ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1933+1934
บทที่ 1933 พบกัน 3
เธอเคลื่อนย้ายไปที่ ‘คุก’ ขังเด็กห้องนั้นก่อน ประตูของที่นั่นลั่นดาลหนาแน่น มนุษย์ครึ่งสัตว์ของที่นี่ยังไม่พบเลยว่าเด็กๆ เหล่านั้นหนีไปแล้ว ยังคงทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบอยู่
ส่วนมนุษย์ครึ่งสัตว์ที่ถูกกู้ซีจิ่วสังหารไปเหล่านั้น แม้แต่ซากศพเธอก็ทำให้สลายหายไปหมดแล้ว เว้นแต่จะมีใครตามหาครึ่งสัตว์ที่ตายไปแล้วพวกนั้น ไม่เช่นนั้นร่องรอยจะไม่เปิดเผยเลยสักนิด
เธอวนไปวนมาอยู่ด้านใน คิดจะเสาะหาว่าผู้บงการอยู่หลังม่านพำนักอยู่ที่ใด
จะว่าไปก็แปลก จากที่เธอลอบจับตัวมนุษย์สัตว์หลายคนมาซักถาม พวกเขาล้วนไม่ทราบเลยว่าที่แท้แล้วเจ้านายของพวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ บอกว่ามีเพียงองครักษ์ข้างกายนายท่านเท่านั้นถึงจะทราบ…
ตอนนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ทราบแล้วว่าขบวนการเหล่านี้คืออะไรกันแน่ นี่คือกิ่งก้านสาขาที่คอยลำเลียงสารอาหารให้ต้นไม้ใหญ่!
ต้นไม้ใหญ่นี้มีกิ่งก้านสาขามากเพียงใด ในนี้ก็มีตรอกซอกซอยมากเพียงนั้น ซับซ้อนยิ่งกว่าใยแมงมุมเสียอีก
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เส้นทางด้านในนี้มิได้จัดเรียงตามค่ายกลอันใด ดังนั้นต่อให้เป็นกู้ซีจิ่วที่ชำนาญด้านการจดจำเส้นทาง หลังจากวนอยู่ด้านในรอบหนึ่งก็ค่อนข้างมึนงงเช่นกัน
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ผู้บงการคนนั้นน่าจะพำนักอยู่ที่ยอดสูงสุดของกิ่งก้านที่ใหญ่หนาที่สุดกระมัง?
เธอเดินทางไปตามเส้นทางที่กว้างขวางที่สุดสายหนึ่ง ไม่สนใจทางแยกย่อยสายน้อยพวกนั้นเลย วิ่งเช่นนี้ไปจนสุดถนนแล้ว ที่สุดปลายถนนกลับเป็นกำแพงสีเขียวชั้นหนึ่ง ไม่มีปราสาทราชวังอันใดเลย…
แปลก หรือเธอจะตามหาผิดเส้นทาง?
เช่นนั้นเจ้าผู้บงการจอมวิปริตคนนี้อยู่ที่ไหนกันล่ะ?
เธอไล่คลำไปตามสองข้างทางอย่างไม่ยอมแพ้ คิดจะหาดูว่ามีสิ่งของจำพวกประตูลับหรือไม่
เธอชำนาญด้านกลไก หากว่าที่นี่มีกลไกอยู่ย่อมไม่เล็ดรอดไปจากสายตา
แต่เธอลูบคลำอยู่นานสองนาน ก็หาประตูลับไม่พบ
เห็นทีว่าเธอจะตามหาผิดเส้นทางจริงๆ!
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ ขณะที่กำลังจะหันหลังไปค้นหาตามเส้นทางอื่นดูอีกที จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแว่วมาจากมุมหนึ่งทางด้านหลัง
เธอใจเต้นแวบหนึ่ง ก่อนใช้วิชาเร้นกาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่มุมอุโมงค์นั้น
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรง!
เป็นเด็กหนุ่มชุดม่วงคนนั้น! และเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่พวกซือชิงพูดถึง
เด็กหนุ่มผู้นี้ยังคงถือร่มคันนั้นของเขาไว้ ยามที่เยื้องย่างเสมือนภาพวาดทิวทัศน์ท่ามกลางหมอกฝน เจริญหูเจริญตายิ่งนัก
หลายปีมานี้กู้ซีจิ่วมีภูมิต้านทานหนุ่มหล่อยิ่งนักแล้ว จะเป็นบุรุษงดงามเพียงใดหล่อเหลาปานใดในสายตาเธอก็เป็นเพียงทิวทัศน์หนึ่งเท่านั้น พิศชมได้ ทว่าทำให้เธอหวั่นไหวไม่ได้สักนิด
เธอใช้วิชาเร้นกายอยู่ เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเฉียดผ่านเธอไป ห่างจากเธอไปไม่ถึงครึ่งเมตร ใกล้จนกู้ซีจิ่วได้กลิ่นหอมอ่อนจางที่คล้ายโอสถคล้ายบุปผา…
กลิ่นหอมนี้ทำให้ลมหายใจของเธอสะดุดไปเล็กน้อย เธอกลั้นหายใจแล้ว
คุณชายฝูอี…
นามนี้ช่างสง่านัก!
กู้ซีจิ่วนึกถึงบทกลอนสองประโยคนั้นที่ตนสลักไว้ในตำหนักแก้วผลึกของโลกเบื้องล่าง ‘เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก ไม่หลงเหลือนามและกายา’
คุณชายที่อยู่เบื้องหน้านี้คู่ควรกับนามนี้จริงๆ
ลืมถามซือชิงไปเลยว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขาชื่ออะไร หรือว่าในชื่อจะมีคำว่าฝูอีสองคำนี้อยู่?
ในใจกู้ซีจิ่วคาดเดาคำถามไปมากมายสารพัด
คุณชายฝูอีเดินไปจนสุดปลายอุโมงค์ จากนั้นก็งอนิ้วเคาะลงบนกำแพง
เขาเคาะได้มีจังหวะจะโคนนัก ราวกับเคาะบรรเลงบทเพลงหนึ่งอยู่
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง ติดตามไป
แน่นอนว่ายังคงเร้นกายอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง บนกำแพงก็มีรัศมีสีเขียวสาดส่องออกมา ประตูบานหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นในวงแสง และเปิดออกช้าๆ
————————————————————-
บทที่ 1934 พบกัน 4
คุณชายฝูอีผู้นั้นหุบร่ม ยกเท้าเดินเข้าไป
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีกลไกอยู่จริงๆ ซ้ำยังเป็นกลไกที่เธอหาไม่พบด้วย! ดูเหมือนผู้ที่กลไกจะค่อนข้างมีฝีมือ
เรือนกายกู้ซีจิ่วไหววูบ ติดตามเข้าไปด้วย เงาที่อยู่ด้านหลังบานประตูนั้นค่อยๆ เลือนหายไป ไม่เห็นร่องรอยอีก
และในประตูก็เป็นโลกอีกใบไปเลย หรูหรายิ่งนัก ราวกับเรือนนอนของหญิงสาวผู้ดีมีตระกูล
บนกำแพงมีภาพอักษรของผู้ที่มีชื่อเสียง เครื่องเรือนภายในห้องเป็นลักษณะโบราณ ได้รับการขัดถูจนแวววาวทั้งสิ้น
หากจะว่าเป็นเรือน มิสู้กล่าวว่าเป็นตำหนักจะดีกว่า
เนื่องจากภายในห้องนี้ลึกและกว้างยิ่งนัก บนพื้นปูพรมสีขาวพิสุทธิ์เอาไว้ อีกด้านของพรมเป็นแท่นสูงที่คล้ายกับราชอาสน์ทองอยู่ ด้านบนบัลลังก์มีหนังจิ้งจอกตัวหนึ่ง ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์คือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง?
เหตุผลที่กู้ซีจิ่วไม่แน่ใจเป็นเพราะลักษณะทรงผม อาภรณ์ที่คนผู้นั้นสวมล้วนเป็นอัตลักษณ์แบบบุรุษทั้งสิ้น แต่รูปโฉมกลับคล้ายสตรีอย่างยิ่ง
นัยน์ตาโต ริมฝีปากจิ้มลิ้ม ดวงหน้าขาวผ่องอมชมพู บนใบหน้ายิ้มแย้มมีลักยิ้มปรากฏอยู่สองข้าง
มีเพียงคิ้วที่ค่อนข้างดกหนา เฉียงทแยงจรดจอนผม มีเพียงคิ้วคู่นี้เท่านั้นที่ค่อนข้างเป็นบุรุษยิ่งนัก
ไม่จำเป็นถามเลย นี่ก็คือผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง
ในตำหนักแห่งนี้ยังมีคนอีกแปดคนแยกกันยืนอยู่สองฟาก ยืนอย่างเป็นระเบียบ ราวกับเจ้าพนักงานในชั้นศาล
เมื่อคนผู้นี้เห็นคุณชายฝูอีเข้ามา ก็แย้มยิ้มปานฤดูใบไม้ผลิทันที ให้คนจัดที่นั่ง เชิญเขานั่งลงข้างกายตน
คุณชายฝูอีก็ไม่เกรงใจเช่นกัน สะบัดอาภรณ์นั่งลงไปจริงๆ
ท่านั่งของเขาดูเอื่อยเฉื่อยตามสบายยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นแขกประจำของที่นี่
“คุณชายฝูอี เป็นอย่างไรบ้าง? วินิจฉัยเทียบยาได้หรือยัง?” ผู้บงการคนนั้นสอบถาม น้ำเสียงของคนผู้นี้ก็เป็นกลางยิ่งนัก ทำให้คนแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง
นิ้วของคุณชายฝูอีดีดชายชุดเบาๆ คราหนึ่ง ราวกับจะดีดสิ่งสงปรกบนนั้นทิ้งไป “ยังขาดไปไม่กี่ขั้นเท่านั้น เจ้าวังน้อย ใจร้อนเกินไปไม่อาจได้กินเต้าหู้ร้อนๆ”
‘เจ้าวังน้อย’ ผู้นั้นขมวดคิ้วนิดๆ “ข้าผู้เป็นเจ้าวังเกรงว่าหากโอ้เอ้นานไป ไอวิญญาณบนร่างเด็กเหล่านั้นจะลดลง เดิมทีข้าผู้เป็นเจ้าวังคิดจะเอาตัวพวกเขามาหลอมโอสถตั้งแต่วันก่อนแล้ว…ล่าช้าไปหนึ่งวันตัวแปรก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน”
คุณชายฝูอีผู้นั้นหยักมุมปายิ้มบางๆ “หากว่าเจ้าวังน้อยรอไม่ไหวจริงๆ ก็นำพวกเขามาหลอมโอสถตอนนี้ได้เลย เพียงแต่ลูกกลอนวิญญาณที่หลอมออกมาได้จะเหมาะสำหรับสตรีเท่านั้น ถ้าเจ้าวังน้อยใช้กับตัวเองก็ไม่เป็นอุปสรรคอันใด”
เจ้าวังน้อยผู้นั้นนิ่งงันไปแล้ว ถูกเขาสกัดไว้ได้จริงๆ
คุณชายฝูอีลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเจ้าวังน้อยไม่ต้องการผู้น้อยแล้ว เช่นนั้นผู้น้อยก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก บอกลากันตรงนี้เถิด”
เขาหันหลังหมายจะจากไป เจ้าวังน้อยรีบลุกขึ้นมา “ช้าก่อนคุณชายฝูอี ข้าผู้เป็นเจ้าวังกล่าวผิดไปแล้ว หวังว่าคุณชายจะไม่ถือสา”
จากนั้นพลันหยิบเห็ดหลิงจือสีม่วงดอกหนึ่งออกมาจากร่างแล้วยื่นส่งให้ “นี่คือเห็นหลิงจือพันปี ยามนี้ของมอบให้คุณชาย ถือเป็นของไถ่โทษ”
คุณชายฝูอีไม่รับไว้ เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าวังน้อยไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ พวกเราต่างได้รับผลประโยชน์ที่ต้องการ ถ้าผู้น้อยช่วยเหลือเจ้าวังน้อยหลอมโอสถได้สำเร็จ เจ้าวังน้อยค่อยมอบสิ่งที่รับปากกับผู้น้อยไว้ก่อนหน้านี้ให้ก็พอ”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว! แน่นอนอยู่แล้ว!” เจ้าวังน้อยผู้นั้นตกปากรับคำ
สองคนนี้พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ถ้อยคำของเจ้าวังน้อยก็ไม่พ้นไปจากเรื่องเทียบโอสถเลย คุณชายฝูอีถอนหายใจเบาๆ “สูตรโอสถนี้จุกจิกยิ่งนัก หากเจ้าวังน้อยกล่าวลักษณะของผู้ที่ต้องการโอสถนี้ออกมาสักหน่อย บางทีผู้น้อยอาจจะจัดยาที่เข้ากับอาการให้ได้ คิดเทียบยาที่เหมาะสมออกมา”
เจ้าวังน้อยนิ่งงันไปครู่หนึ่ง “ข้าผู้เป็นเจ้าวังเคยกล่าวไปแล้ว โอสถนี้ข้าผู้เป็นเจ้าวังจะใช้เอง…”
คุณชายฝูอีมองนางโดยไม่เอ่ยอะไร
แววตาของเขาลุ่มลึกยิ่ง ยามที่มองดูคนราวกับมีกระแสไฟ ทำให้หัวใจคนสั่นไหว
——————————-