ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1844+1845
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน ถ้าแจ้งหลายวันแล้วเราไม่ได้แก้คือเราไม่มีแล้ว
บทที่ 1844 ดินแดนเบื้องบน 3
ศิลาหยกสีเขียวอ่อนถูกปูเป็นลวดลายมงคลต่างๆ ไอเมฆาลอยอ้อยอิ่ง มีคนมากมายเดินสวนกันไปมาอยู่บนจัตุรัส
ผู้คนของที่นี่แต่งกายในลักษณะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
บางคนก็สวมเสื้อคลุมสีฟ้า บางคนก็สวมเสื้อคลุมสีเขียว
และบางคนก็สวมเสื้อคลุมสีขาวซีด
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่สวมเสื้อคุมสีฟ้ากับสีเขียวมีสถานะค่อนข้างต่ำ พวกเขาเดินตามหลังคนในชุดขาวซีดที่นำอยู่ด้านหน้าตลอด ก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อยยิ่งนัก
ตอนนี้กู้ซีจิ่วยังแต่งกายในแบบของตัวเองอยู่ สวมชุดดำ สวมหน้ากากภูตผีบดบังหน้า ดังนั้นหลังจากเธอร่อนลงสู่พื้นแล้วก็ดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด สายตานับไม่ถ้วนมองเข้ามาที่เธอ
กู้ซีจิ่วก็ใจกว้างนัก ปล่อยให้พวกเขาเพ่งพินิจ
ตัวเธอก็มองพิศคนเหล่านี้เช่นกัน
นอกจากคนชุดฟ้าชุดเขียวชุดขาวแล้ว ยังมีเด็กชายในชุดสีตุ่นๆ ด้วย เด็กชายเหล่านี้กำลังล้างพื้นอยู่ บางคนก็รอรับวิหคที่ร่อนลงสู่จัตุรัส ทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป เห็นได้ชัดว่าเป็นข้ารับใช้
ไม่ผิดไปจากที่ได้ยินมาเลย พลังวิญญาณของคนที่นี่ต่ำสุดก็ยังเป็นขั้นเก้าแล้ว ดูได้จากไอพลังที่เปล่งแสงรางๆ บนร่างพวกเขา
บรรดาข้ารับใช้เหล่านั้นวรยุทธ์ต่ำต้อยที่สุด ประมาณขั้นเก้า
คนชุดฟ้ากับคนชุดเขียวประมาณขั้นสิบ คนชุดเขียวพลังสูงกว่าคนชุดฟ้าเล็กน้อย
ส่วนผู้นำทางที่สวมชุดสีขาวซีดเหล่านั้น บนร่างมีไอมงคลรางๆ เห็นได้ชัดว่าเกินกว่าขั้นสิบแล้ว
คนของโลกเบื้องล่างต้องฝ่าทะลวงถึงจะขึ้นสู่โลกเบื้องบนได้ ดังนั้นคนของโลกเบื้องล่างเมื่อฝึกฝนจนบรรลุขั้นสิบก็นับว่าเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำแล้ว แต่ผู้คนที่นี่ก็มีการแบ่งแยกระดับเช่นกัน แบ่งแยกด้วยทักษะยุทธ์พลังวิญญาณหรือไม่ก็เป็นบรรทัดฐานอย่างหนึ่ง
บรรทัดฐานของที่นี่คืออะไรกันล่ะ? แล้ววรยุทธ์ของตนเมื่ออยู่ที่นี่แล้วนับว่าอยู่ในวรรณะกลางหรือวรรณะต่ำ?
อย่างไรเสียกู้ซีจิ่วก็เพิ่งมาถึงที่นี่ จึงไม่เข้าใจบรรทัดฐานได้ชัดเจนชั่วขณะ
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาหา “ท่านผู้สูงศักดิ์คือ?”
“ผ่านทางมา” กู้ซีจิ่วตอบกลับสามคำ
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาเพ่งพิศกู้ซีจิ่วขึ้นๆ ลงๆ อยู่สองสามครา มองที่มาของนางได้ไม่กระจ่างจริงๆ “ท่านผู้สูงศักดิ์มาจากที่ใด?”
“โลกเบื้องล่าง”
เด็กหนุ่มชุดขาวขมวดคิ้วนิดๆ “วาจานี้ของท่านผู้สูงศักดิ์กว้างเกินไปแล้ว โลกเบื้องล่างมีมากมายเหลือคณา…”เขายื่นมือชี้ไปที่คนชุดฟ้าและคนชุดเขียวเหล่านั้น “พวกเขาต่างก็ฝ่าทะลวงโบยบินขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างที่แตกต่างกันไป โลกเบื้องล่างมีอยู่นับหมื่นนับพันแห่ง ท่านผู้สูงศักดิ์เอ่ยนามทวีปของท่านออกมาสักหน่อยเถิด”
โลกเบื้องล่างมีอยู่นับหมื่นนับพันแห่ง…
สายตาของกู้ซีจิ่วร่อนลงบนร่างของคนชุดฟ้าเหล่านั้น ใจเต้นแวบหนึ่ง!
เสื้อผ้าของคนชุดฟ้าเหล่านี้เป็นแบบเดียวกับที่หลงซือเย่สวมใส่หลังจากฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จแล้ว เสื้อคลุมสีฟ้าทุกตัวมีรูบแบบเดียวกัน! เพียงแตกต่างกันที่ลายปักตรงมุมชุดเท่านั้น…
คนชุดฟ้ากับคนชุดเขียวเหล่านั้นมีถึงหนึ่งร้อยแปดสิบคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็เพิ่งมาถึงที่นี่เช่นกัน ใบหน้ามีความตื่นเต้นยินดีของการมาครั้งแรก
กู้ซีจิ่วไล่สายตากวาดมองใบหน้าของคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ไม่พบหลงซือเย่…
เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงรอคอยให้เธอรายงานประวัติอยู่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงรายงานแบบขอไปที
เด็กหนุ่มคนนั้นผงะไปเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอีกหน “ดูจากท่าทางของท่านแล้วไม่คล้ายว่าฝ่าทะลวงขั้นขึ้นมาเลย…”
“นางพบพฤกษาเชื่อมสวรรค์ เอาชนะข้าได้ ข้าจึงพานางขึ้นมา!” วิหคห้าสีตัวนั้นยังไม่ได้บินจากไป เอ่ยขึ้นมาทันที
เด็กหนุ่มชุดขาวมองหางที่แทบจะโล่งโกร๋นของวิหคห้าสีตัวนั้น พยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว!”
แล้วมองกู้ซีจิ่วอีกครา สายตาไม่มีแววหมิ่นแคลนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว “ท่านผู้สูงศักดิ์มีฝีมือเหลือเกิน! เชิญท่านผู้สูงศักดิ์ตามสบายเลย!”
ไม่ปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมานับหมื่นปีแล้ว!
ในแต่ละวันมีคนที่ทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมาได้อยู่หลายร้อยคนไม่แปลกใหม่อันใด แต่ประเภทกู้ซีจิ่วนี้แปลกใหม่ยิ่ง…
เด็กหนุ่มคนนั้นหมุนตัวหมายจะเดินจากไป กู้ซีจิ่วเรียกเขาเอาไว้ “ท่านเซียนผู้นี้โปรดรั้งอยู่ก่อน ข้าอยากไถ่ถามถึงคนผู้หนึ่งจากท่าน”
———————————————————————-
บทที่ 1845 ดินแดนเบื้องบน 4
เด็กหนุ่มคนนั้นหันมายิ้มนิดๆ “แม่นางยังไม่ทราบกฎระเบียบของที่นี่กระมัง? ที่นี่ไม่อาจเรียกขานส่งเดชได้…”
เขาชี้ไปทางคนชุดเขียวชุดฟ้าเหล่านั้น “พวกเขาเพิ่งทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมา อยู่ในชั้นเสี่ยวเซียน สามารถเรียกขานได้ว่าท่านเซียนน้อย ส่วนตัวข้า ยามนี้ฝึกฝนถึงขั้นหยวนจวินแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้ก็สุภาพยิ่งนัก พูดจาเสนาะหู ยืนถ่ายทอดความรู้ทั่วไปของที่นี่ให้แก่กู้ซีจิ่วอยู่ตรงนั้น
ที่แท้ดินแดนเบื้องบนแห่งนี้ก็เป็นทวีปหนึ่งเช่นกัน เรียกว่าทวีปเซิ่นโม่ (เทพมาร)
ที่นี่แบ่งออกเป็นสามภพ ภพเซียน ภพมาร ภพปีศาจ
และสถานที่ที่เธออยู่ในตอนนี้คือภพเซียน มีชื่อเรียกว่าแดนพ้นโศก
ผู้บำเพ็ญในภพเซียนแบ่งออกเป็นห้าระดับคือ เสี่ยวเซียน หยวนจวิน เสินจวิน จินเซียน ซ่างเซียน
ผู้ที่เพิ่งทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมาเหล่าล้วนอยู่ในชั้นเสี่ยวเซียน จากนั้นถึงจะฝึกฝนบำเพ็ญขึ้นไปทีละขั้น…
กู้ซีจิ่วมองคนชุดฟ้าและคนชุดเขียวเหล่านั้นถูกพาไปยังหน้าห้องๆ หนึ่งที่ดูพิลึกยิ่งนัก จากนั้นก็ให้พวกเขาเดินเข้าไปทีละคน
เสี่ยวเซียนเหล่านี้ถึงอย่างไรก็เคยเป็นยอดฝีมือมาก่อน ต่อให้เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็ไม่แสดงท่าทางขลาดเขินจนเกินไป ยังคงสุขุมยิ่งนัก ถึงแม้ตอนที่พวกเขาต้องเข้าไปจะมีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ก็ยังกล่าวได้ว่าสุขุมเยือกเย็น
แต่หลังจากออกมาจากห้องนั้นแล้ว แต่ละคนกลับดูงุนงงขึ้นไม่น้อยเลย นัยน์ตาแต่ละคู่แฝงไว้ซึ่งความใสซื่อ เดินตามหลังคนชุดขาวที่เป็นผู้นำไป ดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงน จึงเอ่ยถามเด็กหนุ่มข้างกาย
เด็กหนุ่มคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อธิบายต่อเธอ “เนื่องจากคนเหล่านี้โบยบินขึ้นมา จึงต้องตัดขาดจากอดีตทั้งหมด ดังนั้นความทรงจำก่อนที่พวกเขาจะทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมาจะถูกลบล้างไปในห้องนั้น…”
ถูกล้างความทรงจำงั้นหรือ?!
กู้ซีจิ่วรู้สึกต่อต้านเรื่องนี้อย่างประหลาด!
ลบล้างความทรงจำในอดีตทั้งหมดของผู้อื่นทิ้งไป? แบบนี้มันต่างจากการกลับชาติมาเกิดใหม่ตรงไหนกัน?!
ถ้างั้นหลงซือเย่ล่ะ?
ต้องถูกล้างความทรงจำเหมือนกันใช่ไหม?
เธอถามถึงที่อยู่ของหลงซือเย่ เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มนิดๆ “ในแต่ละวันมีผู้คนโบยบินขึ้นสู่ดินแดงเบื้องบนหลายร้อยราย ข้าผู้เป็นเซียนก็จำไม่ได้จริงๆ ว่ามีคนผู้นี้หรือไม่ เพียงแต่ข้าสามารถช่วยท่านตรวจสอบได้…”
จู่ๆ ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เพ่งพิศกู้ซีจิ่วตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกแวบหนึ่ง “เขา…เป็นอะไรกับแม่นางหรือ? แม่นางถึงได้ดั้นด้นฝ่าฝันอุปสรรคยากเข็ญเพื่อขึ้นมาหาเขา?”
เห็นได้ชัดว่าเขานึกว่ากู้ซีจิ่วเป็นผู้ที่ขึ้นมาตามหาสามีไปเสียแล้ว จึงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “แม่นาง โดยปกติแล้วผู้ที่มาถึงที่นี่ล้วนต้องตัดขาดจากวาสนาในชาติก่อน ถึงแม้ชาติก่อนจะเคยสาบานรักมั่นตราบภูผามหานทียังคง เมื่ออยู่ที่นี่ก็เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น หากว่าเขาขึ้นมาเมื่อไม่กี่สิบวันก่อน เกรงว่าคงจดจำแม่นางไม่ได้เสียแล้ว…”
กู้ซีจิ่วตอบอย่างเฉยชา “ท่านคิดมากไปแล้ว! เขาเป็นสหายของข้า ไม่มีอะไรมากกว่านี้”
เด็กหนุ่มคนนั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่างไรก็ตามแม่นางเพียงขึ้นมาเที่ยวเล่นจริงๆ น่ะหรือ? ไม่มีธุระอื่นอีกหรือ?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปเล็กน้อย อันที่จริงเธอขึ้นมาตามหาคนผู้หนึ่งจริงๆ แต่ว่าเธอไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นมีบุคลิกอย่างไร แน่ใจเพียงสองข้อเท่านั้น เป็นบุรุษ ชอบสวมชุดสีม่วง
อย่างอื่นเธอไม่รู้เลยเลยสักนิด
มีเพียงสองข้อที่คลุมเครือเช่นนี้ แล้วเธอจะตามหาคนได้ยังไง?
เธอโอบกอดความหวังเสี้ยวหนึ่งไว้ เอ่ยถามเด็กหนุ่มข้างกาย “คนที่โบยบินขึ้นมายังที่นี่ในระยะไม่กี่ปีมานี้ มีผู้ใดที่ชมชอบสวมอาภรณ์สีม่วงหรือไม่?”
เด็กหนุ่มคนนั้นผงะไป เอ่ยยิ้มๆ “แม่นางล้อกันเล่นแล้ว ผู้ที่เพิ่งโบยบินขึ้นมายังที่นี่ล้วนสวมใส่อาภรณ์ที่มีรูปแบบเดียวกัน บางก็สีฟ้าบ้างก็สีเขียว ไม่มีชุดสีม่วงหรอก ส่วนตอนที่พวกเขาอยู่โลกเบื้องล่างจะชอบสวมใส่อันใดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสอบถาม เพราะว่าจะไม่ได้ใส่อีกแล้ว สวมใส่ได้เพียงเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับระดับการบำเพ็ญเท่านั้น และผู้ที่จะสวมใส่สีม่วงได้ย่อมมิใช่ผู้ที่โบยบินขึ้นมาจากเบื้องล่างแน่นอน! มีเพียงคนพิเศษเท่านั้นถึงสามารถสวมใส่ได้…”
เมื่อเขากล่าววาจามาถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็มีแสงเจิดจ้าวาบขึ้น ณ ขอบฟ้า รถม้าคันหนึ่งที่เทียมด้วยอาชาสวรรค์เหินดั้นเมฆมา เพียงพริบตาเดียวก็ร่อนลงบนลานจัตุรัสแล้ว
เด็กหนุ่มผู้นั้นเอ่ยยิ้มๆ “ดูสิ ตระกูลเซียนที่สามารถสวมใส่สีม่วงได้มาถึงแล้ว!”
——————————————–