ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1834+1835
บทที่ 1834 ตอนนี้คุณขั้นเก้าแล้วใช่ไหม?
“ซีจิ่ว เธอชอบให้ฉันใส่ชุดสีม่วงเหรอ?” ถ้าหากเธอชอบจริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะยอมเปลี่ยนรสนิยมการแต่งตัว ใส่ชุดม่วงให้ดู
กู้ซีจิ่วเหล่ตามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “ไม่ ท่านใส่ไม่เหมาะหรอก!”
หลงซือเย่เงียบงัน
หัวข้อนี้ไม่เหมาะจะสนทนาต่อยิ่งนัก กู้ซีจิ่วใคร่ครวญครู่หนึ่ง นึกคำถามอีกข้อขึ้นมาได้ “ครูฝึกหลง คุณรู้เรื่องของดินแดนเบื้องบนมากน้อยแค่ไหน?”
หลงซือเย่ขมวดคิ้ว ส่ายหน้านิดๆ “ไม่มากเลย ดินแดนเบื้องบนลึกลับอย่างยิ่ง ฉันเคยได้ยินว่าคนในทวีปของพวกเรา หากว่าฝึกฝนจนบรรลุขั้นสิบแล้ว จะสามารถขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้…”
กู้ซีจิ่วไม่เชื่อ “ฉันบรรลุขั้นสิบแล้ว พวกมู่เฟิงก็บรรลุขั้นสิบแล้ว ทำไมไม่ได้ขึ้นไปล่ะ?”
หลงซือเย่ยิ้มขื่น “เรื่องนี้…เธอเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์นะ จะต้องปกปักรักษาแผ่นดินนี้ ต้องขึ้นไปไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนพวกมู่เฟิงก็เป็นองครักษ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าไปไม่ได้เหมือนกัน…บางทีถ้าคนธรรมดาของทวีปนี้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นนี้แล้วคงขึ้นไปได้กระมัง”
กู้ซีจิ่วหลุบตาใคร่ครวญ จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา “ครูฝึกหลง ตอนนี้คุณขั้นเก้าแล้วใช่ไหม?”
หลงซือเย่พยักหน้า “ขั้นเก้าตอนปลายแล้ว ซีจิ่ว ต้องขอบคุณยาที่เธอหลอม” ครึ่งปีก่อน กู้ซีจิ่วมอบโอสถที่หลอมจากเห็ดมรรคาม่วงให้เขาเม็ดหนึ่ง เพิ่มพูนพลังยุทธ์อย่างมหาศาล!
เดิมทีเขายังต้องฝึกฝนอีกแปดปีสิบปีถึงจะบรรลุสู่ขั้นเก้า แต่หลังจากกินยาลูกกลอนเม็ดนี้เข้าไปก็สามารถหวนคืนสู่ขั้นเก้าได้ภายในระยะเวลาครึ่งปี!
ซ้ำยาลูกกลอนเม็ดนี้ยังช่วยปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายเขาอย่างสมบูรณ์ด้วย ทำให้เขาฝึกฝนน้อยลงทว่าได้ผลกำไรมากขึ้น ปัจจุบันนี้เวลาที่เขาฝึกฝน พลังวิญญาณจะเพิ่มพูนขึ้นรวดเร็วกว่าแต่ก่อนมากนัก!
หากว่ามีแนวโน้มเช่นนี้ต่อไป บางทีถ้าฝึกฝนไปอีกสิบยี่สิบปี ก็อาจทะลวงสู่ขั้นสิบได้
กู้ซีจิ่วยื่นโอสถอีกเม็ดในฝ่ามือให้ “มอบให้ท่านอีกเม็ด”
หลงซือเย่มองยาลูกกลอนสีม่วงแวววาวเม็ดนั้น จากนั้นก็มองเธอ
เขาย่อมทราบถึงความล้ำค่าหายากของยาลูกกลอนชนิดนี้ดี ไม่ด้อยไปกว่าท้อสวรรค์ของเจ้าแม่หวังหมู่เลย มีเงินแค่ไหนก็หาซื้อไม่ได้ แต่กู้ซีจิ่วกลับมอบให้เขาเสมือนยื่นผักกาดขาวให้…
ในใจเขารู้สึกตื้นตัน “ซีจิ่ว โอสถนี้ล้ำค่าเกินไป! เธอต้องเก็บเอาไว้บ้าง ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจต้องใช้ทำการอื่น”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันอยากให้คุณบรรลุขั้นสิบโดยเร็ว” ยาลูกกลอนชนิดนี้สำหรับเธอแล้วไม่นับว่าล้ำค่าอะไร เธอหลอมไว้หลายร้อยเม็ดแล้ว!
หลงซือเย่ยื่นมือไปหยิบโอสถล้ำค่าในมือเธอย่างทะนุถนอม ในใจยังคงปีติยินดียิ่งนัก
ยามนี้วรยุทธ์ของเขาเทียบกู้ซีจิ่วไม่ติดเลย เดิมทีก็น้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองอยู่บ้าง รู้สึกว่าตนไม่คู่ควรกับเธอ
แต่หากว่าพลังยุทธ์ของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วก็ยืนเคียงข้างเธอได้ ในยามคับขันก็สามารถคุ้มฝนบังลมให้เธอได้ และทำให้ตัวเองมีความเป็นลูกผู้ชายมากขึ้น…
“ซีจิ่ว ฉันจะพยายามฝึกฝนเพื่อปกป้องอยู่ข้างกายเธอ!” หลงซือเย่เอ่ยคำมั่น
ทว่ากู้ซีจิ่วกลับมองเขายังพินิจพิเคราะห์ “ไม่ต้องหรอก ฉันอยากเห็นคุณทะยานขึ้นไปมากกว่า…”
หลงซือเย่ตะลึงงัน “อะ…อะไรนะ?”
“ฉันสนใจดินแดนเบื้องบนแห่งนั้นมาก แต่หาทางผ่านขึ้นไปไม่ได้ ถ้าคุณขึ้นไปได้ บางทีเส้นทางขึ้นไปอาจปรากฏขึ้นมา เอาแบบนี้เถอะ ตอนที่คุณจะทะลวงสู่ขั้นสิบ ให้ติดต่อหาฉันทันที…”
ใบหน้าหล่อเหลาของหลงซือเย่มืดครึ้มแล้ว ในใจรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “ซีจิ่ว ดูเหมือนเธอจะหมกมุ่นกับดินแดนเบื้องบนมากเลยนะ อันที่จริงแล้วบางทีดินแดนเบื้องบนอาจจะสู้โลกเบื้องล่างไม่ได้เลยด้วยซ้ำนะ ดินแดนเบื้องบนก็คือสิ่งที่พวกเราในยุคนั้นเรียกกันว่าสรวงสวรรค์อะไรพวกนั้น กฎระเบียบมากมายดั่งขนวัว จริงๆ แล้วอาจจะอึดอัดมากก็ได้…”
กู้ซีจิ่วหลุบตาไม่เอื้อนเอ่ย เธอหมกมุ่นกับดินแดนเบื้องบนจริงๆ!
แม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าสรุปแล้วความหมกมุ่นนี้ของตนมาจากไหนกันแน่ เธอไม่เคยสนใจเรื่องใดหรือใครหน้าไหนเลยชัดๆ…
———————————————————-
บทที่ 1835 ถ้าเป็นเช่นนี้ท่านจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!
เธอค่อนข้างฟุ้งซ่านขึ้นมาแล้ว ตบไหล่ของหลงซือเย่เบาๆ “จำไว้นะ ตอนที่จะทะลวงขั้นสิบติดต่อมาหาฉันด้วย” พลันหมุนกาย หายลับไปทันที
….
พันลี้น้ำแข็งทอดยาว หมื่นลี้หิมะโปรยปราย
ทั้งนอกในกำแพงยาวเหยียดฟ้า
ห่มเรือกสวนไร่นาให้ขาวโพลน
แม่น้ำสายใหญ่ไหลผันผวน
ยังจับตัวแข็งค้างไปทั้งสาย
ทิวเขาซ้อนสลับสับสกล ยลดูราวมังกรเงินร่อนร่ายรำ (ตัดมาจาก บทกวี ‘หิมะ’ ของเหมาเจ๋อตง)
หยกนภาร่ายบทกวีให้กู้ซีจิ่วฟังอย่างรันทดหดหู่ สุดท้ายจึงกล่าวว่า ‘เจ้านาย ท่านดูสิ โลกนี้ถูกแช่แข็งมาหนึ่งปีแล้วนะ! เป็นแบบนี้ต่อไม่ได้การแล้วนะ!’
กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนนภาสูง ก้มมองทุกสิ่งเบื้องล่าง
โลกนี้ราวกับเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง มีหิมะตกหนักทุกวัน สายลมพัดกรรโชก ไม่แบ่งแยกผลิร้อนหนาวร่วงอีกต่อไป ทุกๆ วันล้วนเป็นฤดูหนาว…
บนท้องฟ้าในสิบวันมีเมฆทะมึนปกคลุมไปแล้วเก้าวัน ผู้คนหดตัวซุกอยู่ในชุดบุนวมจนแทบจะใกล้ลืมเลือนไปแล้วว่าแสงตะวันอันเจิดจ้าเป็นเช่นใด
หนาว! ทุกหนทุกแห่งบนโลกใบนี้ล้วนเหน็บหนาวจะตายอยุ่แล้ว!
อากาศหนาวยะเยือกจนแช่แข็ง ย่อมไม่อาจเพาะปลูกได้เป็นธรรมดา
เก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้มาหนึ่งปีแล้ว ราษฎรของทั้งสามอาณาจักรเริ่มอดอยากแล้ว…
ทางการก็เริ่มเปิดคลังเสบียงแล้ว พอจะฝืนตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินไปได้บ้าง
แต่หากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ถึงสามปี ประชาชนทั่วแผ่นดินนี้จะเหน็บหนาวอดตายไปเกินครึ่ง!
ตอนนี้เริ่มมีการก่อจลาจลด้วยความอดยากขึ้นในบางพื้นที่แล้ว…
‘เจ้านาย ท่านคือเทพศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ของท่านส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศของแผ่นดินนี้ ประชาชนในแผ่นดินนี้ล้วนเป็นราษฎรของท่าน พวกเขาเคารพบูชาท่านอย่างยิ่ง ท่านหักใจมองพวกเขาทั้งหมดเหน็บหนาวหิวโหยจนตายได้หรือ? ทำให้โลกนี้กลายเป็นโลกาวินาศได้หรือ? เจ้านาย ท่านจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาดนะ!’ หยกนภาพร่ำเตือนอย่างปากเปียกปากแฉะอยู่ในสมองเธอ
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ ไม่เอ่ยวาจา ดวงตาคู่นั้นลุ่มลึกดั่งรัตติกาล
หลายวันมานี้หยกนภาเอาแต่บ่นจู่จี้เรื่องพวกนี้อยู่ในสมองเธอมากมาย
ปวงประชาไร้ซึ่งความผิด เธอก็ไม่อยากให้โลกนี้ต้องเหน็บหนาวแช่แข็งเช่นนี้ตลอดไปเหมือนกัน แต่หัวใจกลับเหี่ยวเฉาอยู่ตลอด ราวกับทะเลหิมะ ต่อให้นึกอยากปลุกความมีชีวิตชีวาขึ้นมาก็ปลุกไม่ได้อยู่ดี
‘เจ้านาย ถ้าเป็นเช่นนี้ท่านจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!’ หยกนภาหดหู่
กู้ซีจิ่วสะบัดแขนเสื้อพรึบ “ข้าไม่เกรงกลัวทัณฑ์สวรรค์” ตอนนี้แม้แต่ความตายเธอก็ไม่กลัวแล้ว ยังจะกลัวทัณฑ์สวรรค์อันใดอีก?
วรยุทธ์ของเธอในยามนี้สูงส่งจนน่ากลัว รูปโฉมก็งดงามขึ้นเรื่อยๆ งดงามจนถึงขั้นที่กระชากวิญญาณได้
ทุกครั้งที่ปรากฏกายต่อหน้าผู้คน จะเรียกให้เกิดเสียงฮือฮาอยู่เสมอ บุรุษมากมายที่ได้เห็นเธอต่างหลงละเมอพร่ำเพ้อ คุกเข่าอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้น…
ส่วนเหล่าสตรีเมื่อได้เห็นเธอต่างตกตะลึงยิ่งนัก อีกทั้งบุรุษของบ้านตนก็ไม่ได้เรื่องเลย จึงเอ่ยถึงความงามของเออย่างแค้นเคืองกันยิ่ง…
เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นเหล่านั้น ยามที่เธอปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นจึงสวมหน้ากากเอาไว้
หน้ากากที่เธอสวมเป็นหน้ากากภูตผีแสยะยิ้ม สวมเสื้อคลุมสีดำตัวหลวมที่ปกปิดเรือนร่างอันเลิศล้ำของเธอไว้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ผู้อื่นมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเป็นชายหรือหญิง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดลุ่มหลงเธอจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป เพียงแต่กลิ่นอายลึกลับบนร่างเธอกลับค่อยๆ เข้มข้นขึ้น
บุคลิกของเธอเย็นชาเกินไป สหายที่คุ้นเคยกับเธอเหล่านั้นถึงแม้จะยังเป็นเพื่อนกับเธออยู่ แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้เธออย่างไร้สัมมาคารวะอีกแล้ว ด้วยเกรงว่าจะถูกไอเยียบเย็นบนร่างเธอแช่แข็งเอา…
ในดงหิมะที่อยู่ไกลออกไปมีเด็กน้อยที่สวมชุดขาดรุ่งริ่งสองคนย่ำฝ่ามา
พวกเขาต่างโอบประคองกันและกันไว้ อิงแอบแนบไออุ่นของกันและกัน
ในมือของพวกเขาถือกระต่ายผอมกะหร่องตัวหนึ่งไว้ คิดจะหาจุดอับลมสักแห่งเพื่อก่อไฟย่างกิน และผิงรับไออุ่นไปด้วย
ในวันที่หนาวเย็นถึงเพียงนี้ แม้แต่กระต่ายก็ยังผอมโซยิ่งนัก ต้องอาศัยรากหญ้าที่ซ่อนอยู่ลึกใต้พื้นหิมะเพื่อประทังชีวิตมาถึงปัจจุบัน
————————————-