ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1904+1905
บทที่ 1904 พ่อเกือบจะเชื่อแล้ว
ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา พุ่มใบเขียวชอุ่ม ทว่าไม่เห็นผู้ใดแอบซ่อนอยู่ด้านบนนั้น
ประหลาดนัก ทำไมเขารู้สึกว่ามีคนถ้ำมองเขากันนะ?
เขานึกถึงคนหน้าผีลึกลับผู้นั้นขึ้นมา ใจหายแวบ คงไม่ใช่ว่าไอ้คนสารเลวหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิงคนนั้นมาอีกแล้วกระมัง?!
คนผู้นั้นสรุปแล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? ทำไมถึงมาปรากฏตัวในตำหนักนภาลัยที่คนนอกไม่อาจเข้ามาได้อยู่บ่อยๆ?
เขาขึ้นฝั่งด้วยสีหน้าราบเรียบ สวมเสื้อผ้า หลังจากจัดการตัวเองให้เอี่ยมอ่องแล้ว เขาก็หาวออกมา “หิวแล้ว! ไปกินข้าวดีกว่า!”
ค่อยๆ เดินไปทางต้นไม้ใหญ่…
ยามที่ไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาก็ลงมือในทันใด ซัดฝ่ามือใส่ด้านบนของต้นไม้ใหญ่!
เกิดเสียงดังครืน ต้นไม้ใหญ่ที่พุ่มใบเขียวชุ่มถูกฝ่ามือนี้ของเขาซัดจนยอดต้นหักโค่นไปกว่าครึ่ง ทรงพลังจนน่าตะลึง
ผลลัพธ์คือบนต้นไม้ยังคงไม่มีอะไรอยู่เช่นเดิม
แปลกจัง หรือว่าเขาจะถูกเขตแดนของท่านพ่อกักขังจนเกิดผลกระทบแล้ว? หวาดระแวงเห็นต้นไม้ใบหญ้าเป็นศัตรูไปหมด?
เสินเนี่ยนโม่ส่ายหน้า ขณะที่กำลังจะไปกินข้าว พอหันหลังไป ก็มองเห็นคนสองคนยืนอยู่ไม่ไกล หนึ่งชายหนึ่งหญิง ยืนเคียงคู่แล้วทำให้เจริญหูเจริญตายิ่งนัก
เสินเนี่ยนโม่ทึ่มทื่อไปแล้ว
สองคนนั้นย่อมเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ของเขา…
ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาแล้ว!
เสินจิ่วหลี่มองต้นไม้ใหญ่ที่ถูกซัดจนส่วนยอดหายไปหมดแล้ว จากนั้นก็มองบุตรชายที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เอ่ยถามอย่างมีเมตตา “เจ้าอารมณ์ไม่ดีมากกระมัง?”
เสินเนี่ยนโม่ส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ “เปล่าขอรับ” หลังหนีออกมาจากเขตแดนนั้นได้ อารมณ์เขาก็ดียิ่งนักแล้ว
“เช่นนั้นต้นไม้นี้ยั่วโทสะอันใดเจ้าเข้า?”
“ก็ไม่นะขอรับ”
“แล้วเจ้าหักคอมันทำไม?”
เสินเนี่ยนโม่เงียบไปแล้ว
เสินจิ่วหลี่เอ่ยอย่างดูคล้ายจะอ่อนโยนยิ่งนัก “เด็กดี บอกพ่อสิ เจ้าโกรธพ่อใช่ไหม? จึงมองว่ามันคือพ่อแล้วระบายอารมณ์ใส่”
นี่มันยัดข้อหาแล้ว!
เสินเนี่ยนโม่ปฏิเสธทันที “ไม่ใช่! เนี่ยนโม่รู้สึกว่ามีคนแอบอยู่บนต้นไม้ถ้ำมองเนี่ยนโม่อาบน้ำ ดังนั้นจึงคิดจะซัดอีกฝ่ายลงมา”
เสินจิ่วหลี่ยิ้มแล้ว “เหตุผลนี้ไม่เลวเลย พ่อเกือบจะเชื่อแล้ว!”
เสินเนี่ยนโม่เงียบงัน เขาก็พูดความจริงแล้วไง?!
เสินจิ่วหลี่เอ่ยต่อไป “เสี่ยวเนี่ยนโม่ เจ้ารู้ไหมว่าต้นไม้นี้บิดาปลูกเองกับมือเลยนะ? เพื่อให้ท่านแม่ของได้ใช้รับลม ต้นไม้นี้มีจิตวิญญาณแล้ว ทุกครั้งที่ท่านแม่ของเจ้ามารับลม มันจะโน้มกิ่งใบบดบังแสงแดดให้ พ่อชื่นชมมันมาก ยามนี้กลับถูกเจ้าตัดหัวอย่างไร้ความผิด…เจ้าว่าควรจัดการอย่างไร?”
เสินเนี่ยนโม่ตะลึง!
ท่านพ่อของเขากำลังหลอกเขาอยู่กระมัง?! ทำไมไม่เคยมีใครบอกเขาเลยว่าต้นไม้ใหญ่นี้เลิศเลอปานนี้?!
เสินเนี่ยนโม่ตัดสินใจหันไปขอความช่วยเหลือจากมารดา “ท่านแม่ เนี่ยนโม่พูดความจริงนะ เนี่ยนโม่รู้สึกจริงๆ ว่ามีคนแอบจับตามองเนี่ยนโม่อยู่ ก็คือคนหน้าผีลึกลับที่หญิงไม่ใช่ชายไม่เชิงคนนั้น…”
หนิงเสวี่ยโม่รู้สึกว่าท่าทางของบุตรชายไม่คล้ายว่าโป้ปด ดังนั้นจึงเอ่ยถามสามี “ตำหนักนภาลัยของเราคนนอกเข้ามาไม่ได้จริงๆ หรือ?”
สายตาของเสินจิ่วหลี่กวาดมองก้อนเมฆบนท้องนภาอย่างเจตนาและมิเชิงเจตนาแวบหนึ่ง ส่ายศีรษะ “ไม่มีคนนอกเข้ามา คนที่สามารถเข้ามาได้ล้วนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น”
หนิงเสวี่ยโม่ยังคงเชื่อใจสามียิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกเช่นกันว่าสาเหตุที่บุตรทำลายต้นไม้ที่ไร้ความผิดเป็นเพราะถูกขังไว้ในเขตแดนสองวัน ในใจมีโทสะสุมอยู่ ดังนั้นจึงใช้ต้นไม้เป็นที่ระบาย ทำลายสภาพแวดล้อมของตำหนักนภาลัย
ถึงแม้การที่บุตรชายทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่หนิงเสวี่ยโม่รู่สึกว่าการทำลายสภาพแวดล้อมเพราะความโกรธของบุตรชายไม่ค่อยดี ไม่อาจปล่อยให้เขาทำจนติดเป็นนิสัยได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงยอมให้สามีทำโทษบุตรชาย
——————————————————————–
บทที่ 1905 เกรงว่าต่อให้หลับฝันก็คงละเมอยิ้ม
หนึ่งวันต่อมาจึงถูกขังไว้ให้ฝึกฝนอยู่ในเขตแดน ซ้ำยังเพิ่มระดับความยากเข้าไปเล็กน้อยด้วย
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเสินเนี่ยนโม่กินอาหารเลิศรสอยู่ทั้งวัน เติมเต็มพลังกายแล้ว วันต่อมาก็ถูกโยนเข้าไปในเข้าไปในเขตแดนอีกครั้ง…
เขตแดนนี้ทั้งแข็งแกร่งทั้งวิปริตยิ่งกว่าเขตแดนครั้งก่อนเสียอีก
เพียงแต่ ด้วยการประท้วงอย่างรุนแรงแข็งขันของเสินเนี่ยนโม่ ครั้งนี้เสินจิ่วหลี่จึงไม่ได้โยนเขาเข้าไปในเขตแดนทะเลทรายแล้ว เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาพูดว่าเขาขาดน้ำอยู่ในทะเลทรายจนแห้งเฉาแล้ว จึงโยนเขาเข้าไปในป่าดิบชื้นที่มีความชื้นสูงยิ่งนักเสีย…
ป่าดิบชื้นแห่งนั้นมีความชื้นสูงเกินไปแล้วจริงๆ! ทุกสองชั่วยามจะเกิดพายุฝนห่าหนึ่ง พื้นดินด้านล่างเต็มไปด้วยโคลนตม ในป่าอุดมไปด้วยหนองน้ำ อากาศทั้งร้อนทั้งชื้น เสินเนี่ยนโม่เพิ่งเข้าไปได้ไม่นานก็อยากร้องด่าถึงมารดาแล้ว…
ในเขตแดนแห่งนี้ไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้!
ด้วยเหตุนี้ ในป่าดิบชื้นที่ดึกดำบรรพ์เช่นนี้ มีสัตว์ร้ายชุกชุม มีพายุฝนอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่ทำให้เขาเปียกปอนปานลูกนกตกน้ำ ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณทำให้เสื้อผ้าแห้งได้ในชั่วพริบตาแล้วเท่านั้น เขายังต้องเหน็ดเหนื่อยกับการถูกสัตว์ร้ายตามไล่ล่าอีกด้วย…
….
สองวันนี้กู้ซีจิ่วไม่ได้ออกจากตำหนักนภาลัยเลย ดังนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างในตำหนักล้วนอยู่ในสายตาของเธอทั้งสิ้น
มหาเทพลงมือกับบุตรคนนี้อย่างเอาจริงนัก ไม่โอ๋บุตรชายเลย
ไม่แปลกเลยที่เด็กน้อยอายุแค่นี้ก็มีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนี้แล้ว ดูท่าจะเป็นผลมาจากวิธีอบรมสั่งสอนที่แสนวิปริตของมหาเทพ
สองวันมานี้เธอลอบตรวจดูห้องหนังสือและห้องนอนของเสินเนี่ยนโม่แล้ว…
พบว่าเด็กคนนี้นิสัยดีมาก ข้าวของทั้งหมดของเขาล้วนจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเกินกว่าปกติ แม้แต่หนังสือบนชั้นหนังสือก็จัดเรียงจากสูงไปหาต่ำปานจัดแถวทหาร…
และเด็กน้อยคนนี้ก็มีสุนทรียภาพยิ่งนัก ห้องหนังสือและห้องนอนล้วนเป็นเขาที่จัดการตกแต่งด้วยตัวเอง สง่างามวิจิตรบรรจง แม้แต่ดอกไม้ในแจกันก็ยังถูกจัดแต่งไว้อย่างดี ยอดเยี่ยมยิ่งว่าคนที่เคยเรียนจัดดอกไม้มาเสียอีก
เด็กน้อยเลิศล้ำจนขัดต่อสวรรค์ถึงเพียงนี้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าบิดาของเขาจะยังไม่พอใจ ยังทุ่มเทเคี่ยวกรำเขาอยู่…
หรือว่านี่จะเป็นการคาดหวังให้บุตรผงาดง้ำเยี่ยงมังกรที่เล่าขานกัน? ให้ดียิ่งขึ้นไปอีกกระมัง?
วันหน้าหากว่าเธอมีลูกแบบนี้สักคน เกรงว่าต่อให้หลับฝันก็คงละเมอยิ้ม หักใจอบรมอย่างเข้มงวดเช่นนี้ไม่ลง…
แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการที่เด็กน้อยถูกขังไว้ในเขตแดนครั้งนี้ จะมีสาเหตุมาจากเธอ
เธอแอบมองเด็กน้อยอาบน้ำจริงๆ…
สวรรค์เป็นพยานได้ เธอไม่ใช่ยัยป้าโรคจิต เธอแค่อยากดูว่าถ้าเข้าใกล้เด็กน้อยอีก พู่หยกของตนจะส่องแสงอีกหรือไม่?
ผลคือไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ไกลเกินไปหรือเปล่า พู่หยกของเธอจึงไม่ส่องแสงอีก
ยามที่เสินเนี่ยนโม่ขึ้นฝั่ง เธอยังหินขึ้นสู่ท้องนภาอย่างคล้ายจะหลีกเลี่ยงข้อครหาอีกด้วย หันหลังให้เสีย…
ยามนี้พอมาคิดๆ ดูแล้วโชคดีเหลือเกินที่ตอนนั้นเหาะขึ้นฟ้าไป มิเช่นนั้นคงถูกฝ่ามือของเด็กน้อยซัดใส่แล้ว!
เธอไม่ได้เผยร่องรอยเลย ทว่าทำให้เด็กน้อยคนนั้นต้องถูกขังอีกแล้ว…
ในใจของกู้ซีจิ่วรู้สึกผิดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นเธอจึงศึกษาเขตแดนนี้ดูเล็กน้อย เขตแดนนี้ปิดกั้นจากด้านในมิใช่ด้านนอก ถ้าเธอคิดจะเข้าไปก็ง่ายดายยิ่งนัก…
ขณะที่กู้ซีจิ่วกระโจนเข้าสู่เขตแดนยังคิดอยู่เลย มหาเทพผู้นั้นไม่เกรงว่าจะมีคนลอบเข้ามาปองร้ายบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตนบ้างหรือ? ใจกว้างเกินไปแล้ว!
สภาพแวดล้อมภายในเขตแดนวับซ้อนกว่าที่เธอจินตนาการไว้ เสมือนว่าย่างเท้าเข้าสู่ป่าดงดิบ เหนือศีรษะมีก้านใบปกคลุมบดบังท้องฟ้า มองไม่เห็นดวงตะวัน
ใต้เท้าไร้ถนนหนทาง พุ่มหญ้าหนามแผ่กระจายอยู่ใต้ฝ่าเท้า
มีเสียงคารมแว่วออกมาจาส่วนลึกของป่ารางๆ เป็นป่าครึ้มที่น่าพรันพรึง…
ภายในป่ามีอหมอกล่องลอยอยู่ ไอหมอกนี้หนายิ่งนัก หากว่าเป็นคนธรรมดาที่เข้าในนี้ เกรงว่าต่อให้มีคนยืนอยู่ตรงหน้าก็คงมองไม่เห็น
พลังยุทธ์ของกู้ซีจิ่วกล้าแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว เมื่ออยู่ในนี้ทัศนะวิสัยที่สามารถมองเห็นได้ก็มีจำกัดยิ่งนักเช่นกัน สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมอย่างชัดเจนได้ในรัศมีไม่กี่จั้งเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่แล้วป่าผืนนี้กว้างใหญ่มากแค่ไหน…
————————————-