั้นรูปทรงยาว กอดไว้ในอ้อมแขนแล้วสบายยิ่งนัก
เธอมองหมอนอิงใบนั้นอย่างงุนงง เธอจำได้ว่าตอนเธอหลับไปหมอนอิงใบนี้อยู่ในหีบใบหนึ่ง แล้วเธอไปเอามันออกมากอดตอนไหนกัน?
หรือว่าเธอติดนิสัยที่ยามนอนต้องกอดข้าวของเอาไว้ ดังนั้นพอหลับไปก็ละเมอไปเปิดหาในหีบ?
————————————————————————————-