ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1638+1639
บทที่ 1638 นั่งสมาธิต่อไปไม่ได้
กำไลที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคล้องไว้ให้มันยังมีผลลัพธ์ที่วิปริตยิ่งนัก แค่ร่างกายของมันและเจ้านายสัมผัสกัน มันก็จะกลับสู่ร่างเดิมทันที ประสิทธิภาพดียิ่ง
กู้ซีจิ่วกลั้นหัวเราะไม่ไหว เมื่อเห็นลู่อู๋น้อยแปลงกายกลับเป็นเด็กงีบหลับต่อ เธอจึงไม่รบกวนมันอีก
เธอหลุบตาลงมองหยกนภาบนข้อมือ สิ่งเดียวที่เธอเสียใจในการสลับร่างก็คือเสี่ยวชาง หากสลับร่างสำเร็จ มันจะไม่มีทางสื่อสารกับเธอได้อีก
เหตุการณ์สลับร่างครั้งที่แล้วคงทำให้หยกนภาเศร้าใจอย่างยิ่ง มันรู้สึกว่าหยกนภาผู้สง่างามเช่นมันไม่อาจถูกจำกัดด้วยสิ่งนี้ ช่วงนี้ไม่รู้ว่ามันได้เคล็ดจิตมาจากที่ใด เมื่อใดที่มันฝึกฝนเคล็ดจิตนี้ได้ ต่อไปไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะสลับร่างอีกกี่ครั้ง มันก็จะสื่อสารกับเธอได้อย่างไร้อุปสรรค เคล็ดจิตนี้ฝึกฝนยากมาก เดือนที่แล้วมันเคยบอกกับกู้ซีจิ่วว่าจะกักตนครึ่งปีเพื่อฝึกฝนเคล็ดจิตนี้
หยกนภาในตอนนี้กำลังหลับสนิท ฟ้าผ่าอย่างไรก็ไม่มีทางตื่น
บางทีเมื่อมันตื่นขึ้นมา อาจจะเรียนรู้เคล็ดจิตนั้นได้แล้ว และสื่อสารกับร่างใหม่ของเธอได้อย่างไร้อุปสรรค
เธอมองออกไปด้านนอกอีกครั้ง รัตติกาลเยือนย่ำ เกล็ดหิมะปลิวไสวในค่ำคืนมืดมิด ไร้ซึ่งดาราและจันทรา
บางทีพรุ่งนี้ท้องฟ้าคงแจ่มใส?
อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่สิบห้าเดือนอ้ายแล้ว ขอให้ได้เห็นดวงจันทร์กลมโตเท่าจานกลมดวงนั้นด้วย
เดินทางมาหนึ่งชั่วยามแล้ว กู้ซีจิ่วมองไปด้านหน้า เขาถามสวรรค์อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เธอเห็นหลงซือเย่กำลังมองมาเช่นกัน…
…
จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
คืนนี้ตี้ฝูอีค่อนข้างว้าวุ่นใจ นั่งสมาธิต่อไปไม่ได้
ดูเหมือนจะมีเรื่องราวเลวร้ายเกิดขึ้น ทว่าเขานับนิ้วคำนวณดูแล้วสองครา ล้วนคำนวณสิ่งใดออกมาไม่ได้
เขาเดินวนรอบแท่นชมดาวรอบหนึ่ง มองดูผังดาวครู่หนึ่ง ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
ท้องฟ้ามืดมิด ทว่าเขากลับยังไม่ง่วงเลย
เขาไม่อยากเข้านอน อนาคตยังมีเวลาให้พักผ่อนอีก เขาคลุมเสื้อออกมา พายุหิมะโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอก ลมพายุคละเกล็ดหิมะกระทบใบหน้า
เขาเดินทอดอารมณ์อยู่ในจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรอบหนึ่ง รู้สึกว่ายากนักที่จะสงบจิตใจลงได้ จึงเดินกลับไปในห้องนอน
หยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งขึ้นมา ร่ายอาคมบนนั้นติดต่อกัน ไม่นานป้ายหยกก็ปรากฏภาพคลื่นแสงดุจระลอกวารี เป็นภาพภายในรถม้าหยกขาวคันนั้น
ภายในรถม้าหยกขาวเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดสักคน
ตี้ฝูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย หันหน้ามองดูนาฬิกาทรายที่มุมห้อง ยามห้ายผ่านไปกึ่งหนึ่งแล้ว ปกติยามนี้นางจะกลับไปพักผ่อนที่รถม้าหยกขาวแล้ว วันนี้เกิดอะไรขึ้น?
หรือว่านางกำลังศึกษาม้วนตำราการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์อยู่ในห้องหนังสือ ลืมเวลาไปแล้ว?
ไม่ถูกต้อง ช่วงหลายเดือนมานี้ต่อให้กู้ซีจิ่วอ่านหนังสือก็จะชอบมาขลุกตัวอยู่ในรถม้าหยกขาว เพราะที่แห่งนี้เงียบสงบยิ่ง ไม่มีทางมีผู้ใดมารบกวน
ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว นางไปที่ใดกัน?
ตี้ฝูอีค่อนข้างสิ้นเปลืองพลังวิญญาณในการทำเช่นนี้ หลายวันมานี้เขาจึงไม่ได้ตรวจดูการนอนหลับของนางทุกวัน โดยปกติเขาจะตรวจดูทุกสองหรือสามวัน หากเห็นนางนอนหลับไม่สนิท ก็จะใช้วิชาวิญญาณกระจกเงาทะลวงเข้าไปใช้คาถาทำให้นางหลับสนิท
การส่งวิญญาณเข้าไปยิ่งสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ เขาจึงไม่ใช้มันง่ายๆ
เขาตรวจสอบอยู่นานก็ไม่ได้เบาะแสอื่น ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงหยิบป้ายหยกอีกชิ้นขึ้นมา ป้ายหยกชิ้นนี้เชื่อมกับป้ายหยกชิ้นที่เพิ่งให้กู้ซีจิ่วไป สามารถพูดคุยกันได้
เขาตัดสินใจ กดเปิดป้ายหยกชิ้นนั้น ป้ายหยกส่องสว่าง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดรับ
ตี้ฝูอีติดต่อไปอีกหลายครั้งติดต่อกัน ฝั่งนั้นอยู่ในสถานะที่ไม่มีผู้ใดรับสายตลอด
เขามุ่นคิ้ว รีบเรียกมู่เฟิงมาทันที
มู่เฟิงเพิ่งพักผ่อน เมื่อถูกเรียกมาก็ไม่กล้าโอดครวญสักนิด เพียงคารวะ “นายท่านมีเรื่องใดสั่งการหรือขอรับ?”
————————————————————————————-
บทที่ 1639 มือเท้าของตี้ฝูอีเย็นเฉียบในทันใด!
“มอบป้ายหยกนั้นให้กู้ซีจิ่วหรือยัง?”
มู่เฟิงไม่นึกเลยว่านายท่านเร่งร้อนขุดเขาออกมาจากที่นอนก็เพื่อถามเรื่องนี้ เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “มอบให้แล้วขอรับ”
“เช่นนั้นนางเก็บไว้อย่างดีไหม?”
“นี่…” มู่เฟิงชะงักไปแวบหนึ่ง พอเขาส่งมอบป้ายหยกออกไปก็เผ่นแน่บแล้ว ไม่ได้เห็นเลยว่าสุดท้ายแล้วกู้ซีจิ่วเก็บไว้หรือไม่เก็บไว้ให้ดี…
แต่ถึงอย่างไรก็น่าเก็บไว้อย่างดีกระมัง?
ป้ายหยกของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคือสิ่งล้ำค่าหาใดเทียม ผู้ที่ได้รับป้ายหยกนี้ปรารถนาจะเทิดทูนมันขึ้นเป็นบรรพบุรุษแทบใจจะขาด
เพียงแต่เมื่อเป็นกู้ซีจิ่วก็ว่าได้ยากนัก! ถึงอย่างไรยามนั้นนางก็ยืนกรานว่าไม่เอา…
จู่ๆ มู่เฟิงก็ค่อนข้างไม่แน่ใจขึ้นมาแล้ว
แม่นางกู้คงไม่ได้โยนปากหยกนั้นทิ้งไปแล้วกระมัง?!
ตี้ฝูอีมองท่าทีของมู่เฟิงก็ทราบแล้วว่าคิดอะไรอยู่ สูดหายใจเบาเฮือกหนึ่ง และถามอีกครั้ง “ตอนที่เจ้ามอบให้ผู้ใดอยู่ข้างกายนาง?”
“หลงโม่เหยียนขอรับ…”
ด้วยนิสัยของกู้ซีจิ่ว เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางน่าจะไม่ตะบึงตะบอนโยนป้ายหยกนั้นทิ้งไป เพียงแต่หลังจากแยกทางกันแล้วนางจะโยนป้ายหยกทิ้งหรือไม่ก็ว่าได้ยากนัก
ตี้ฝูอีเอ่ยสั่งการ “เจ้าไปดูหลงโม่เหยียนที่จวน หลอกถามสถานการณ์จากเขาดู”
มู่เฟิงตอบรับคราหนึ่งแล้วรีบรุดไป
ตี้ฝูอีเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ร่ายเวทวิชาออกมาทันที ตรงไปที่จวนของทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน อยากดูว่าที่แท้นางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เขาวนเวียนในจวนทูตสวรรค์อยู่รอบหนึ่ง ก็ไม่ปรากฏเงาร่างของกู้ซีจิ่ว ได้ทราบจากปากของสาวใช้ว่าคืนนี้นางไม่ได้กลับมาเลย
เช่นนั้นนางไปที่ใดกัน?
ในที่สุดทางด้านมู่เฟิงก็ส่งข่าวมาแล้ว “นายท่าน หลงโม่เหยียนบอกว่ายามนั้นแม่นางกู้เก็บป้ายหยกไว้ดีแล้ว เพียงแต่นางได้รับการติดต่อจากเจ้าสำนักถามสวรรค์ หลังคุยกันได้ไม่กี่ประโยค นางก็ขอตัวลารีบร้อนจากไปเลย ท่าทางคล้ายว่ามีเรื่องเร่งด่วนขอรับ”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว หลงซือเย่มีเรื่องด่วนอันใดที่ต้องพบนาง?
“หลงโม่เหยียนได้ยินหรือไม่ว่าหลงซือเย่มีเรื่องด่วนอันใด?”
“หลงโม่เหยียนบอกว่ายามที่ตอบรับยันต์ส่งกระแสเสียง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยเขาจึงทิ้งระยะห่างไปหลายก้าว เพียงได้ยินแว่วๆ ทำนองว่าผลปัญญาสุกก่อนกำหนด…”
ผลปัญญา?
สีหน้าของตี้ฝูอีพลันแปรเปลี่ยน! เขาเป็นหมอที่ฝีมือเลิศล้ำ ย่อมทราบถึงสรรพคุณของผลปัญญา ว่าสามารถควบรวมดวงวิญญาณ ปรับระดับความเข้ากันได้ของดวงวิญญาณกับร่างกาย…
หลงซือเย่กับกู้ซีจิ่วเก็บเกี่ยวผลปัญญามาต้องการจะทำอันใดกันแน่?!
คงมิใช่ว่า…
มือเท้าของตี้ฝูอีเย็นเฉียบในทันใด!
เขารีบล้วงป้ายหยกพิเศษออกมาอีกครั้งแล้วติดต่อหาหลงซือเย่ทันที ผลคือทางฝั่งของหลงซือเย่ก็ไม่มีคนรับสายเช่นกัน…
ป้ายหยกนี้สานุศิษย์สวรรค์ทุกคนล้วนมีติดกายทั้งสิ้น แทบจะไม่ห่างกายเลยสักชั่วขณะ เมื่อมีเรื่องด่วนจะได้ติดต่อได้ตลอดเวลา
นอกเสียจากยามที่หลงซือเย่ต้องการความสงบเพื่อทำการวิจัยยิ่งใหญ่อันใด ไม่ต้องการแบ่งสมาธิเลยแม้แต่น้อย เขาถึงจะนำป้ายหยกไปวางไว้ที่ด้านหนึ่ง รอจนวิจัยเสร็จสิ้นค่อยพกป้ายหยกติดตัวอีกครั้ง
ยามนี้ หลงซือเย่กำลังทำวิจัยใหญ่อันใดอยู่?!
ตี้ฝูอีสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า เหลืออีกเค่อเดียวก็จะถึงยามจื่อแล้ว!
สำนักถามสวรรค์อยู่ห่างจากที่นี่ไปสามพันลี้ ตัวเขาในปัจจุบันต่อให้ปีกเพิ่มมาคู่หนึ่ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามไปถึงสำนักถามสวรรค์ได้ในระยะเวลาหนึ่งเค่อ!
เขายืนอยู่บนสันหลังคาบ้านหลังหนึ่ง มือเท้าแทบจะแข็งทื่อแล้ว ฝ่าเท้าพลันลื่นไถล หวิดจะร่วงตกลงไปจากหลังคา!
ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้สุนัขตัวใหญ่ที่ครอบครัวนี้เลี้ยงไว้ตกใจ สุนัขใหญ่ตัวนั้นกระโจนออกมาจากรังสุนัขแล้วเห่าใส่เขาทันที
“ใครกัน?!” ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นตื่นตัวยิ่งนัก ฉวยท่อนไม้แล้วพุ่งออกมาจากในบ้าน
ผลคือค้นหาอยู่รอบหนึ่งก็ไม่เห็นว่ามีหัวขโมยอยู่ตรงไหน จึงสบถด่าล้งเล้งแล้วกลับเข้าบ้านไป
และขณะนี้ตี้ฝูอีก็กลับไปที่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่ทันแล้ว เขาร่อนลงในเรือนเล็กที่ถูกทิ้งร้างหลังหนึ่ง นั่งลงบนพื้น หยิบป้ายหยกแกะสลักออกมา ทำพิธีอีกครั้ง หลังจากคลื่นแสงดั่งระลอกวารีที่ปรากฏขึ้นภายในรถม้าหยกขาวแผ่ออกมา เขาก็ทำพิธีถอดวิญญาณแล้วเข้าสู่ป้ายหยกไป…
————————————————————————————-