ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1846+1847
บทที่ 1846 สหายเก่ากลายเป็นบ่าว
กู้ซีจิ่วเหลือบมองรถม้าคันนั้นแวบหนึ่ง พลันหรี่ตาลงในทันใด!
รถม้าคันนั้นหรูหราอย่างยิ่ง มีเกียรติยิ่งนัก ตัวรถสีขาวพิสุทธิ์ หน้าจั่วของยอดหลังคารถมีพญาหงส์ตัวหนึ่งยืนชูคออยู่
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้กู้ซีจิ่วประหลาดใจ เรื่องที่ทำให้เธอประหลาดใจคือเธอเห็นหลงซือเย่!
หลงซือเย่ยังคงสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนตัวนั้น ในมือถือแส้คุมม้าเส้นหนึ่ง นั่งอยู่เพลารถ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำหน้าที่เป็นสารถี!
อย่างไรเสียเขาก็ไม่คุ้นเคยกับการบังคับรถสักเท่าไหร่ ยามที่รถม้าหยุดลงจึงสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“ไอ้โง่!” มีเสียงด่าทอแว่วออกมาจาตัวรถ
เสียงนั้นหวานเสนาะหู เป็นเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
“ขอรับ” หลงซือเย่ตอบรับเบาๆ
ม่านรถเลิกขึ้น สาวน้อยในชุดสีเขียวไข่นกการเวกนางหนึ่งก้าวออกมา สาวน้อยนางนั้นงดงามยิ่ง เพียงแต่ใบหน้าพริ้มเพรากลับงอง้ำ ทอดมองหลงซือเย่อย่างสูงส่ง “ยื่นมือมา!”
หลงซือเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงยื่นมือออกไป ฝ่ามือของสาวน้อยชุดเขียวผู้นั้นมีแสงสีเหลืองวาบขึ้นมา ซัดเข้าใส่ฝ่ามือของหลงซือเย่เสียงดังเพียะ!
เสียงนั้นดังสนั่นชัดเจน ทั้งจัตุรัสล้วนได้ยินกันถ้วนทั่ว!
ฝ่ามือของหลงซือเย่ปรากฏบาดแผลลึกจนเห็นกระดูกสายหนึ่งทันที โลหิตสดๆ ไหลทะลัก สีหน้าเขาพลันซีดขาว ตรงขมับมีหยาดเหงื่อเย็นๆ ไหลซึม
สาวน้อยนางนั้นโยนขวดใบหนึ่งให้เขาอย่างส่งๆ เอ่ยปานให้ทาน “ไอ้โง่ เอานี่ไปทา”
กู้ซีจิ่วหน้าเปลี่ยนสีแล้ว!
เพื่อเธอหลงซือเย่ถึงได้ทุ่มเทฝึกฝนทะลวงขั้น…
เพียงเพื่อปูทางให้เธอ เพียงเพื่อเสาะหาหนทางขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนให้เธอ…
เธอยังจำประโยคนั้นที่หลงซือเย่พูดยามที่จะโบยบินขึ้นมาได้ “ซีจิ่ว ข้ากลายเป็นเซียนตามที่เจ้าปรารถนาแล้ว…”
ยามทะลวงขั้นได้เขาไม่ดีใจเลย ท่าทางคล้ายจะร่ำไห้และคล้ายว่าโศกศัลย์
กู้ซีจิ่วคิดว่าการทะลวงขั้นโบยบินคือการได้รับทรัพยากรที่ดียิ่งขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น มิใช่ดั้นด้นฝ่าฝันเพื่อขึ้นมารองรับอารมณ์เช่นนี้!
เธอหมายจะก้าวเข้าไป ทว่าเด็กหนุ่มชุดขาวข้างกลายกลับรั้งแขนเสื้อเธอไว้ เอ่ยเสียงแผ่ว “แม่นาง อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย…”
และในช่วงที่ยื้อยุดเพียงเล็กน้อยนี้ หลงซือเย่กระโดดลงมาจากรถแล้ว เขายืนก้มหน้าอยู่ด้านหน้ารถม้า
สาวน้อยชุดเขียวไข่นางนั้นถือไม้เรียวสีทองเล่มหนึ่งไว้ในมือ ไม้เรียวเล่มนี้ของนางแตกต่างจากไม้เรียวทั่วไป ทั้งสองข้างคมกริบดุจคมกระบี่ ทอแสงแยงตาอยู่ภายใต้แสงตะวัน
นางก็กระโดดลงมาจากรถแล้วเช่นกัน ถือไม้เรียวชี้ไปที่หลงซือเย่ “ไอ้โง่! ต้องข้าให้สั่งสอนอีกสักกี่ครั้งเจ้าถึงจะรู้ตัว? โง่จนหมดทางเยียวยา!”
ใบหน้าหล่อเหลาของหลงซือเย่แดงก่ำนิดๆ เขากำมือแน่น ยังไม่ได้ทำอะไร ดรุณีชุดเขียวนางนั้นก็ฟาดไม้เรียวเล่มนั้นใส่แล้ว “ไอ้โง่ เจ้ากล้าแข็งข้อกับข้ารึ?!”
ไม้เรียวของนางฟาดใส่ปากหลงซือเย่ ประหนึ่งถูกนางฟาดใส่หัวก็มิปาน เกรงว่าริมฝีปากของเขาคงต้องบวมเป่งปานกุนเชียงเสียแล้ว…
เนื่องจากรถม้าคันนี้โดดเด่นเกินไป ยามนี้สายตาของผู้คนมากมายในจัตุรัสจึงมองมายังด้านนี้ทั้งสิ้น เมื่อเห็นสาวน้อยนางนี้ลงมือ บางคนก็อุทานออกมาเบาๆ บางคนก็กระวนกระวาย และบางคนก็เห็นจนชินตาไปแล้ว…
เด็กหนุ่มชุดขาวข้างกายกู้ซีจิ่วคนนั้นถอนหายใจเบาๆ “นี่เกินไปหน่อยจริงๆ…”
จู่ๆ วาจาก็ชะงักไป เนื่องจากเขาพลันพบว่าหญิงสาวชุดดำที่อยู่ข้างกายหายไปแล้ว…
เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับคืนมาอีกครั้งจึงเงยหน้าขึ้น หัวใจพลันเต้นกระหน่ำ!
กู้ซีจิ่วที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่ข้างกายเขา ซึ่งมีระยะทางห่างจากรถม้าคันนั้นกว่าสิบจั้ง ยามนี้กลับปรากฏตัวอยู่ข้างรถม้าคันนั้นแล้ว ฝ่ามือของนางมีด้ายเงินเส้นหนึ่ง รัดพันเข้าที่ข้อมือของดรุณีชุดเขียวนางนั้นในทันใด! ดรุณีชุดเขียวนางนั้นหวีดร้องด้วยความตกใจ
—————————————————————–
บทที่ 1847 สหายเก่ากลายเป็นบ่าว 2
ดรุณีชุดเขียวนางนั้นหวีดร้องด้วยความตกใจ ไม้เรียวในมือลอยออกไป ช่างประจวบเหมาะพอดี ฟาดลงบนหลังมือของนางเองเสียงดังเพียะ!
ด้านคมของไม้เรียวกรีดลงบนหลังมือของนาง เฉือนเข้าลึกและสาหัสกว่าบาดแผลที่ฝ่ามือของหลงซือเย่เสียอีก! โลหิตสดๆ ทะลักออกมา!
การเคลื่อนไหวของกู้ซีจิ่วรวดเร็วเกินไป สาวน้อยชุดเขียวนางนั้นตอบสนองไม่ทันเลย เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองของนางกลับมาอีกครั้งขวดยาใบเล็กๆ ขวดหนึ่งก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าของนาง “เอานี่ไปทาสิ ดีกว่าโอสถของเจ้ามากนัก!”
ดรุณีนางนั้นลนลานไขว่คว้า ตะครุบขวดใบนั้นไว้ในมือ ขวดโอสถใบนั้นกระแทกใบหน้านางจนเจ็บ หลังมือของนางก็เจ็บเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าดรุณีนางนี้ไม่เคยได้รับความคับข้องหมองใจเลย หลังจากตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ก็เต้นผ่างขึ้นมา เงื้อมือปาขวดโอสถใส่กู้ซีจิ่ว “ใจกล้านัก! เป็นนังสารเลวจากที่ไหนกัน! กล้าลงมือต่อข้าเป็นผู้เป็นเซียน! นอกคอก! นังนอกคอก!”
วาจาโวยวายของนางยังตะโกนไม่ทันจบ เบื้องหน้าพลันพร่าเลือน เงาร่างคนวูบไหว
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
ฝ่ามือกระทบใบหน้านางสามครั้งซ้อน ขัดจังหวะการโวยวายของนาง และทำให้นางมึนงง ถอยหลังไปทันที มองกู้ซีจิ่วอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า…เจ้า…”
การตบสามฉาดนี้ทำให้เลือดกำเดานางไหล แก้มสองข้างบวมเป่งทันที!
กู้ซีจิ่วยืนสง่าอยู่ตรงนั้น น้ำเสียงเยือกเย็นปานน้ำแข็ง “โอหังไร้มารยาท ต้องมอบบทเรียนให้เจ้าเสียบ้าง!”
แล้วชูขวดโอสถในมือ “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการโอสถนี้ เช่นนี้ก็อย่าเสียใจภายหลังเล่า” พลางเก็บโอสถขวดนั้นเข้าไปในแขนเสื้อ
“สาวใช้ของเปิ่นกง เจ้ามีคุณสมบัติใดมาสั่งสอน?!” จู่ๆ น้ำเสียงกระจ่างเยือกเย็นสายหนึ่งแว่วก็ออกมาจากในรถม้า ม่านรถเลิกขึ้น ดรุณีชุดม่วงนางหนึ่งปรากฏกายขึ้น
นางสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ปานย้อมด้วยน้ำดอกจื่อลั่ว (ดอกไวโอเล็ต)
ดรุณีนางนี้รูปโฉมงามพิสุทธิ์ บุคลิกสูงส่งเยือกเย็น ทุกอากัปกริยาล้วนฝงกลิ่นอายความสูงส่งเหนือปวงชนเอาไว้
ดรุณีนางนี้เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นบนรถ บรรดาผู้นำทางชุดขาวซีดที่อยู่รอบข้างเหล่านั้นก็พากันนำคนคุกเข่าทำความเคารพ “องค์หญิงหย่า”
เมื่อผู้นำทางของพวกเขาคุกเข่าทำความเคารพ คนชุดเขียวชุดฟ้าที่เพิ่งโบยบินขึ้นมาเหล่านั้นจึงสบตากันแวบหนึ่ง คุกเข่าลงทำความเคารพเช่นกัน
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นองค์หญิงองค์หนึ่ง…
ดูเหมือนว่าลำดับวรรณะของดินแดนเบื้องบนแห่งนี้จะไม่ต่างจากโลกเบื้องล่างสักเท่าไหร่ มีจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองเช่นกัน
องค์หญิงหย่าผู้นั้นไม่สนใจฝูงชนที่คุกเข่าอยู่ นัยน์ตาเฉียบคมจ้องไปที่กู้ซีจิ่ว “เห็นเปิ่นกงแล้วไยไม่คุกเข่าอีก?!”
สาวน้อยในชุดเขียวที่ถูกตบจนหน้าบวมเป่งคนนั้นคือสาวใช้ขององค์หญิงหย่าผู้นี้ เมื่อนางเห็นเจ้านายออกมา ก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง จ้องมองกู้ซีจิ่วอย่างโกรธเกรี้ยว “คุกเข่า!”
คุกเข่าน้องสาวเจ้าสิ!
แล้วเธอก็ไม่ใช่คนของดินแดนเบื้องบนด้วย อาศัยอะไรมาให้คุกเข่า?
กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างเยียบเย็น “เจ้าไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ข้าคุกเข่าได้”
“องค์หญิง นางคือเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปซิงเยวี่ยพ่ะย่ะค่ะ เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่เข้าใจกฎระเบียบ หวังว่าองค์หญิงจะทรงเมตตา อย่าได้ถือสานางเลยพ่ะย่ะค่ะ” เด็กหนุ่มชุดขาวที่เคยสนทนากับกู้ซีจิ่วคนนั้นเอ่ยขึ้นมาจากด้านข้าง
องค์หญิงหย่ากระตุกมุมปากแวบหนึ่ง หยักยิ้มเยียบเย็น “เปิ่นกงก็คร้านจะรู้จักมักจี่กับนางเช่นกัน หมิงหล่าง เจ้าก็บอกกฎเกณฑ์กับนางเสีย ให้นางรู้จักที่ต่ำที่สูง!”
หมิงหล่างชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยรับคำ กัดฟันถ่ายทอดความรู้พื้นฐานให้แก่กู้ซีจิ่ว
จากปากคำของเขา กู้ซีจิ่วจึงพอจะเข้าใจภาพรวมส่วนใหญ่แล้ว
ภพเซียนแห่งนี้ก็มีจักรพรรดิเช่นกัน เรียกว่าจักรพรรดิเซียน กฎระเบียบก็ไม่ต่างจากโลกมนุษย์เท่าไหร่ ราชวงศ์ยิ่งใหญ่ที่สุด เทพเซียนน้อยใหญ่ของภพเซียนเมื่อพบพานเชื้อพระวงศ์ก็ต้องทำความเคารพ
เซียนของที่นี่นอกจากแบ่งแยกกันตามระดับบำเพ็ญแล้ว ยังแบ่งแยกตามถิ่นกำเนิดเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ด้วย
กลุ่มชนพื้นเมืองกับกลุ่มที่โบยบินขึ้นมา
กลุ่มชนพื้นเมืองก็คือเทพเซียนที่ถือกำเนิดและเติบโตที่นี่
——————————-