ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1831
บทที่ 1831 เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเสมือนถูกหนึ่งศรทะลุหัวใจ?
บนตัวของหยกนภาปรากฏลำแสงหลากสีจางๆ ปกคลุมกู้ซีจิ่วที่กำลังหลับใหลในห้วงความฝันไว้
กู้ซีจิ่วเองก็ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด อาจจะหนึ่งวันเต็ม หรืออาจจะไม่กี่ชั่วยาม
เธอถูกการเคลื่อนไหวบางอย่างปลุกให้ตื่น
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์” มีเสียงดุจเสียงมารแว่วเข้ามาในหัวเธอ เรียกสติที่หลับลึกของเธอให้ตื่นขึ้น
เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธอที่เพิ่งตื่นงุนงงอยู่บ้าง สายตาพลันหยุดชะงักลงบนท้องนภาที่ดวงดาราดาษดื่นก่อน
จากนั้นเธอค่อยลุกขึ้นนั่ง สายตาร่อนลงบนร่างของคนสี่คนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
พวกมู่เฟิงสี่เทวทูต
ผู้คุ้มกันของเทพศักดิ์สิทธิ์
เธอมองรอบด้านอีกคราหนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวได้
ที่นี่คือตำหนักแก้วผลึกที่ดูเหมือนตำหนักแก้วผลึกในตำนานเลยนี่
ผู้ใดสร้างมันขึ้นมา
เธอรู้สึกงุนงงภายในหัว จึงใช้นิ้วมือนวดคลึงขมับเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นยืนทันที
มู่เฟิงรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมา “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ สถานที่แห่งนี้เย็นเยือกเกินไป ท่านกลับขึ้นฝั่งเถิดขอรับ”
กู้ซีจิ่วพยักหน้าเล็กน้อย สถานที่แห่งนี้หนาวเหน็บเกินไปจริงๆ เธอนอนอยู่ตรงนี้มานานจนรู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบไปหมดแล้ว
เธอมีนิสัยชอบทำความเข้าใจสถานที่ต่างๆ เมื่อไปถึง ดังนั้นสายตาเธอจึงมองไปรอบๆ รอบหนึ่งก่อน เมื่อมองเห็นตัวอักษรไปทั่วทุกหนแห่งก็พลันตะลึงงัน ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าศิลาก้อนใหญ่ที่มีตัวอักษรสลักไว้ อ่านออกเสียงตัวอักษรเหล่านั้น “เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก ไม่หลงเหลือนามและกายา”
เธอขมวดคิ้ว จำได้ว่าตัวเองเป็นคนเขียนตัวอักษรเหล่านี้ อีกทั้งยังเขียนมากมายเหนือธรรมดา
นี่ตัวเองวิปริตไปแล้วหรืออย่างไร เขียนบทกลอนซ้ำๆ มากมายขนาดนี้เพื่ออะไร
สายตาของเธอยังร่อนลงบนอักษร ‘ฝูอี’ ทั้งสองตัว หัวใจพลันหดเกร็ง ในหัวราวกับมีเงาร่างจางๆ เงาหนึ่งแวบผ่าน เมื่อเธอรู้สึกตัวต้องการจะไขว่คว้า เงาร่างนั้นกลับมลายหายไป
ทว่าความรู้สึกขมขื่นในทรวงยังคงอยู่
เธอรู้สึกเจ็บลูกตาอยู่บ้าง จึงยกมือขึ้นวาดกระจกบานหนึ่งขึ้นส่อง เมื่อส่องก็พลันต้องตกใจ
ดวงตาของเธอปูดบวมเหมือนลูกวอลนัท
เห็นได้ชัดว่าเคยร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง
และเธอก็เจ็บคอเช่นกัน เมื่อสักครู่ตอนพูด คอก็แหบแห้งเป็นอย่างยิ่ง
เธอเองไม่ได้ร้องไห้มานานเท่าไหร่แล้ว เหตุใดครานี้จึงร้องไห้จนตาบวมเป่ง ดูเหมือนจะร้องไห้จนเสียงแหบเสียงแห้ง ที่สำคัญคือทำไมถึงร้องไห้
เธอยังมีร่องรอยความรู้สึกถึงการร้องไห้ของตัวเอง ทว่าหลงลืมเหตุผลของการร่ำไห้นั้นไปแล้ว
สายตาของเธอร่อนลงบนบทกลอนที่สลักอยู่ทุกแห่งหนนั้น เธอจำได้ว่าเธอพยายามสลักกลอนสองบทนี้ก่อนจะนอนหลับไปอย่างสุดชีวิตประหนึ่งต้องการเตือนใจตัวเองให้จดจำบางสิ่งบางอย่างได้
สายตาของเธอร่อนลงบนนิ้วมือตัวเองอีกครั้ง คราบโลหิตบนนิ้วกลางยังไม่แห้งดี ส่วนบนหินเหล่านั้นรอบด้านมีตัวอักษรที่ใช้โลหิตสลักออกมา
เดิมทีเธอรู้สึกว่าตัวอักษรเหล่านี้มากมายเกินไป ขัดลูกหูลูกตา อยากจะทำลายมันทิ้งเสีย ทว่ายามยกแขนเสื้อขึ้น มองเห็นกลอนสองบทนั้นก็รู้สึกทนไม่ไหว เจ็บปวดหัวใจอย่างมิอาจบรรยายได้
เธอทายาสมานแผลบนนิ้วมือของตัวเอง ยาสมานแผลของเธอวิเศษยิ่งนัก บาดแผลเกือบจะหายไปในพริบตา
“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” เธอเอ่ยถามมู่เฟิง ถึงแม้น้ำเสียงแหบแห้งทว่าสงบนิ่งลงแล้ว
มู่เฟิงทอดถอนใจอย่างโล่งอก “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปเก็บเห็ดมรรคาม่วงในเขตหวงห้ามมาขอรับ น่าจะถูกภาพมายาทำให้สับสนงงงวย หลังจากออกมาจึงตามหาคนผู้หนึ่งอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็วิ่งหนีออกมาจากวังมรกต”
“ข้าต้องการตามหาผู้ใด” กู้ซีจิ่วฉงน เธอก็จำได้เลือนรางว่าตัวเองตามหาคนผู้หนึ่งอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากลับจำไม่ได้ว่าตามหาผู้ใด
มู่เฟิงชะงักงัน เขาก็จำชื่อของคนที่กู้ซีจิ่วต้องการตามหาไม่ได้จึงพูดออกไปอย่างคลุมเครือ “น่าจะเป็นภาพมายาภายในแดนมายาอะไรสักอย่าง ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดชื่ออย่างชัดเจนขอรับ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ กู้ซีจิ่วไม่ได้ไถ่ถามสิ่งใดต่ออีก
“ผู้ใดปลูกสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา” กู้ซีจิ่วเอ่ยถามขึ้นอีก
มู่เฟิงส่ายหน้า “สถานที่แห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเมื่อนานมาแล้ว น่าจะเป็นยอดฝีมือสักคนในสมัยก่อนกระมัง”
กู้ซีจิ่วก็ดูออกว่าสิ่งของที่นี่เป็นของยุคสมัยเนิ่นนานมาแล้วจริง สายตาเธอร่อนลงบนเก้าอี้โยกที่อยู่เคียงข้างกันสองตัวนั้น จิตใจพลันเหม่อลอย ดูคล้ายจะเห็นคนสองคนนอนเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ตรงนั้น หนึ่งคนในนั้นโอบกอดอีกคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน ลักษณะท่าทางสนิทสนมชิดเชื้อ
หัวใจเธอพลันสั่นไหว ทว่ายังไม่ทันได้รอให้เธอเห็นรูปลักษณ์ของคนทั้งสองอย่างชัดเจน ภาพมายานั้นก็หายไปโดยสิ้นเชิง ถึงขนาดที่เธอมองไม่ออกว่าคนสองคนนั้นเป็นบุรุษหรือสตรี
ยามเมื่อทั้งสองหายไปในพริบตา หัวใจของเธอส่งผ่านความรู้สึกปวดร้าวอย่างแสนสาหัส เดินก้าวเข้าไปหาเก้าอี้โยกตัวนั้นสองก้าวโดยไม่รู้ตัว ทว่าสองคนนั้นหายไปแล้ว
หรือว่าที่นี่เคยเป็นรังรักของสามีภรรยาคู่หนึ่ง
สองคนนั้นเคยเคียงบ่าชมดวงดารากันตรงนี้
สามารถสร้างหอชมดาวเช่นนี้ได้ ตัวตนของคนทั้งสองต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
น่าเสียดายที่หายตัวเร็วเกินไป เธอยังไม่ได้เห็นชัดๆ เลยว่าอ้วนหรือผอม หนุ่มสาวหรือว่าแก่ชราแล้ว
เธอเดินชมรอบๆ ตำหนักแก้วผลึกอีกครา และเห็นตัวอักษรใหญ่สี่ตัวในโถงแห่งหนึ่ง ‘เทียนฉางตี้จิ่ว’ (พ้องเสียงชื่อตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่ว ความหมายคือ ฟ้าดินยั่งยืน)
ไม่ใช่ว่า ‘ฟ้าดินยั่งยืน’ หรอกหรือ?
เธอย่อมจำลายมือของตัวเองได้ หวนคิดได้เลือนรางว่าตัวเองเคยมาที่นี่ แต่เรื่องที่ว่ามากับผู้ใด เธอลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว
เธอคล้ายจะสูญเสียความทรงจำช่วงหนึ่งไป
สายตาของเธอร่อนลงบนตัวอักษรสี่ตัวนั้น รู้สึกได้รางๆ ว่าตัวอักษร ‘จิ่ว’ ในนั้นเหมือนจะบ่งบอกถึงตัวเอง
เช่นนั้น ‘ตี้’ คือผู้ใด จักรพรรดิของอาณาจักรใดกัน (ตี้ หมายถึงจักรพรรดิ)
ตัวเองรักใคร่กับจักรพรรดิองค์หนึ่งแล้ว
เธอตกตะลึงกับความคิดนี้ของตัวเอง ทว่ามุมปากพลันหยักยิ้มแล้วส่ายหน้า
เธอเกิดมาไม่เคยสนใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าจักรพรรดิ มักจะรู้สึกว่าฐานะนี้เป็นคำพ้องเสียงของม้าพ่อพันธุ์
เธอไม่น่าจะรักใคร่กับจักรพรรดิได้
เธอคิดถึงจักรพรรดิของทวีปแห่งนี้ภายในหัวของเธอทีละคนๆ ซึ่งล้วนไม่เหมาะสม ภายในจิตใต้สำนึกรู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่
เธอเดินเล่นไปเรื่อยๆ ณ ศิลาหน้าประตูใหญ่ของตำหนักแก้วผลึก มองเห็นอักษรสลักที่ค่อนข้างแปลกตา
เธอมองเห็นชื่อของตัวเองทางฝั่งขวา ด้านซ้ายของชื่อตัวเองกลับวาดศรรักกามเทพ ทว่าอีกด้านหนึ่งของศรกามเทพกลับเป็นความว่างเปล่า
เธอจำได้ว่านี่ก็เป็นตัวอักษรที่ตัวเองสลักลงไป รู้สึกงุนงงอยู่บ้างในชั่วขณะหนึ่ง
เธอมาจากยุคปัจจุบัน ย่อมเข้าใจความหมายแฝงของวิธีการสลักเช่นนี้ดี เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตัวเองก็มีช่วงเวลาที่เป็นเด็กน้อยเช่นนี้เหมือนกัน สลักสิ่งแบบนี้ ต้องการอยู่กับคนคนหนึ่งไปชั่วชีวิต
ทว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดเธอจึงจำไม่ได้
เธอขมวดคิ้วมองดูหัวใจสีแดงที่ถูกศรเสียบทะลุดวงนั้น บทสนทนาสองสามประโยคแว่วดังขึ้นมาในหัวเธอ
‘เจ้าวาดหัวใจที่ถูกศรเสียบทะลุนี้เพื่ออะไร’
‘ท่านไม่เข้าใจกระมัง? นี่คือศรรักของกามเทพ ทั้งสองคนที่ถูกแผลงศรจะรักกันไปชั่วนิรันดร์…’
‘เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเหมือนถูกหนึ่งศรทะลุหัวใจ’
จู่ๆ บทสนทนาเหล่านี้ก็แวบขึ้นมาในหัวของเธอ สุ้มเสียงไม่ชัดเจน ฟังไม่ออกว่าบุรุษหรือสตรี คล้ายกับคนทั้งสองกำลังพูดคุยกัน
กู้ซีจิ่วอยากจะตามไล่จับไปโดยสัญชาตญาณ ผลคือหายตัวไปอีกครั้งหนึ่ง
นี่เป็นผลข้างเคียงที่ตัวเองหลงเข้าไปในแดนมายาหรือว่าเป็นช่วงหนึ่งในชีวิตที่เคยเกิดขึ้นกับเธอ
ขณะนางกำลังเหม่อลอย มู่เฟิงที่รออยู่ด้านข้างมาตลอดอดรนทนไม่ไหว ค้อมกายรายงาน “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อาณาจักรเฮ่าเยวี่ยส่งข่าวมา มีคนอ้างตัวว่าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ขอเชิญท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เดินทางไปตรวจสอบ”
เอาเถิด ทำงานสำคัญกว่า
——————————-