ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1634+1635
บทที่ 1634 หาข้ออ้างมาแยกพวกเขาจากกันใช่ไหม?
‘มู่เฟิง เจ้าใช้ฐานะเทวทูตของเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแจ้งให้กู้ซีจิ่วทราบ วันพรุ่งให้นางตระเตรียมเรื่องทดสอบสานุศิษย์สวรรค์’ จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ส่งกระแสเสียงหามู่เฟิง
มู่เฟิงตะลึงไปแวบหนึ่ง ‘เรื่องนี้มิใช่ว่านายท่านเป็นผู้รับผิดชอบมาโดยตลอดหรือขอรับ? นางคงจะไม่สามารถ…’
‘นำเคล็ดนี้ไปมอบให้นาง ให้นางปฏิบัติตาม เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าสี่คนก็คอยช่วยอารักขานางด้วยก็พอ ชี้แนะนางให้มากหน่อย’ ตี้ฝูอีส่งกระดาษแผ่นหนึ่งลอยพลิ้วมา
มู่เฟิงทำได้เพียงรับไว้ ตามองเจ้านายของบ้านตน อดไม่ได้จึงส่งกระแสเสียงไปหาอีก ‘นายท่าน นี่ท่านคิดจะถ่ายทอดทุกอย่างที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องทำไปให้นางหรือขอรับ?’
เขารู้สึกอยู่เสมอว่านายท่านไม่ต้องการตำแหน่งทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้แล้ว ดังนั้นจึงผลักทุกสิ่งที่ควรทำไปให้กู้ซีจิ่ว
หรืออาจเป็นเพราะนายท่านเห็นกู้ซีจิ่วกับหลงโม่เหยียนอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกขัดตา จึงหาข้ออ้างมาแยกพวกเขาจากกันใช่ไหม?
‘เปิ่นจุนเบื่อแล้ว’ ตี้ฝูอีกอธิบายด้วยสี่คำ ‘รีบไป!’
‘ขอรับ!’ มู่เฟิงไม่กล้าถามซอกแซกแล้ว หันกายกระโดดลงจากเรือไล่ตามคนไป
บนเรือลำใหญ่เหลือเพียงเด็กหนุ่มชุดดำผู้นั้นกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
จู่ๆ เด็กหนุ่นคนนั้นก็รู้สึกกดดันปานถูกภูผากดทับ!
“ลงไป!” ตี้ฝูอีเอ่ยออกมาในทันใด
“หา?” เด็กหนุ่มชุดดำเงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย
“ลงไป ไปที่จุดพักม้าของเมืองหลวงด้วยตัวเองซะ อย่าได้คิดหลบหนี มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่เกิดมา!” น้ำเสียงของตี้ฝูอีเยียบเย็นดั่งลมภูเขาพัดโชย
“ขอรับ เข้าใจแล้ว!” เด็กหนุ่มชุดดำก็กระโดดลงจากเรือเช่นกัน
เรือลำใหญ่แล่นจากไปปานสายลมหอบหนึ่ง พริบตาเดียวก็มองไม่เห็นร่องรอยแล้ว
เด็กหนุ่มชุดย่อมไม่กล้าหลบหนี เขาก็ยังรักชีวิตอยู่นะ! ครึ่งเดือนมานี้เขาทราบวิธีการของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ช่างวิปริตโดยแท้!
เดิมทีเด็กหนุ่มชุดดำเป็นเด็กหนุ่มที่โผงผางยิ่งนักคนหนึ่ง เมื่อเดือดดาลขึ้นจะใครหน้าไหนก็ไม่กลัวเกรง จักรพรรดิสวรรค์ก็ลากลงมา แต่พออยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ เขาก็เป็นแค่ลูกไก่จริงๆ…
ถึงแม้จะถูกไล่ลงมาจากเรือ แต่เด็กหนุ่มชุดดำก็ยังคงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ที่นี่ไม่ไกลจากเมืองหลวงแล้ว เขาวิ่งไปก็ไม่เปลืองแรงเท่าไหร่
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขากลัวการอยู่ร่วมกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้มากเพียงใด!
เขาขยับแขนขาที่แทบจะแข็งกะด้างแล้วเล็กน้อย รู้สึกเพียงว่านภาเป็นสีคราม ปุยหิมะก็อ่อนโยนแล้ว
อดไม่ได้ที่จะเหม่อมองไปยังทิศทางที่กู้ซีจิ่วหายลับไปแวบหนึ่ง เครื่องหมายตกใจนับไม่ถ้วนวาบผ่านในหัวใจเขา
ที่แท้สตรีนางนั้นก็คือทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินที่ร่ำลือกัน นึกไม่ถึงว่าจะอ่อนเยาว์ปานนี้ งดงามถึงเพียงนี้!
เด็กหนุ่มคนนี้อายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น ยามที่กู้ซีจิ่วมีชื่อเสียง เขายังเป็นเด็กน้อยนั่งเล่นดินเล่นโคลนบนพื้นอยู่เลย เคยได้ยินเรื่องราวการปราบปรามกบฏของนางมานานแล้ว เลื่อมใสนางอย่างยิ่ง ในใจของเขา กู้ซีจิ่วก็คือตำนานที่มีตัวตน ไม่นึกเลยว่าพอมาถึงอาณาจักรเฟยซิงก็ได้เจอตัวเป็นๆ เลย…
ก่อนหน้านี้หากมิใช่เพราะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่ข้างกาย ตอนที่เด็กหนุ่ชุดดำคนนี้เห็นกู้ซีจิ่วก็แทบจะไชโยโห่ร้องดวงตาสาดแสงเจิดจ้าไปแล้ว!
เขาน่าจะยังได้พบนางอีกกระมัง? หากว่าได้สนทนากับนางเช่นนั้นก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว…
เด็กหนุ่มชุดดำคิดเพ้อไปไกล
การสนทนาของตี้ฝูอีกับมู่เฟิงเป็นการส่งกระแสเสียงทั้งสิ้น เด็กหนุ่มชุดดำคนนี้ไม่มีทางได้ยินเด็ดขาด ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าผู้รับหน้าที่ทดสอบตนในวันพรุ่งนี้คือกู้ซีจิ่ว
….
ในป่าเหมยแดงฉานดั่งเพลิง กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองมู่เฟิงที่ร่อนลงบนยอดกิ่งดอกเหมย…ซึ่งยามนี้เป็นทูตส่างซั่น ไม่เข้าใจว่าใช้ฐานะนี้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด
มู่เฟิ่งก็ปวดร้าวยิ่งนักเช่นกัน
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้เขามาถ่ายทอดโองการของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมต้องสวมชุดเครื่องแบบของทูตส่างซั่น…สวมเสื้อคลุมสีเขียวหลวมโคร่งตัวหนึ่ง ชายชุดปักลายเมฆาด้วยด้ายทองชนิดพิเศษ สวมหน้ากากภูตผีไว้บนหน้า
————————————————————————————-
บทที่ 1635 เขาหึงหวง?
เขาสวมชุดเครื่องแบบนี้ไปข่มขู่ผู้อื่นยังพอไหว ทว่ากู้ซีจิ่วรู้ฐานะของเขา ดังนั้นยามมู่เฟิงยืนอยู่บนยอดกิ่งเหมยแสร้งทำเป็นหยิ่งผยอง ทว่าในใจกลับมีคำว่าอักอ่วนตัวยักษ์
“รับโองการเทพศักดิ์สิทธิ์ มีคำสั่งให้ทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินกู้ซีจิ่วรับผิดชอบการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ในวันพรุ่งนี้ ไม่อาจมีข้อผิดพลาดได้” มู่เฟิงถ่ายทอดโองการเทพศักดิ์สิทธิ์จบอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วมือพลันตวัด ม้วนตำราบางๆ โบยบินไปอยู่บนมือของกู้ซีจิ่ว “หากทูตสวรรค์กู้ไม่เข้าใจตรงไหน ก็ศึกษาได้จากม้วนตำราม้วนนี้ เนื่องด้วยเวลาที่กระชั้น หวังว่าทูตสวรรค์กู้จะกลับไปเตรียมตัวโดยเร็ว”
ตี้ฝูอีกำลังเล่นละครอะไรอีก?!
กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจอย่างยิ่ง จึงถามในทันใด “ขอบังอาจถามทูตส่างซั่น การทดสอบสานุศิษย์สวรรค์นี้มิใช่กิจของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรอกหรือ? เหตุใดจึงให้ซีจิ่วข้ามหน้าข้ามตาเขาได้?”
“เรื่องนี้เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้จัดการ ทูตสวรรค์กู้ทำไปตามนั้นก็พอ” ภายใต้การจับจ้องด้วยดวงตาที่สดใสของกู้ซีจิ่ว มู่เฟิงแทบจะรักษาอาการสงบเยือกเย็นไว้ไม่อยู่ เมื่อกล่าวถ้อยคำนี้จบเขาก็หันกายโบยบินไป
กู้ซีจิ่วไร้ซึ่งวาจา เธอหลุบตาลงมองม้วนตำราในมือ ด้านบนเป็นตัวอักษรบรรจงถี่ยิบ สวยงามและแข็งกร้าวยิ่งนัก เป็นลายมือของเขาเอง
ตี้ฝูอีมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง เขียนตัวอักษรได้หลากหลายรูปแบบ เมื่อเปลี่ยนรูปแบบการเขียนก็จะไม่มีผู้ใดมองออกเลยว่าเป็นคนเดียวกันเขียน
ทว่ากู้ซีจิ่วอยู่ร่วมกันกับเขามาแปดปี ย่อมคุ้นเคยลายมือแต่ละแบบของเขาเป็นอย่างดี ไม่มีทางจำผิด เขาเป็นคนเขียนม้วนตำรานี้ขึ้นมาแน่นอน
เพียงแต่ปกติตี้ฝูอีชอบเขียนตัวอักษรหวัดแกมบรรจงหรือตัวอักษรหวัด ประหนึ่งมังกรคะนองโบยบิน แทบจะทะลุทะลวงกระดาษออกไป
ทว่าตัวอักษรบรรจงเช่นวันนี้นับว่าเห็นได้ยากยิ่งนัก
เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? ทั้งที่เป็นหน้าที่ของตัวเขาเองชัดๆ เหตุใดต้องผลักภาระมาให้เธอ? จับชายฉกรรจ์มาเป็นทหารเปล่า[1]หรืออย่างไร?
กู้ซีจิ่วเดือดดาลในใจ!
ขั้นตอนการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์สลับซับซ้อน ต่อให้เธอเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ เวลาก็ยังกระชั้นนัก หากต้องการทำได้ดี ก็ไม่อาจชื่นชมป่าเหมยอย่างสบายใจได้อีกต่อไปแล้ว
หรือว่าเขาจะขัดหูขัดตาที่เห็นเธอกับหลงโม่เหยียนเที่ยวชมทัศนียภาพด้วยกัน จึงจงใจผลักภาระนี้มาให้เธอ?
เขาหึงหวง?
เมื่อความคิดสุดท้ายนี้ผุดขึ้นมา หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหวและปฏิเสธทันที
เขามองเธอเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว จะมาหึงหวงอะไรอีก?
หรือบางทีอาจเป็นเพราะเธอเคยเป็นคนของเขา ต่อให้เขาไม่ต้องการเธอแล้ว แต่ก็ไม่อยากเห็นเธออยู่ด้วยกันกับชายอื่น พวกปิตาธิปไตยกำลังก่อเรื่องร้ายกระมัง?!
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเหตุผลข้อสุดท้ายน่าจะเป็นไปได้ที่สุด ความโกรธในใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ตี้ฝูอีเห็นเธอเป็นอะไรกันแน่?!
เหตุใดเธอจึงต้องฟังเขา?!
หลงโม่เหยียนยืนอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา เห็นสีหน้านางไม่สู้ดี จึงไม่พูดไม่จายืนอยู่ตรงนั้น ถามขึ้นหนึ่งประโยค “ซีจิ่ว ในเมื่อเจ้ายังมีธุระที่ต้องทำ เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด?”
กู้ซีจิ่วทอดถอนใจเบาๆ เก็บม้วนตำราม้วนนั้นเข้าแขนเสื้อ กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่เป็นไร” เธอสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า “การเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องราววุ่นวายเหล่านั้นหรอก พวกเราไปเที่ยวชมกันต่อเถอะ”
ดอกเหมยในป่าเหมยผลิบานสะพรั่ง ผู้คนสัญจรไปมา กลีบดอกเหมยร่วงหล่นลงบนผืนหิมะดั่งสายฝนโปรยปราย เป็นสีแดงสลับขาว ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก
ดอกเหมยภายในป่าเหมยผืนนี้ดูจะแดงฉานเป็นพิเศษ สีสันสวยสดดุจโลหิต แดงชาดดั่งเปลวเพลิง โดดเด่นเตะตา
กู้ซีจิ่วเดินเล่นในป่าเหมย ดอมดมกลิ่นหอมสดชื่นของดอกเหมย ทำให้ความเดือดดาลในใจสงบลงได้บ้าง
หลงโม่เหยียนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างยิ่ง ปิดปากเงียบไม่พูดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ พยายามหาเรื่องอื่นมาพูดคุยกับกู้ซีจิ่ว เขาเป็นคนอารมณ์ขัน ชาญฉลาดมีไหวพริบ รอบรู้คงแก่เรียนนัก มีข้อมูลมากมาย ทว่าไม่น่าเบื่อ
————————————————————————————-
[1] จับชายฉกรรจ์มาเป็นทหารเปล่า มาจากที่จีนสมัยก่อนจะมีการเรียกบังคับจับกุมชายวัยหนุ่มและวัยกลางคนมาเป็นทหาร ประโยคนี้ในที่นี้หมายถึงการใช้งานผู้น้อยที่มีความสามารถโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน