ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1740+1741
บทที่ 1740 เมื่อครู่ผู้ที่ขโมยกินกุ้งคือเจ้าหรือ?”
“ซีจิ่ว เป็นเจ้าใช่ไหม?” ตี้ฝูอีลุกพรวดขึ้นมา กวาดตามองไปรอบๆ “เจ้าอยู่ที่นี่ใช่หรือเปล่า?”
ลมราตรีเย็นฉ่ำหนาวยะเยือก ไม่มีผู้ใดขานตอบเขา
เขายังคงมองไม่เห็นเธออยู่ดี…
กู้ซีจิ่วมองเขาอยู่ด้านข้าง ในใจมีรสชาติที่ไม่อาจบรรยายได้
เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ขานรับเขาแล้ว ทว่าเขามองไม่เห็นไม่ได้ยินเลย
มองเห็นเขากวาดตามองรอบข้างอย่างฉงนสนเท่ห์ กู้ซีจิ่วรู้สึกเพียงว่าในใจคล้ายมีกรงเล็บข้างหนึ่งตะปบขยุ้ม เจ็บปวดเล็กน้อย
อันที่จริงหลายวันมานี้เธอก็ทดลองกลับเข้าร่างสู่ร่างนั้นดูอยู่หลายครั้ง ผลคือล้วนถูกดีดสะท้อนกลับมา เทอกลับเข้าร่างไม่ได้เลย
และเธอก็เคยวนเวียนป้วนเปี้ยนรอบตัวเขา ถึงขั้นที่เคยเป่าลมใส่หูเขาแล้ว ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน
เธอมองเห็นเขา สัมผัสถึงเขาได้ ทราบทุกความเคลื่อนไหวของเขา ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่าเธออยู่ข้างกาย…
“ซีจิ่ว?” เขาจ้องมองจานใบนั้น จรดนิ้วร่ายอาคมอย่างว่องไว
กู้ซีจิ่วรู้จัก ทราบว่าสิ่งที่เขาร่ายอยู่คืออาคมคว้าวิญญาณ เคยใช้ร้อยครั้งได้ผลร้อยครั้ง
ยามนี้เขาคว้ากุมวิญญาณดวงหนึ่งได้จริงๆ เป็นวิญญาณลูกแมวตัวหนึ่ง ดวงวิญญาณนั้นค่อนข้างตื่นตระหนก ดิ้นรนอยู่ในมือเขา
ดวงตาของวตี้ฝูอีซ่อนเร้นแววตาผิดหวังเอาไว้ไม่มิด “เมื่อครู่ผู้ที่ขโมยกินกุ้งคือเจ้าหรือ?”
วิญญาณแมวตัวนั้นมองเขาด้วยสีหน้างุนงง สั่นระริกอยู่ในฝ่ามือเขา
ตี้ฝูอีจึงปล่อยวิญญาณแมวตัวนั้นไปเสีย นั่งลงบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว มองอาหารทั้งโต๊ะนั้นอย่างทึ่มทื่ออยู่พักหนึ่ง ยิ้มขื่นๆ “ข้าคิดมากไปแล้ว นางถูกข้าทำร้ายอย่างทารุณถึงเพียงนั้น นางคงไม่ต้องกานคนอย่างข้าแล้ว แล้วจะปรารถนาสำรับอาหารฝีมือข้าได้อย่างไรเล่า? ซ้ำข้ายังทำได้ไม่อร่อยด้วย…”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
นัยน์ตาเธอค่อนข้างแสบเคืองอีกแล้ว นั่งลงตรงข้ามเขามองเขาที่เหม่อลอยอยู่เสียเลย
กู้ซีจิ่วมากความสามารถ บนโลกนี้มีสิ่งที่เขาทำไม่ได้อยู่น้อยยิ่งนัก อีกทั้งไม่ว่าเขาจะทำอะไรล้วนทุ่มเททำให้ดีที่สุดทั้งสิ้น มีเพียงงานครัวเท่านั้นที่เขาไม่มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ตั้งอกตั้งใจทำอาหารแค่ไหนรสชาติก็ออกมาพื้นๆ เหมือนกันหมด
ช่วงที่กู้ซีจิ่วอยู่กับเขา มักจะล้อเลียนเขานำข้อนี้มาลดทอนความเทพของเขาอยู่เสมอ เลี่ยงไม่ให้เขาอยู่สูงส่งเหนือปวงชนตลอดเวลา
ยามนั้นเขาไม่ยอมทำกับข้าวง่ายๆ นานๆ ครั้งถึงจะทำเพื่อปลอบเธอสักหน แต่ก็ทำแค่สามสี่อย่างเท่านั้น
สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมาแปดปีเป็นไปไม่ได้ที่จะรักกันหวานซึ้งไม่ทะเลาะเบาะแว้งเลย เธอก็มีช่วงที่ทะเลาะกับเขาเหมือนกัน จากนั้นก็หมางเมินเขาไป
เขาใช้ลูกไม้สารพัดเพื่อง้อ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ง้อไม่สำเร็จ เขาถึงจะทำอาหารโต๊ะใหญ่เพื่อให้เธอมีความสุข
ในสถานการณ์ปกติ ได้เห็นเขาสิ้นเปลืองแรงใจทำอาหารโต๊ะใหญ่ให้อย่างจริงใจ เธอก็จะไม่ถือสาหาความเขาอีก
แน่นอนว่าความจริงแล้วตี้ฝูอีเป็นคนที่เย่อหยิ่งนัก ถ้าเป็นทักษะที่เขาไม่ชำนาญจริงๆ เขาจะรู้จักเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดนัก แต่งงานอยู่กินกันแปดปีจำนวนครั้งที่ทำอาหารให้เธอนับนิ้วดูได้เลย
ยามนี้ทั้งโต๊ะนี้มีอยู่ถึงสิบหกจานเต็มๆ ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่เธอจะเป็นจอมตะกละก็คงกินเข้าไปไม่หมด
เรื่องราวในอดีตดั่งเมฆหมอก เธอนึกว่ามันสลายไปแล้ว ความจริงแล้วกลับยังพัวพันอยู่รอบตัวเธอ แวบผ่านเข้ามาในหัวใจบ้างเป็นครั้งคราว
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ไม่ทราบเช่นกันว่ายามนี้สรุปแล้วตนคือสิ่งใดกันแน่ ดูคล้ายว่าจะไม่ใช่วิญญาณ มิเช่นนั้นก็เป็นไม่ได้ที่ตี้ฝูอีจะมองไม่เห็น
แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เช่นกัน เพราะเธอเองก็มองไม่เห็นร่างกายของตน เพียงยังมีประสาทสัมผัสทั้งห้าสมบูรณ์พร้อม
ลมรัตติกาลเยียบเย็น ตี้ฝูอีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเพียงลำพัง เขาไม่ได้กินอาหาร แต่ดื่มสุราไปไม่น้อยเลย จอกแล้วจอกเล่า ราวมกับกำลังอาศัยสุราย้อมใจ
ไม่ทราบเขาหยิบเอาขลุ่ยเลาหนึ่งออกมาจากไหน ค่อนๆ เป่าบรรเลงขึ้นมา เพลงขลุ่ยของเขาบรรเลงได้ยอมเยี่ยมยิ่งนักอย่างไร้ข้อกังขา ทุกบทเพลงที่บรรเลงออกมาล้วนเป็นเสียงสวรรค์ และส่วนใหญ่แล้วทุกเพลงล้วนเป็นบทเพลงที่กู้ซีจิ่วเคยร้องต่อหน้าเขาทั้งสิ้น
ช่วงเวลาแปดปี เธอขับขานบทเพลงต่อหน้าเขาไปกว่าร้อยเพลงแล้วกระมัง?
——————————————————————-
บทที่ 1741 วาจานี้ของมู่เฟิงหมายความว่าอย่างไร?!
เขาบรรเลงไปทีละเพลงๆ ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ดึกดื่นยิ่งนักแล้ว
ก่อนตายกู้ซีจิ่วก็ชมชอบฟังเขาบรรเลงเพลงขลุ่ย ยามนี้ก็เต็มใจฟังเช่นกัน แต่เมื่อเห็นเขาดื่มไปเป่าไปอยู่ไม่หยุด กลับเริ่มปวดใจขึ้นมาแล้ว…
“ไม่ต้องแล้ว!”
“หยุดเป่าเถอะ! ท่านควรไปพักผ่อนได้แล้ว!”
“ตี้ฝูอี ท่านไม่ได้พักผ่อนมาหลายแล้วนะ…!”
เธอลองพูดคุยกับเขาดู คิดจะหยุดยั้งเขา
จนปัญญาที่อีกฝ่ายไม่ได้ยินและมองไม่เห็นเธอเลย สายลมพัดมุมชุดของเขาให้ปลิวไสว เกิดเสียงดังสวบสาบ
“นายท่าน!” ไม่รู้ว่ามู่เฟิงโผล่ออกมาจากไหน ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตี้ฝูอีโดยตรง
เขามองดูตี้ฝูอีบรรเลงขลุ่ย แล้วมองดู ‘สังขาร’ ที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ เผยอปากเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่ “นายท่าน ท่านฝืนเช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะขอรับ ไปพักพ่อนก่อนเถอะขอรับ…วันพรุ่งยังต้องไปสวดภาวนาให้แม่นางกู้อีก…”
ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา เพียงโบกมือเล็กน้อย ให้เขาไปเสีย
มู่เฟิงตาแดงแล้ว ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างดึงดัน “นายท่าน ร่างกายของท่านฝืนทนต่อไปไม่ไหวแล้วนะขอรับ! เดิมที…เดิมทีก็เหลือเวลาอยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว ท่านอย่าได้บั่นทอนต่ออีกเลบขอรับ…หากว่าแม่นางกู้รับรู้ได้ นางก็คงทนเห็นท่านเป็นเช่นนี้ไม่แน่นอน…”
“เปิ่นจุนรู้ตัวดี ออกไปซะ” ตี้ฝูอีใช้วิธีพูดโดยไม่ขยับปาก เสียงขลุ่ยจึงยังคงดำเนินต่อไป
มู่เฟิงยืนตรงแน่วอยู่ตรงนั้นเสมือนไป๋หยางต้นน้อย “นายท่าน หากท่านไม่ยอมพักผ่อน ข้าน้อยก็จะไม่จากไปขอรับ!”
ใบหน้าหล่อเหลาของตี้ฝูอีดำดิ่งลงเล็กน้อย เสียงขลุ่ยเพี้ยนไปจังหวะหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นมาสั้นๆ “ไสหัวไป!”
อำนาจของเขากล้าแกร่งเกินไป มู่เฟิงยังคงไม่กล้าขัดขืนเขามากเกินไป ดวงตาแดงก่ำ สุดท้ายยังคงยอมจากไป
เพียงแต่เขาไม่ได้ไปไหนไกลเลย เหินขึ้นไปอยู่บนชายคาในละแวกนั้น ยืนคุ้มกันอยู่ตรงนั้น
เขาที่อยู่ในความมืดคล้ายเงาที่ดื้อรันเงาหนึ่ง ไม่ยินยอมจากไปอีก
กู้ซีจิ่วยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้น รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่!
อะ…อะไรที่บอกว่าเหลือเวลาอยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว? วาจานี้ของมู่เฟิงหมายความว่าอย่างไร?!
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี ภายใต้แสงเดือนดวงหน้าเขาขาวเผือดปานเครื่องลายครามหยก มองดูเช่นนี้แล้วไม่เห็นความผิดปกติอื่นใดเลย
เธอตัดใจในทันใด ลอยไปอยู่เบื้องหน้ามู่เฟิง คิดจะลองดูว่าจะสื่อสารกับเขาได้หรือไม่ แต่พอไปถึงเบื้องหน้ามู่เฟิงเธอถึงได้พบว่า มู่เฟิงร้องไห้อยู่! ร้องไห้อย่างไร้สุ้มเสียง! ชายฉกรรจ์คนหนึ่งร้องไห้จนน้ำตาเปรอะทั่วหน้า ปีกจมูกสั่นกระเพื่อม น้ำตาหลั่งไหลออกมาตามขนตาดั่งลำธารสายน้อย ไหลไปรวมตัวกันที่ปลายคางแล้วหยดติ๋งๆ ลงไป ทว่าไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเลยสักแอะ
เกิดอะไรขึ้น? สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?!
จู่ๆ ความรู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นคงมหาศาลก็พุ่งทะยานขึ้นมาในของกู้ซีจิ่ว
เธอลองพูดคุยกับมู่เฟิงดู “มู่เฟิง ที่เจ้าบอกว่า ‘เหลือเวลาไม่เท่าไหร่แล้ว’ คืออะไร…หมายความว่ายังไง? เขา…เป้กำหนดเวลาที่เขาต้องสวดภาวนาให้เข้าใช่ไหม?” เธอพยายามคาดเดาไปในทิศทางที่ดี
มู่เฟิงย่อมไม่ตอบอะไรเธอ
ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็เป็นคนฉลาด สัมผัสที่หกเฉียบไว นำเรื่องราวหน้าหลังมาประติดปะต่อกันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจของเธอกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเดิมแล้ว!
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีร่างกาย ทว่าเธอกลับรับรู้ถึงหัวใจที่กระสับกระส่ายจนแทบจะกระเด้งขึ้นมาถึงลำคอของตนได้!
ไม่น่า ตนต้องคิดมากไปแน่ๆ!
คนอย่างตี้ฝูอีเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย เป็นไปไม่ได้ที่เขามีจะเหตุไม่คาดฝันอันใด…
กู้ซีจิ่วเคยคิดเรื่องของตี้ฝูอีมากมายนักเรื่องเดียวที่ไม่เคยนึกถึงคือเขาจะสิ้นชีพ ยามนี้เมื่อครุ่นคิดไปในทิศทางนี้ขึ้นมา เธอก็ชะงักไปตามสัญชาตญาณ!
ตะลึงงันอยู่ที่เดิมเนิ่นนานนัก เธออยากจะคว้าตัวใครสักคนมาสอบถามต้นสายปลายเหตุ ชี้แจงแถลงไขแก่เธอ แต่ว่ายังคงไม่มีใครมองเห็นเธอเลย!
เธอนึกถึงหยกนภาขึ้นมาอีกครั้ง ลอยลงไปหาทันที!
เธอต้องลองดูว่าจะสื่อสารกับหยกนภาอีกครั้งได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเจ้านายของมัน…
———————————————————————-