ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1752+1753
บทที่ 1752 ได้มองนางอยู่ไกลๆ สักแวบก็ยังดี…
หลงซือเย่สูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง ใช่แล้ว ต้องพักฟื้น! เขาต้องพักฟื้นให้ดี! ไม่ว่าซีจิ่วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาตอนไหน เขาก็รอได้ทั้งนั้น! รอวันที่เธอจะหวนกลับมา…
….
ดินเหลืองค่อยๆ กลบคลุมลงบนโลงแก้วผลึกทีละกอบๆ และในโลงแก้วผลึกที่ถูกกลบฝังก็มีดรุณีที่เคยงดงามเฉิดฉันอยู่…
ตี้ฝูอีลงมือกอบดินด้วยตัวเอง ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนช่วยทั้งนั้น
หยกนภาวนเวียนอยู่รอบโลงแก้วผลึกใบนั้น หักใจไม่ลงยิ่งนัก ฉายอักษรขึ้นในสมองของตี้ฝูอี ‘เจ้านายของข้าไม่ชอบความมืดที่สุดเลย ทว่ายามนี้กลับทำได้เพียงกลบฝังนางไว้ใต้ปฐพีที่มืดมิด…’
สีหน้าของตี้ฝูอีซีดเผือดยิ่งนัก เขาไม่พูดอะไรเลยสักประโยค
ยามนี้เขาพูดน้อยจนน่าเวทนาแล้ว นอกเสียจากจำเป็นต้องสั่งการให้ผู้อื่นไปกระทำเรื่องราวอันใดถึงได้พูดออกมาบ้าง มิเช่นนั้นเกรงว่าในหนึ่งวันเขาอาจไม่เปิดปากเอ่ยเลยสักครั้งก็เป็นได้
‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านว่า อีกหลายสิบปีให้หลังเจ้านายข้าจะปีนขึ้นมาจากหลุมไหม?’
หยกนภาวิตกยิ่งนัก มันเคยดูหนังซอมบี้มาค่อนข้างมาก ยามนี้พบนึกถึงฉากที่ซอมบี้มุดออกมาจากดินขึ้นมา มันก็รู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง
ถึงแม้มันจะได้รับโองการจากสวรรค์แล้วว่าเจ้านายของมันจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาในอีกสามสิบแปดปีให้หลัง แต่ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าจะคืนชีพขึ้นมาในสภาพใด
มันสงสัยยิ่งนักว่าด้วยความแปรปรวนของวิถีสวรรค์ เพื่อลงโทษกู้ซีจิ่ว อาจให้นางคลานออกมาในสภาพซอมบี้ก็เป็นได้ จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกฝนจนกลายเป็นยอดผีดิบ ฝึกไปจนได้สภาพเหมือนมนุษย์ปกติ…
ตี้ฝูอีไม่ได้ตอบคำถามไร้สาระของมัน ค่อยๆ ก่อเนินหลุมศพของกู้ซีจิ่วขึ้นมา…
สถานที่แห่งนี้ขุนเขาหนุนธาราพาดผ่าน ฮวงจุ้ยเป็นมงคลที่สุด เป็นชีพจรมังกรในตำนาน
ต่อให้เขาทราบดีว่าในหลุมนี้เป็นเพียงสังขารร่าหนึ่งที่ไร้ซึ่งดวงวิญญาณ แต่ขอเพียงเกี่ยวข้องกับนาง เขาล้วนไม่สะเพร่าเลินเล่อเลยแม้แต่น้อย
สถานที่แห่งนี้มีคนคอยเฝ้าดูโดยเฉพาะ ไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาขุดสุสานได้ และไม่มีผู้ใดกล้าขุดด้วย! เขาหวังเพียงว่าในไม่กี่สิบปีนี้นางจะได้รับความสงบสุข…
หลังจากกลบหลุมเสร็จ ตี้ฝูอีหยิบขลุ่ยออกมาแล้วยืนเป่าอยู่ตรงนั้น เพลงขลุ่ยล่องลอยอยู่อากาศ ราวกับบรรเลงขับกล่อม
เมื่อบรรเลงจบ เขาก็ทำลายขลุ่ยทิ้งหน้าหลุมศพนาง
ขลุ่ยหยกขาวกระจ่างแตกกระจายเกลื่อนพื้น ทำให้หยกนภาสั่นสะท้านตามไปด้วย มันมองไปที่ตี้ฝูอี ย่อมทราบถึงเจตนาของเขา เพลงขลุ่ยของเขาเคยเป็นสิ่งที่กู้ซีจิ่วชมชอบที่สุด ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่อยู่แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องบรรเลงเพลงขลุ่ยอีกแล้ว…
ป๋อหยาสะบั้นสายพิณด้วยขาดคนรู้ใจ[1] นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำลายขลุ่ยด้วยขาดนางในดวงใจกระมัง?
ตี้ฝูอีเงยหน้ามองฟ้า ยามนี้ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปครึ่งดวงแล้ว เมฆาถูกแสงอาทิตย์อัสดงอาบย้อมจนกลายเป็นสีแดงทอง งดงามน่ามองอย่างยิ่ง
แต่ก่อนเมื่อเขาเห็นการขึ้นลงของดวงตะวันเป็นเรื่องทั่วไป ต่อให้ทิวทัศน์งดงามน่ามองเพียงใดทว่าเห็นมาเป็นหมื่นปีก็นับว่าได้เห็นจนพอแล้ว ทิวทัศน์ธรรมดาไม่มีทางสั่นคลอนเขาได้
แต่ยามนี้ เมื่อเขาได้เห็นตะวันลาลับขอบฟ้ากลับค่อนข้างอาวรณ์อยู่บ้าง…
เขาปรารถนาจะมีชีวิตยืนยาวมากขึ้นอีกสักระยะจริงๆ ได้มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่นางฟื้นคืนชีพ ได้มองนางอยู่ไกลๆ สักแวบก็ยังดี…
สุดท้ายก็เป็นความเพ้อฝันที่เกินตัวไปแล้ว
ขณะที่เขากำลังหันหลังจากไป ทันใดนั้นก็มองเห็นว่ามีแสงหลากสีพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าทางทิศนั้นอย่างกะทันหัน กระเพื่อมไหวอยู่กลางนภาอยู่หนึ่งดั่งแสงเหนือ ทำให้เมฆาที่อาบย้อมด้วยแสงอัสดงทรงเสน่ห์ยิ่งขึ้น เป็นความงามที่น่าตื่นตะลึงประการหนึ่ง
เนื่องจากลำแสงนั้นผสมผสานเข้ากับแสงตะวัน ตี้ฝูอีจึงมองเห็นไม่ชัดไปชั่วขณะว่าลำแสงนั้นมีกี่สีกันแน่ แต่เห็นแค่ห้าสีก็เพียงพอแล้ว
หรือว่าในที่สุดตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว?
นิ้วมือของเขากำแน่น!
อันที่จริงเขาไม่อยากถ่ายทอดศาสตร์ทั้งหมดให้ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์เลย ถึงอย่างไรอำนาจก็สั่นคลอนใจคนได้ เมื่อตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ครองตำแหน่งนานไป อาจจะไม่อยากสละตำแหน่งก็ได้
เมื่อถึงเวลาที่กู้ซีจิ่วต้องรับช่วงต่อเกรงว่าคงจะมีอุปสรรคยากเข็ญยิ่งนัก…
ที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่ที่ปลดปล่อยแสงหลากสีที่เจิดจ้าปานนี้ออกมา?
—————————————————————-
บทที่ 1753 คู่สวรรค์สรรสร้าง
หยกนภาก็ยืดตัวขึ้นมาแล้วเช่นกัน ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นั่นน่าจะเป็นแสงที่แผ่ออกมาจากปรากฏกายของตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์! พวกเราไปดูกันเถอะ!’
เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ตี้ฝูอีจำเป็นต้องนำตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมาไว้ข้างกาย อบรมสั่งสอนด้วยตัวเองเป็นเวลาสามเดือน…
และอายุขัยในปัจจุบันของตี้ฝูอีก็ยังเหลืออยู่สามเดือน จะล่าช้าไม่ได้แล้วจริงๆ!
ตี้ฝูอีสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เขาเองก็ทราบว่าไม่อาจโอ้เอ้ได้อีกแล้ว
เมื่อก่อนเขาไม่เก็บวิถีสวรรค์มาใส่ใจเลย และไม่ได้ฝ่าฝืนไปเพียงครั้งสองครั้งด้วย
แต่เรื่องราวในครั้งนี้เกี่ยวพันกับอนาคตของกู้ซีจิ่วว่าจะราบรื่นหรือไม่ เขาไม่อาจกระทำตามอำเภอใจได้…
“ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นบุรุษหรือว่าสตรี?” ตี้ฝูอีโพล่งถามออกมา
หยกนภาอึกอักเล็กน้อย ‘น่าจะเป็น…บุรุษ’
ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ “บุรุษ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คงมิได้นึกหึงหวงกระมัง?!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเหลืออายุขัยอยู่เพียงสามเดือน ไม่จำเป็นต้องหึงหวงแล้วกระมัง?!
หยกนภากล่าวอย่างระมัดระวังว่า ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้น่าจะเป็นที่ดินแดนเบื้องบนส่งมา วรยุทธ์ดั้งเดิมไม่อ่อนด้อย ท่านแค่ถ่ายทอดศาสตร์วิชาที่จำเป็นบางส่วนให้เขาก็พอแล้ว อย่างเช่นวิชาโหราศาสตร์ การอย่างเช่นควบคุมแดนลับแลต่างๆ อย่างเช่น…’
มันเอ่ยพูดพล่ามออกมาเป็นกระบุง ตี้ฝูอีปรายตามองมันอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่ง “คนผู้นี้คือหลงโม่เหยียนกระมัง?”
หยกนภาตกตะลึงยิ่งนัก หลุดปากโพล่งออกไป ‘ท่านรู้ได้ยังไง?!’
ตี้ฝูอีหันหลังออกเดิน บนโลกใบนี้เรื่องราวที่สามารถปิดบังเขาได้มีอยู่เพียงน้อยนิด
เขาเคยสังเกตหลงโม่เหยียนผู้นี้มานานแล้ว ปกติแล้วคนผู้นี้ถ่อมตนไม่โอ้อวด ไม่เข้าร่วมสงครามการเมืองใดๆ เลย วรยุทธ์ไม่สูงส่งทว่าไม่ต่ำต้อย ไม่สันทัดแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด ทว่าไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนเลย…ระยะนี้คนผู้นี้เสมือนคลายผนึกออกแล้ว บนร่างมีไอเซียนแผ่ออกมาจางๆ คาดว่าคงตื่นรู้ขึ้นมาแล้วเป็นแน่
ตั้งแต่ยามนั้นตี้ฝูอีก็เดาได้แล้วว่าเขาคือคนของดินแดนเบื้องบน เพียงแต่เขามิได้กระทำเรื่องร้ายอันใด ตี้ฝูอีจึงคร้านจะใส่ใจเขา นอกเหนือจากยามที่จำเป็น ตี้ฝูอียังคงค่อนข้างอ่อนโยนต่อผู้มาเยือนประเภทนี้อยู่บ้าง ขอเพียงอย่ากระทำเรื่องเลวร้ายแก่แผ่นดินนี้ก็พอ
แน่นอนว่าผู้มาเยือนประเภทนี้เขาย่อมมีการจับตามองเป็นพิเศษ…
ยกตัวอย่างเช่นยามนี้หลงโม่เหยียนผู้นี้ก็แยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษในละแวกเมืองเยวี่ยหมิงของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย
และบนภูเขาจรัสแสงของเมืองเยวี่ยหมิงก็มีศาลระลึกคุณความดีของกู้ซีจิ่วตั้งอยู่ด้วย…
มองจากทิศทางนั้นที่แสงหลากสีนั้นปรากฏขึ้น เป็นทิศทางของเมืองเยวี่ยหมิงที่หลงโม่เหยียนพำนักอยู่
ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กนี่จะเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ!
ดูเหมือนเขาจะสนใจในตัวกู้ซีจิ่วมากด้วย…
ตี้ฝูอีหลุบตาลงนิดๆ เริ่มคิดหามาตรการรับมืออยู่ในใจ
เขาสามารถถ่ายทอดทักษะทั้งหมดให้หลงโม่เหยียนได้ แต่ก็ต้องลงอาคมไว้บนร่างของเขาด้วย ทำให้เมื่อถึงเวลาเขาจะต้องส่งมอบอำนาจคืน และไม่อาจประสงค์ร้ายต่อกู้ซีจิ่วได้…
แน่นอนว่าที่เขาทำเช่นนี้มิใช่เพราะหึงหวง ยามนี้เขาหมดคุณสมบัติที่จะหึงหวงแล้ว
จู่ๆ เขาก็รู้สึกริษยาหลงโม่เหยียนอยู่บ้าง สามารถอยู่ร่วมกับกู้ซีจิ่วที่ฟื้นคืนชีพได้ชั่วระยะหนึ่ง…
หยกนภาที่อยู่ข้างกายเขาลังเลที่เอ่ยอีกครั้ง ส่องแสงกะพริบไม่หยุด ตี้ฝูอีจึงเอ่ยถามมัน “เจ้าอยากพูดอะไร?”
หยกนภาละล้าละลัง ‘ท่านต้องรับปากก่อนว่าไม่ซัดข้า ข้าถึงจะพูด’
ตี้ฝูอีมีลางสังหรณ์ว่าเจ้าตัวนี้กำลังจะโรยเกลือลงบนบาดแผลของเขา แต่เขาก็ยังคงอยากฟังอยู่ “พูดมา!”
‘อันที่จริง…ข้าขอบอกไว้ก่อนเล็กน้อย ว่าข้าก็ได้ยินมาอีกทีเหมือนกัน รับประกันไม่ได้ว่าเป็นความจริง ข้าได้ยินว่ามาว่าหากมิใช่เพราะท่านสอดมือเข้ายุ่ง เจ้านายของบ้านข้ากับหลงโม่เหยียนสมควรจะได้ครองคู่กันไปแล้ว หลงโม่เหยียนจะติดตามอยู่ข้างกายของเจ้านายข้าช่วยแบ่งเบาภาระนางไปหลายพันปี กลายเป็นคู่สวรรค์สรรสร้างที่ปวงชนต่างริษยา…’
สีหน้าของตี้ฝูอีซีดเผือดกว่าเดิมแล้ว
นี่หยกนภามิใช่แค่โรยเกลือลงบนบาดแผลของเขาแล้ว…
————————————————————-
[1] เป็นเรื่องเล่าโบราณของชาวจีน ป๋อหยาคือยอดนักพิณคนหนึ่ง เขามีสหายผู้เข้าใจในท่วงทำนองพิณของเขา หนึ่งบรรเลง หนึ่งรับฟังเข้าขากันยิ่งนัก จนวันหนึ่งสหายเขาสิ้นชีพไป ป๋อหยารู้สึกว่าในเมื่อผู้ที่เข้าใจในเสียงพิณของเขาไม่อยู่แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะเล่นพิณต่อไปเพื่ออะไรอีก จึงสะบั้นสายพิณทิ้ง ไม่บรรเลงพิณอีกชั่วชีวิต