ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1730+1731
บทที่ 1730 คืนชีพ 5
“นี่ก็ใช่ ระยะนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่กับแม่นางกู้ตลอดเวลาเลย ดีต่อนางเป็นพิเศษ”
“พวกเจ้าว่า…แม่นางกู้จะใช่ว่าที่ฮูหยินท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”
“นี่ก็…ยากจะกล่าวได้ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ชื่นชมแม่นางกู้อย่างเหนือธรรมดา ยามนี้เขาพานางออกท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ ให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าหนุนหลังนาง ต้องการมอบฐานะอันใดให้นาง…”
“ยางทีอาจจะเป็นฐานะผู้สืบทอดของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กระมัง? ถึงอย่างไรท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่คลุกคลีกับเรื่องทางโลก น่าจะมิใช่ภรรยา…”
ผู้คนพูดคุยถกเถียงกันอย่างคึกคักเร่าร้อน ถึงแม้ตี้ฝูอีจะโดยสารรถม้าคันเดียวกับกู้ซีจิ่ว ถึงขั้นที่อิงแอบแนบชิดกัน แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังไม่คิดว่าเป็นเรื่องรักใคร่ชายหญิงอยู่ดี
กู้ซีจิ่วเหยาะหยัน ความคิดเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าอย่าได้คาดเดาเลย เดาไปเดามาพวกเจ้าก็เดาได้ไม่กระจ่างหรอก
ไม่เพียงแต่ฝูงชนอย่างพวกเขาเท่านั้นที่เดาได้ไม่กระจ่าง แม้แต่เธอเองก็เดาได้ไม่กระจ่างเช่นกัน…
ขณะที่เธอกำลังค่อนข้างเหม่อ พลันรู้สึกว่าร่างกายรัดแน่นขึ้นมา ร้องอุทานคราหนึ่ง จวบจนปฏิกิริยาของเธอกลับมาอีกครั้ง เธอก็กลับมาที่รถม้าแก้วผลึกคันนั้นแล้ว
แน่นอนว่าเธอยังคงล่องลอยอยู่ที่หลังคาของรถม้าแก้วผลึกอยู่เช่นเดิม
ท่าทางของสองคนนั้นที่นั่งอยู่ด้านล่างคล้ายจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
สายตาเธอร่อนลงบนมือที่เกาะกุมกันอยู่ของสองคนนั้น หัวใจพลันพลุ่งพล่านปานน้ำเดือด!
สิบนิ้วสอดประสาน!
ในอดีตเป็นท่าทางที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดของเขากับเธอ ยามนี้มองแล้วกลับรู้สึกเคืองตาเป็นพิเศษ!
ยามนั้นเวลาที่เธอกับเขากุมมือประสานกัน ในใจจะเปี่ยมด้วยรู้สึกราวกับว่าได้ครอบครองโลกทั้งใบ เขาอาศัยสิ่งใดถึงนำเอากริยาทั้งหมดที่ปฏิบัติต่อเธอมาใช้กับหลานจิ้งเคอ?
กู้ซีจิ่วแทบจะอยากพุ่งเข้าไป ทำให้มือที่เกาะกุมกันอยู่ของพวกเขาแยกออกเสีย
เธอมองตี้ฝูอีอย่างชิงชัง สีหน้าของตี้ฝูอีอ่อนโยนยิ่งนัก พูดกับซากร่างที่เอนซบไหล่ตนอยู่ “เด็กน้อย ข้าอยู่ว่ายามที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ต้องการจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเรายิ่งนัก อยากให้ฝูงชนทราบถึงของข้ากับเจ้าอย่างยิ่ง…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “น่าเสียดายที่ยามนั้นข้าเอาแต่พะวงกังวลไม่อาจเติมเต็มเจ้าได้ ซ้ำยังทำให้หัวใจเจ้าแตกสลายอีก ตอนนี้ข้าชดเชยให้แล้วเจ้าดีใจหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
เธอรู้สึกว่าขอบตาเธอแดงก่ำแล้ว!
ไม่ดีใจ! เธอไม่ดีใจเลย!
คำว่า ‘เด็กน้อย’ นี้เขาเรียกผู้ใดกัน?
หรือว่าเขาก็เคยเรียกหลานจิ้งเคอว่าเด็กน้อยเหมือนกัน?
คำเรียกขานนี้เธอไม่ได้ยินเขาเอ่ยออกมาเนิ่นนานมากแล้ว ยามนี้เมื่อได้เห็นสองคำนี้ออกมาจากปากของเขาอีกครั้ง หัวใจเธอพลันเต้นรัวขึ้นมา อีกทั้งรู้สึกราวกับได้กลืนบ๊วยเค็มนับไม่ถ้วนเข้าไป ในใจปวดร้าวอย่างยิ่ง…
ประหลาดนัก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตอนนี้เธอไม่มีร่างกาย แต่กลับยังมีความรู้สึกต่างๆ อยู่ ถึงขั้นที่เธอรู้สึกได้เลยว่าโพรงจมูกแสบร้อน
“เด็กน้อย ใต้หล้านี้จะเป็นของเจ้า…รอเมื่อเจ้าฟื้นขึ้นมา ข้าจะคือโลกที่อันแสนสงบสุขให้เจ้า…”
กู้ซีจิ่วตะลึง!
เขาคิดจะให้หลานจิ้งเคอเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์คนต่อไปจริงๆ น่ะหรือ? แล้วเขาล่ะ? จะปลีกตัวไปอยู่หลังม่านหรือ?
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าบ๊วยเค็มที่ซ่อนเร้นอยู่ในทรวงอกตนเหล่านั้นแตกสลายแล้ว…
ด้านนอกคล้ายมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ตี้ฝูอีลืมตาขึ้นมา มองออกไปนอกรถม้า
กู้ซีจิ่วก็มองออกไปเช่นกัน เห็นมู่เฟิงเข้ามารายงานพอดี
มู่เฟิงสวมหน้ากากไว้ อีกทั้งกู้ซีจิ่วก็ไม่ยินเสียง ย่อมไม่ทราบว่าเขารายงานอันใด เห็นเพียงว่าตี้ฝูอีที่อยู่ในรถพยักหน้านิดๆ
“เด็กน้อย ข้าจะพาเจ้าไปดูศาลบูชาของเจ้า”
ศาลบูชา? คืออะไรกันอีกล่ะ?
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว เห็นตี้ฝูอีอุ้มร่างนั้นขึ้นมา หมุนกายคราหนึ่งหายลับไปเลย
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เบื้องหน้าก็ซีจิ่วก็พร่าเลือนไปเช่นกัน ยามที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนลอยอยู่ในอาคารที่คล้ายศาลเจ้าหลังหนึ่ง
—————————————————————————
บทที่ 1731 ข้าลงมือสลักเองเชียวนะ
ควันธูปของที่นี่ตลบฟุ้งรุ่งเรืองยิ่ง ด้านนอกมีผู้มาสักการะหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ผู้คนพากันกราบบูชารูปสลักที่อยู่ภายในห้องโถงใหญ่ ปากภาวนาขอให้ช่วยปกปักษ์รักษาสารพัด ฝูงชนต่างเลื่อมใสศรัทธากันยิ่งนัก บ้างก็ขอบุตร บ้างก็โชคลาภ บ้างก็ขอคู่ครอง…
ฉากนี้สำหรับกู้ซีจิ่วไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือว่าจะเป็นชาตินี้เธอล้วนประสบพบเห็นมามากมายแล้ว จึงไม่ประหลาดใจเลยสักนิด
สายตาของเธอร่อนลงบนรูปสลักเทพยดาที่ประณีตงดงามองค์นั้น!
เธอเคยเห็นรูปสลักเทพยดามามากมายแล้ว แบบดุดันเอย แบบอ่อนโยนมีเมตตา แบบสุภาพหล่อเหลา แบบเดียวที่ยังไม่เคยเห็นก็คือแบบที่งดงามถึงเพียงนี้ เหมือนมนุษย์จริงๆ ปานนี้!
นี่มันหุ่นขี้ผึ้งที่จำลองมาจากตัวเธอชัดๆ! ซ้ำยังเป็นระดับสุดยอดอีก สามารถเทียบเคียงกับมนุษย์จริงๆ ได้เลย
กู้ซีจิ่วไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตนจะถูกสร้างรูปสลักกลายเป็นเทพยดาที่ถูกกราบไหว้บูชา จึงตะลึงงันไปชั่วขณะ
และที่แทบเท้าของรูปสลัก ก็มีชื่อของเทพยดาองค์นี้อยู่ ‘ทูตสวรรค์กู้ผู้เปี่ยมเมตตา’
ทูตสวรรค์กู้…
ไม่ใช่ทูตสวรรค์หลาน นี่สร้างขึ้นเพื่อตัวเธอกู้ซีจิ่วโดยเฉพาะเหรือ?
นี่คือสิ่งชดเชยที่เขาทำให้เพราะรู้สึกผิดต่อเธอใช่ไหม?
ศาลบูชาระลึกถึงคุณความดีกล่าวคือสามารถมอบความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้ที่ได้รับการจารึกไว้ในศาล สร้างสมวาสนาบารมี ทำให้บารมีของคนผู้นี้แผ่ขยายออกไป
มีเพียงผู้ที่เคยมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อราษฎร ช่วยเหลือปวงประชาจากเภทภัยเท่านั้น ถึงจะเป็นไปได้ที่หลังจากสิ้นชีพไปแล้วจะมีประชาชนสร้างศาลระลึกถึงคุณความดีของผู้นี้ขึ้น เสพสุขกับควันธูปในแดนมนุษย์
ตำนานกล่าวว่านาจาก่อกวนให้ท้องสมุทรปั่นป่วน ถูกเจ้าสมุทรทะเลตงไห่บีบคั้นจนสิ้นชีพ มารดาของเขาจึงสร้างศาลบูชาให้เขา ให้เขาได้รับไอธูปหล่อเลี้ยง หลังจากสั่งสมบุญบารมีพอแล้ว เขาจึงฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง…
นี่ตี้ฝูอีคิดจะคืนชีพให้เธอหรือไง? เขาคิดจะให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้งงั้นหรือ?
จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่านัยน์ตาแสบเคืองอยู่บ้าง ในสมองคล้ายมีช่วงที่ตนวิญญาณแตกสลายแวบเข้ามา เป็นฉากในยามที่ตี้ฝูอีพุ่งเข้ามาโอบกอดเธอไว้
ตอนนั้นเธอสะลึมสะลือ มองไม่ชัดฟังไม่ได้ยิน รู้สึกได้เพียงรางๆ ว่าเขาร้องไห้ด้วย…
ยามนั้นหยาดน้ำอุ่นร้อนหยดลงบนใบหน้าของเธอ น่าจะเป็นน้ำตาของเขา
ตี้ฝูอีแข็งแกร่งมาโดยตลอด เกรงว่าชั่วชีวิตเขาคงไม่เคยร้องไห้เลย อย่างน้อยเธอก็ยังไม่เคยเห็น แต่ครั้งนั้นเขากอดเธอไว้แล้วร้องไห้
ร่างกายที่โอบกอดเธอไว้สั่นสะท้านอยู่บ้าง ราวกับยังควพยายามตะโกนเรียกเธออย่างสุดชีวิต…
เขามีความรู้สึกต่อเธอ เธอรู้ดีเสมอมา และไม่เคยปฏิเสธในจุดนี้เลย เพียงแต่…
เพียงแต่ไม่อยากเห็นเขาเป็นทุกข์ เห็นเขาสิ้นหวังจนหัวขาวโพลน…
ถึงอย่างไรเขาก็วางแผนเพื่อคืนชีพให้หลานจิ้งเคอมาเนิ่นนานปานนั้นแล้ว…
กู้ซีจิ่วจ้องมองรูปสลักนั้น จิตใจแปรปรวนไปชั่วขณะ ในทรวงคล้ายจะฝาดเฝื่อนคล้ายจะหวานล้ำอีกทั้งคล้ายว่าจะโป่งพอง ซ้ำยังปะมีความขมขื่นปะปนอยู่เล็กน้อยด้วย
ควันจากในกระถางธูปลอยม้วนขึ้นมา ไอควันธูปในห้องโถงตลบอบอวล เสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจ…
เดี๋ยวนะ! เสียงจอแจ?!
ดูเหมือนว่า…ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินเสียงแล้ว! ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยแล้ว!
ก่อนหน้านี้เธออยู่ในโลกที่เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง แต่ในหลังจากล่องลอยเช่นนี้ไปรอบห้องโถงแห่งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะค่อยๆ ได้ยินเสียงขึ้นมาแล้ว เริ่มแรกเสมือนมีน้ำกั้นอยู่ ต่อมาจึงค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ…
เธอไม่เพียงแต่ได้ยินเสียงเท่านั้น ยังรับกลิ่นได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นยามนี้ เธอได้กลิ่นหอมของผลแตงบนโต๊ะบูชาและได้กลิ่นควันธูปในกระถางธูป…
เธอค่อนข้างงุนงง เธอไม่เคยเป็นผีมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าสรุปแล้วผีสมควรอยู่ในสภาพเช่นใดถึงจะเป็นเรื่องปกติ
ตอนนี้เธอยังคงมองไม่เห็นร่างกายของตนอยู่ ทว่ามีประสาทรับรู้ทั้งห้าของมนุษย์แล้ว…
“เด็กน้อย รูปสลักนี้เหมือนเจ้าหรือไม่? ข้าลงมือสลักเองเชียวนะ” เสียงของตี้ฝูอีแว่วมาจากด้านข้าง ทำเอากู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง
เธอหันไปมองตามเสียง ได้เห็นตี้ฝูอีอีกครั้ง
เขาอุ้มสังขารนั้นนั่งอยู่บนเสาคานต้นหนึ่ง สังขารนั้นนั่งอยู่บนขาเขา เขาใช้มือหนึ่งโอบมันไว้ เอ่ยกระซิบริมหูมัน
เห็นได้ชัดว่าเขาใช้วิชาเร้นกาย ผู้สักการะมากมายปานนี้ล้วนมองไม่เห็นเขาเลย
————————————————————————————-