ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1906+1909
บทที่ 1906 คิดว่าตำหนักนภาลัยเป็นตลาดสดหรือไง?
ทิวทัศน์ภายในเขตแดนก็เป็นเช่นนี้ มีความเป็นไปได้ที่มันจะกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด กว้าขวางไร้ขอบเขต แต่เมื่อหาจุดทำลายพบแล้ว มันอาจจะเล็กอย่างยิ่ง เล็กขนาดที่แค่ยกเท้าก็ก้าวพ้นแล้ว
สัตว์ร้ายในป่าแห่งนี้มากมายยิ่งนัก กู้ซีจิ่วเพิ่งเข้ามาก็ถูกสัตว์ร้ายสี่ห้าตัวล้อมโจมตีแล้ว
โชคดีที่วรยุทธ์เธอเลิศล้ำ การโจมตีที่สัตว์ร้ายเหล่านี้จู่โจมเธอเธอย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ จัดการได้ภายในสองสามกระบวนท่า
หลังจากจัดการไปแล้วหัวใจเธอพลันสั่นไหว พลังวิญญาณของสัตว์ร้ายเหล่านี้น่าจะประมาณขั้นสี่ขั้นห้า ไม่นับว่าสูง
เห็นทีว่ามหาเทพผู้นี้ก็เกรงว่าบุตรชายจะเพลี่ยงพล้ำ ถูกสัตว์ร้ายเขมือบกลืนที่ด้านในเช่นกัน ดังนั้นสัตว์ร้ายจัดไว้จึงมีระดับค่อนข้างต่ำ
วรยุทธ์ของเสี่ยวเนี่ยนโม่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะขั้นจินเซียนแล้ว ให้เขาจัดการเจ้าพวกนี้จะมิใช่การใช้มีดเชือดวัวสังหารไก่ไปหน่อยหรือ?
นี่ไม่คล้ายรสนิยมของมหาเทพผู้นั้นสักเท่าไหร่เลย…
ในใจกู้ซีจิ่วฉงนอยู่บ้าง เธอเงี่ยหูฟังเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ยินคำรามยามที่ถูกรบกวนของสัตว์ร้ายเลย ดูเหมือนเด็กน้อยจะซ่อนตัวอยู่
สัตว์ร้ายในป่าแห่งนี้มากมายชุกชุม กู้ซีจิ่วเดินอยู่ในนี้เพียงครู่เดียวก็พบเจอไปหลายตัวแล้ว เธอคร้านจะสู้กับพวกมัน ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง
เธอมีวิชาเคลื่อนย้าย ต่อให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นมองเห็นเธอ ก็ไล่ตามเธอไม่ทัน
สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างคล้ายป่าทมิฬของโลกเบื้องล่างอยู่บ้าง
กู้ซีจิ่วนึกครั้งแรกที่ตนเข้าสู่ป่าทมิเมื่อปีนั้น นั่นมีโอกาสตายเก้ารอดหนึ่งโดยแท้ แทบจะผลาญชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว เหมือนดิ้นรนอยู่บนคมดาบตลอดเวลา
ฝีเท้าเธอชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกรางๆ ว่าในป่าทมิฬแห่งนั้นตนคล้ายจะได้พบคนผู้หนึ่งด้วย คนผู้นั้นบุกป่าฝ่าดงเป็นเธอ…
แต่ไม่ว่าเธอจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าคนผู้นั้นคือใคร
เธอวนไปวนมาอยู่ในป่า
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประหลาดเป็นพักๆ คล้ายว่ามีคนกำลังเคาะหินอยู่…
เธอเดินตามเสียงไป ในที่สุดก็เห็นเสินเนี่ยนโม่แล้ว
เด็กน้อยดูทุลักทุเลยิ่งนัก เรือนผมเปียกชื้น เสื้อผ้าก็เปียกหมาดๆ เบื้องหน้าเขามีไม้ฟืนเปียกชื้นกองหนึ่งอยู่ ข้างกายยังวางกองเนื้อส่วนหนึ่งไว้ด้วย
เขานั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นกำลังพยายามกะเทาะหินเหล็กไฟ…
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สันทัดวิธีนี้ กะเทาะอยู่นานก็ยังกะเทาะสะเก็ดไฟออกมาไม่ได้เลย…
กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงน เรื่องนี้สามารถจัดการโดยคาถาบทเดียว ทว่าเด็กน้อยกลับเสมือนเรียนรู้การเอาชีวิตรอดในป่าอยู่ที่นี่…
หรือว่าเขาจะใช้คาถาอาคมที่นี่ไม่ได้?
กู้ซีจิ่วซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่เหนือศีรษะเขาเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่ออยู่พักใหญ่ สุดท้ายแล้วก็ค่อนข้างทนไม่ไหว เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะช่วยเจ้าจุดไฟ แต่เนื้อของเจ้าต้องแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง”
เสินเนี่ยนโม่สะดุ้งโหยง มือสั่น หินไฟในมือหล่นลงพื้น สะเก็ดไฟน้อยๆ สายหนึ่งที่ยากนักกว่าจะจุดออกมาได้มอดหายไปในพริบตา
เขาเงยหน้าขึ้น ยามที่มองเห็นเธอ ตาโตพลันหรี่ลง! ลุกขึ้นมาแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงคอยตามนายน้อยอย่างข้าอยู่ตลอด?”
ยามนี้กู้ซีจิ่วสวมเสื้อคลุมสีดำ บนหน้าสวมหน้ากากภูตผีสีแดงเข้มที่ดุร้ายยิ่งนักอันหนึ่งไว้ การแต่งกายนี้ยังคงทำให้คนมองเพศไม่ออกอยู่เช่นเดิม…
กู้ซีจิ่วเดาไว้แต่แรกแล้วว่าเด็กน้อยจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงกอดอก กล่าวอย่างเย็นชาสามคำ “ผ่านทางมา!”
วิ่งผ่านทางมาถึงตำหนักนภาลัยเชียวหรือ?
คิดว่าตำหนักนภาลัยเป็นตลาดสดหรือไง? นึกอยากจะผ่านก็ผ่าน!
เห็นได้ชัดว่าเสินเนี่ยนโม่ไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลของเธอ ดังนั้นเขาจึงถอยหลังไปอีก สายตาที่มองเธอระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม
เป็นอันชัดเจนว่าเขาเห็นเป็นคนเลวที่ต้องการจะลักพาตัวเด็กอันใดไปแล้ว
กู้ซีจิ่วหยักมุมปากนิดๆ หยิบไม้สนต่อไฟที่รูปร่างคล้ายเห็ดกำหนึ่งออกมา โบกไปมาตรงหน้าเด็กน้อย “เคยเห็นหรือไม่? นี่คือไม้สนต่อไฟ ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ ถ้าเจ้ามีมันก็ไม่จำเป็นต้องกะเทาะหินจุดไฟแล้ว”
————————————————————————–
บทที่ 1909 คนอัปลักษณ์ หญิงวิปริต!
เธอพูดไปพลางเป่าลมใส่ไม้สนต่อไฟไปพลาง มีเปลวไฟโผล่ออกมา…
เสินเนี่ยนโม่ตาลุกวาวนิดๆ ในที่สุดก็ตกลงทำการค้านี้แล้ว
เสินเนี่ยนโม่แบ่งเนื้อหมูป่าที่ล่ามาได้ให้กู้ซีจิ่วครึ่งหนึ่ง แล้วหั่นอีกครึ่งที่เหลือของตนให้เรียบร้อย เสียบกิ่งไม้แล้วย่างไฟ…
กู้ซีจิ่วมองชิ้นเนื้อที่เขาหั่นไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขนาดเสมอกัน เรียบเนียนยิ่งกว่าใช้เครื่องหั่นเสียอีก
เธออดไม่ได้ที่จะนึกขัน สิ่งนี้หากว่าหั่นด้วยวิชาคาถาก็ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก แต่นี่เห็นกันชัดเจนว่าเขาใช้มีดสั้นในมือหั่นออกมา ซ้ำยังหั่นแบบนี้ด้วย…
เด็กคนนี้เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ!
จากนั้นก็มองเรือนผมและอาภรณ์ที่ยังค่อนข้างเปียกชื้นของเขา ชัดเจนยิ่งนัก เขาพยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อให้พวกมันหมดจดเรียบร้อย
ผมเปียกๆ กับเสื้อผ้าชื้นๆ จะทำให้คนเป็นหวัดได้ กู้ซีจิ่วจึงโบกมือคราหนึ่ง ร่ายวิชาชำระล้างลงบนร่างเด็กน้อยคนนั้น ด้วยเหตุนี้เสื้อผ้าและเรือนผมของเด็กน้อยจึงแห้งสนิทแล้ว
เสินเนี่ยนโม่ถูกการเคลื่อนไหวอย่างปุบปับของเธอทำให้ตกใจ ร่างกายขยับถอยหลังไปเล็กน้อย หลังจากพบว่าเสื้อผ้าเรือนผมของตนล้วนแห้งหมดแล้ว เขาจึงมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง “วิชาของเจ้าไม่เลวเลย”
สามารถใช้เวทวิชาในที่แห่งนี้ได้ ทำลายกลไกผนึกพลังวิญญาณในเขตแดนของท่านพ่อเขาได้ ดูท่าว่าคนลึกลับหน้าผีผู้นี้จะร้ายกาจยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วหัวเราะอย่างไร้เสียง ไม่พูดอะไร
เสินเนี่ยนโม่กลับช่างเจรจา พูดคุยกับเธอ ต้องการจะสืบหาที่มาที่ไปของเธอให้กระจ่างอย่างอ้อมๆ
เด็กน้อยช่างพูดเหลือเกิน กู้ซีจิ่วนั่งพิงอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่อย่างเฉื่อยชา เธอมีใจจะแกล้งหยอกเขาขึ้นมาจริงๆ อยากเห็นว่าถ้าเขาถูกแหย่ใจนโมโหขึ้นมาสุดท้ายจะทำอย่างไรกันแน่ ดังนั้นเธอจึงแทบไม่พูดเลย แสร้งทำเป็นเย็นชาหมางเมิน
เห็นได้ชัดว่าเสินเนี่ยนโม่หิวแทบแย่แล้ว เนื้อเสียบหนึ่งเพิ่งจะสุกดีก็เริ่มกินแล้ว ผลคือยังไม่ทันส่งเข้าปาก เนื้อบนไม้เสียบก็หายไปแล้ว!
เขาหวิดจะกัดลงบนกิ่งไม้แล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างโกรธขึ้ง มองเห็นเนื้อเสียบนั้นส่งเข้าปากกู้ซีจิ่วไปแล้ว
กู้ซีจิ่วใช้หน้ากากบดบังใบหน้า ดังนั้นเสินเนี่ยนโม่ยังคงมองไม่เห็นหน้าตาของเธอเช่นเดิม
เสินเนี่ยนโม่โกรธมาก เนื้อที่ใกล้จะเข้าปากแล้วกลับบินหนีไปผู้ใดก็โมโหทั้งนั้น นับประสาอะไรกับเขาที่หิวจนเครื่องในจะไหลมารวมกันแล้วเล่า?
เขาพุ่งเข้าไปทันที “คืนเนื้อข้ามานะ!” เขาแบ่งให้นางครึ่งหนึ่งแล้วชัดๆ!
กู้ซีจิ่วไม่ขยับตัวเลย ทว่ากลับลอยถอยห่างไปหนึ่งจั้งปานเมฆาเคลื่อนคล้อยวารีไหลริน ไปนั่งพิงอยู่บนกิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่ง
“เจ้าไม่รักษาคำพูด!” เสินเนี่ยนโม่กำหมัด
กู้ซีจิ่วมองดวงตาที่จ้องถลึงของเขาแล้วอยากจะหัวเราะ เพียงแต่ยังคงอดทนไว้ เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ข้าเพียงรับปากว่าจะให้ไฟเจ้าแลกกับเนื้อครึ่งหนึ่งของเจ้า ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าข้าจะไม่โขมยเนื้อที่เจ้าย่างสุกแล้ว” น้ำเสียงทวีความกวนประสาทมากขึ้น “ถ้ามีความสามารถเจ้าก็แย่งกลับไปสิ”
เธอเข้าใกล้เด็กน้อยขนาดนี้แล้ว พู่หยกตรงหว่างเอวยังไม่มีปฏิกิริยาเลย หรือครั้งก่อนจะบังเอิญ? หรือว่าต้องต้อนให้เขาบันดาลโทสะออกมา?
เสินเนี่ยนโม่หายใจฟึดฟัดมองเธอโดยไม่พูดอะไร แต่กระเพาะกลับส่งเสียงโครกครากออกมา ชัดเจนยิ่งนัก เด็กน้อยหิวจะแย่แล้ว
“เจ้าสามารถย่างอีกได้” กู้ซีจิ่วแนะนำด้วยเจตนาดี
“เจ้าห้ามแย่งข้าอีก!”
แววตากู้ซีจิ่วคมปลาบนิดๆ “เจ้าก็หาวิธีไม่ให้ข้าแย่งอีกสิ”
เสินเนี่ยนโม่เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นข้าจะย่างครั้งละสองไม้ เจ้าหนึ่งไม้ข้าหนึ่งไม้เป็นอย่างไร? หากว่าเช่นนี้แล้วเจ้ายังไม่เห็นด้วยอีก เช่นนั้นข้าจะไม่ย่างเสียเลย พวกเราไม่ต้องมีใครได้กินสักคน”
เด็กน้อยรู้จักประเมินสถานการณ์ยิ่งนัก รู้ว่ายามนี้ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือเขาได้ ทำได้เพียงทนฝืนไปก่อนชั่วคราว มิใช่หัวรั้นดื้อแพ่งต่อไป
ชนรุ่นหลังที่สั่งสอนได้!
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “ได้!”
ด้วยเหตุนี้เสินเนี่ยนโม่จึงย่างเนื้ออีกครั้ง ทุกครั้งล้วนย่างทีละสองไม้…
———————————–