ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1656+1657
บทที่ 1656 สะเพร่าเกินไปแล้วจริงๆ!
กู้ซีจิ่วมองเขาโขกศีรษะโดยไม่พูดอะไร จวบจนหน้าผากของเขาแทบจะแตกจนมีโลหิตไหลออกมา เธอถึงได้เปิดปากขึ้น เพียงแต่วาจาของเธอเป็นการคุยกับเทพศักดิ์สิทธิ์ “ข้าสามารถใช้วิธีอื่นทดสอบได้หรือไม่?”
เทพศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “ขอเพียงถูกต้อง วิธีใดก็ย่อมได้”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก ม้วนตำราที่ตี้ฝูอีมอบให้เธอม้วนนั้นบันทึกวิธีทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ด้วยวิธีการต่างๆ เอาไว้ ส่วนการทดสอบบนแท่นเบิกสวรรค์นี้คือวิธีที่ที่ซับซ้อนที่สุดและสิ้นเปลืองพลังวิญญาณที่สุดวิธีหนึ่ง นอกเสียจากว่ามีความมั่นใจอยู่เจ็ดส่วน ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในอดีตจะไม่พาคนขึ้นมาส่งเดช
แน่นอนว่ากู้ซีจิ่วในปีนั้นเป็นกรณีพิเศษ…
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญวิธีการเหล่านั้นอยู่ในสมองครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกวิธีที่ง่ายดายที่สุดและไม่เปลืองพลังวิญญาณ เอ่ยกับองค์ชายหนุ่มด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เจ้าไม่จำเป็นต้องขึ้นแท่นทดสอบนี้ ข้าจะให้เจ้าใช้วิธีที่เหมาะกับเจ้าที่สุด…”
สายตาขององค์ชายหนุ่มทอประกายขึ้นมาแล้ว คิดว่าวิธีทรมานตนได้ผล
ขอเพียงไม่ต้องขึ้นเสาทดสอบที่มีสายตาของฝูงชนมองมาอย่างคาดหวังทุกอย่างก็คุยกันง่ายแล้ว!
ถึงอย่างไรเสาทดสอบนี้ก็เป็นวิธีการที่เล่นเล่ห์เพทุบายไม่ได้ที่สุด ถ้าเป็นวิธีอื่นนางจะลอบผ่อนผันได้…
วิธีการของกู้ซีจิ่วง่ายดายจริงๆ เธอแค่จับชีพจรเขาโดยมีผ้าเช็ดหน้ากั้นไว้ บนม้วนตำราบอกไว้ว่า ชีพจรของสานุศิษย์สวรรค์มีความพิเศษ มีจุดที่เหมือนกัน
และได้เขียนบอกลักษณะของชีพจรพิเศษชนิดนี้ไว้อย่างละเอียด มีชีพจรพิเศษเช่นนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ แต่สานุศิษย์สวรรค์จะมีชีพจรพิเศษเช่นนี้แน่นอน!
พลังวิญญาณขององค์ชายหนุ่มไม่เลวเลย แต่ชีพจรกลับธรรมดายิ่งนักจริงๆ
ดังนั้นผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีกู้ซีจิ่วก็สรุปผลได้ “เขาไม่ใช่สานุศิษย์สวรรค์!”
องค์ชายหนุ่มผู้นั้นตกตะลึง เขาแทบจะเต้นผางขึ้นมา!
สะเพร่าเกินไปแล้ว!
สะเพร่าเกินไปแล้วจริงๆ!
ฮั่วฉีฟางผู้นั้นเป็นเพียงบุตรชายแม่ทัพธรรมดาๆ ยังได้ขึ้นทดสอบบนแท่นเบิกสวรรค์อย่างมีเกียรติ แต่เขาเป็นถึงองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดของอาณาจักรเจาหยาง! เป็นองค์ชายที่สูงศักดิ์กว่าลูกชายแม่ทัพคนนี้หลายเท่านัก อาศัยสิ่งใดมาจับชีพจรเพียงครู่เดียวก็ตัดสินว่าเขาไม่ใช่สานุศิษย์สวรรค์แล้ว?!
องค์ชายหนุ่มรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าถูกหยามเกียรติ จึงประท้วงขึ้นมาทันที
เหล่าสหายที่ตามเขามาเหล่านั้นก็พากันประท้วงตามเช่นกัน บางคนที่ปากไวหน่อย ถึงขั้นกล่าวว่ากู้ซีจิ่วเจตนาฉวยโอกาสล้างแค้นเอาคืน
สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง
กู้ซีจิ่วรอจนพวกเขาร้องโวยวายจบหมดแล้ว ถึงเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “ไม่ยอมรับหรือ? ไม่ยอมรับก็อดกลั้นไปเถอะ ยามนี้ ณ ที่แห่งนี้คำพูดของข้าคือประกาศิต!”
องค์ชายหนุ่มไหนเลยจะเคยได้รับความโกรธถึงเพียงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาแทบจะเขียวคล้ำแล้ว
กู้ซีจิ่วเป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของอาณาจักรเฟยซิง อีกทั้งมิใช่ทูตสวรรค์ของพวกเขาชาวเจาหยาง มีคุณสมบัติใดมาพูดเช่นนี้?!
เขาตกอยู่ในความโกรธแม้แต่ความเกรงกลัวก็ลืมเลือนไปแล้ว หันไปโขกศีรษะให้แก่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ เรื่องนี้ออกจะสะเพร่าไปหน่อยแล้ว นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการล้างแค้นของทูตสวรรค์กู้! ขอท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โปรดเป็นผู้ตัดสินด้วยเถิด”
เทพศักดิ์สิทธิ์เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ระแวงคนอย่าใช้งาน ใช้งานอย่าระแวงคน ในเมื่อเปิ่นจุนมอบหมายหน้าที่สำคัญเช่นการทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ให้นางแล้ว ย่อมไม่ก้าวก่ายแทรกแซงนางอีก ในเมื่อนางตัดสินแล้วว่าเจ้ามิใช่สานุศิษย์สวรรค์ ก็ย่อมมิใช่”
องค์ชายหนุ่มตกตะลึง สีหน้าเขาซีดขาวแล้ว
ฝูงชนก็มองหน้ากันเหลอหลา เห็นได้ชัดว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ฝ่ายกู้ซีจิ่ว เห็นทีว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะมีเจตนาบ่มเพาะอุ้มชูกู้ซีจิ่ว…
พวกขุนนางเฒ่าเจ้าเล่ห์บนอัฒจันทร์เหล่านั้นยิ่งคาดการณ์ได้ลึกไปอีกขั้นหนึ่ง หลายปีมานี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกระทำการผยองเกินไป บดบังรัศมีของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปรางๆ แล้ว นี่คือตัวอย่างของการมีบารมีสูงล้ำหน้านาย ไยท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ปรามเอาไว้เล่า?
ยิ่งไปกว่านั้นคือหายตัวไปอย่างไร้ซึ่งเหตุผลถึงแปดปี ทำให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก่อภัยต่อแผ่นดิน สร้างความวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ขึ้น หลังจากเทพศักดิ์สิทธิ์ทราบความต้องไม่พอใจทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่แล้ว ยามนี้จึงถือโอกาสหนุนกู้ซีจิ่วขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะลดขอบเขตอำนาจของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลงด้วย…
———————————————————————-
บทที่ 1657 นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะเล่นอะไรอีก?
เห็นทีว่าเรื่องที่ทูตสวรรค์กู้ซีจิ่วจะมาแทนที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วแล้ว…
กู้ซีจิ่วมีวาสนาโดยแท้! เพียงแต่นางก็มานะบากบั่นมากเช่นกัน! สามารถบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้! ทั้งแผ่นดินนี้แทบจะหาคู่ต่อกรได้ไม่กี่คนเท่านั้น
ดูท่าว่าในอนาคตกู้ซีจิ่วผู้นี้จะกลายเป็นดาวรุ่งที่โดดเด่นของทวีปนี้ ยุคสมัยของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว…
ในเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกหน้าให้กู้ซีจิ่วอย่างเปิดเผย คนที่เหลือย่อมไม่กล้าพูดจาเป็นอื่นอีก และไม่กล้าแสดงความเห็นอีกต่อไป
มู่เฟิงตรงเข้าไปลากองค์ชายหนุ่มผู้นั้นออกไป ได้ยินว่าจะเอาไปปล่อยทิ้งไว้ในป่าทมิฬตามกฎ…
สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว บ้างก็ชื่นชมยินดีบ้างก็อิจฉาริษยา
การทดสอบจึงผ่านพ้นไปเช่นนี้แล
ยามจะจากไป กู้ซีจิ่วได้กล่าวขออำลากับเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างครบถ้วนตามมารยาท จากนั้นกระโจนลงจากแท่น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มองเขาเพิ่มอีกสักแวบเลย
ด้านล่างแท่นมีสหายมากมายรอเธออยู่ ห้อมล้อมเธอไว้ตรงใจกลางในชั่วพริบตา บ้างก็แสดงความยินดีด้วย บ้างก็เอ่ยชื่นชม พูดคุยยิ้มหัว คึกคักครื้นเครง ค่อยๆ ห่างออกไป
เทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่บนแท่น หลุบตามองแผ่นหลังของนางที่ห้อมล้อมไปด้วยฝูงชนค่อยๆ ห่างไกลออกไป
เขารู้ดี นับจากวันนี้ไป ความสุขทุกข์โศกศัลย์ของนางจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว โลกของนางจะไม่มีเขาอยู่อีกแล้วเช่นกัน เป็นเขาเองที่ผลักนางออกไปจากข้างกายของตน….
นางเสียใจเศร้าหมองจิตใจบอบช้ำสะบักสะบอม แล้วเขาจะรู้สึกดีได้อย่างไร?
ยามราตรีนางเศร้าหมองฝันร้ายอยู่ตลอด เขาคอยอยู่เป็นเพื่อนทั้งคืน ทว่ายากจะเอื้อนเอ่ยออกไปได้
นางทุกข์ใจดีร้ายอย่างไรก็ยังมีญาติสนิทมิตรสหายอยู่เป็นเพื่อน ส่วนตัวเขา แต่ไหนแต่ไรมาล้วนโดดเดี่ยวเดียวดายมาโดยตลอด…
….
“นายท่าน ข้าไม่เข้าใจเลย นี่ท่านจะกำลังจะมอบหมายภาระหน้าที่ทั้งหมดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแก่แม่นางกู้หรือขอรับ?”
เมื่อเห็นตี้ฝูอีออกมาจากหอชมดาว มู่เฟิงก็ก้าวเข้ามาสอบถามอย่างข่มกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว
ตี้ฝูอีพยักหน้าน้อยๆ “มีสิ่งใดไม่เหมาะเล่า?”
“เช่นนั้นต่อไปท่านไม่ต้องการตัวตนนี้แล้วใช่ไหมขอรับ?” มู่เฟิงถามอีก
“เปิ่นจุนเบื่อแล้ว” ตี้ฝูอียังคงตอบอย่างง่ายๆ สี่คำเช่นเดิม
มู่เฟิงรู้สึกหดหู่ พวกเขาสี่คนติดตามท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาเนิ่นนานที่สุด ระยะเวลาห้าร้อยหกร้อยปีแล้ว ย่อมทราบถึงอุปนิสัยของเขา
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดีไปหมดทุกด้าน เพียงแต่ไม่ว่ากระทำสิ่งใดล้วนมีช่วงเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา ละเล่นจำแลงตนในโลกมนุษย์มานับไม่ถ้วนแล้ว
แต่ทุกครั้งล้วนมีอวตารหลักอยู่ตัวตนหนึ่ง อย่างเช่นตี้ฝูอีก็เกือบจะร้อยปีแล้ว ส่วนร้อยกว่าปีก่อนก็เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินผู้ทรงอำนาจที่เรียกเสียงก่นด่ามานับไม่ถ้วน ยามที่พวกเขาถูกเขาสยบแล้วต้องติดตามไปในช่วงแรกๆ เขาก็เป็นผู้ทรงศีลที่สูงส่งตัดขาดเรื่องทางโลกผู้หนึ่ง…
ทุกอวตารเมื่อเขาเล่นไปนานๆ ล้วนรู้สึกเบื่อหน่าย จากนั้นก็จะหาทางทำให้อวตารนั้นหายไปเสีย แล้วใช้ตัวตนอื่นเข้ามาแทนที่ ส่งผ่านมาเช่นนี้ยุคแล้วยุคเล่า
เพียงแต่ในอดีตเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เบื่อหน่ายอวตารแล้ว จะเปลี่ยนไปใช้ตัวตนใหม่ค่อยๆ เข้ามาแทนที่ กล่าวอีกอย่างคือเขาจะไม่ส่งมอบภาระหน้าที่สำคัญให้แก่ผู้อื่น เขาอวตารเป็นคนอื่นแต่ยังคงเป็นตัวเขาอยู่
แต่หนนี้เขากลับส่งมอบอำนาจทั้งหมดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้กู้ซีจิ่ว…
นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะเล่นอะไรอีก?
ถึงแม้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะกระทำการซับซ้อนคาดเดายากเสมอมา ทำให้คนสับสนงุนงง แต่ถึงอย่างไรมู่เฟิงก็ติดตามเขามาหลายร้อยปีแล้ว รู้สึกว่าโดยทั่วไปแล้วเขายังคงเข้าใจความคิดของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้บ้าง สามารถวิเคราะห์ให้กระจ่างได้ แต่ครั้งนี้เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ หลังจากอกลั้นเอาไว้ทั้งวันในที่สุดจึงถามออกมา “นายท่าน เรื่องที่พอท่านเบื่อก็จะละทิ้งตัวตนเดิม พวกเราไม่กี่คนล้วนเข้าใจดี (เพราะว่าไม่ใช่ครั้งแรก) แต่การถ่ายโอนอำนาจไปให้แม่นางกู้เช่นนี้…”
ตี้ฝูอีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเล็กตัวหนึ่งดื่มชาอย่างช้าๆ มองเงาบุปผาจันทราเคลื่อนคล้อย น้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก…
————————————————————————-