ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1943+1944
บทที่ 1943 ร่วมมือ
เดิมทีคุณชายฝูอีแค่คิดจะทำให้นางตกใจเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นนางที่เป็นเช่นนี้ เขาก็กลืนน้ำลายนิดๆ เกิดความคิดที่ต้องการจะประทับจูบลงไปวูบหนึ่ง!
เพียงแต่เขาไม่ทันได้ดำเนินการ เนื่องจากกระบี่สั้นส่องประกายยะเยือกเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่ทรวงอกเขาแล้ว “หนุ่มน้อย ข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าได้ขยับเขยื้อนวู่วาม!”
คุณชายฝูอีมองสีสันของกระบี่สั้น ในประกายยะเยือกเหลือบสีฟ้าไว้รางๆ
“กระบี่เล่มนี้มีพิษ?”
“ฉลาดนี่!”
แววตาคุณชายฝูอีวูบไหวนิดๆ ในที่สุดก็ปล่อยตัวเธอไป “ที่แท้เจ้าก็ใส่ใจอยู่”
ไร้สาระ เมื่อครู่ที่เธอไม่ใส่ใจเพราะนั่นเป็นสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้ ยามนี้ย่อมไม่ปล่อยให้เขาได้เอาเปรียบอีกต่อไป!
ประหลาดนัก หากว่าเป็นบุรุษอื่นที่กล้ามาเอาเปรียบเธอเช่นนี้ คงถูกเธอซัดจนปลิวไปแล้ว! แต่เด็กหนุ่มคนนี้…
ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เขาช่วยตนไว้ เธอจะไม่ถือสาหาเขากับเขา
กู้ซีจิ่วสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง สายตาพลันร่อนลงบนข้อมือของคุณชายฝูอีคนนั้น ก่อนจะแข็งค้างไป!
ตรงนั้นมีกำไลข้อมือวงหนึ่งกำลังค่อยๆ เลือนหาย
กำไลสีทองวงนั้นเหลือบสีรุ้งพลายด้วย
กู้ซีจิ่วรู้สึกคุ้นเคยกับกำไลวงนั้นยิ่งนัก ของในกล่องที่เธอมอบให้เสิ่นเนี่ยนโม่ก็คือกำไลวงนี้!
ตอนนั้นเธอเห็นกับตาว่ากำไลวงนั้นสวมอยู่ที่ข้อมือของเขาด้วยตัวเอง หรือว่าเด็กน้อยคนนั้นไม่พึงใจจึงมอบให้ศิษย์พี่ใหญ่เสีย? ดูเหมือนคงเป็นแบบนี้ (กู้ซีจิ่วไม่รู้เรื่องที่เสิ่นเนี่ยนโม่ไม่สามารถถอดกำไลออกจากข้อมือได้)
อย่างไรก็ตาม กล่องใบนั้นมีเพียงเสิ่นเนี่ยนโม่ที่เปิดได้ ข้าวของที่อยู่ด้านในก็สมควรมีเพียงเขาที่สวมใส่ได้มิใช่หรือ? เช่นนั้นเพราะเหตุใดเขาถึงมอบให้คนอื่นได้ หรือว่าจำเป็นต้องให้เขาเป็นฝ่ายมอบให้ด้วยตัวเอง?
กำไลวงนั้นประหลาดมาก ปรากฏขึ้นมาบนข้อมือเสิ่นเนี่ยนโม่เพียงแวบเดียวก็เลือนหายไปอีกครั้ง คล้ายว่าจะถูกเวทวิชาอันใดกำบังไว้
“กำไลวงนี้…ดูดีมาก ถอดให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?” กู้ซีจิ่วถามหยั่งเชิง
คุณชายฝูอีซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อทันที “ไม่ได้!”
“บุรุษสวมใส่กำไลพบเห็นได้น้อยยิ่งนักจริงๆ คงมีคนมอบให้เจ้ากระมัง?” กู้ซีจิ่วถามต่อ
เห็นได้ชัดว่าคุณชายฝูอีไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ “พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย ขั้นต่อไปเจ้าเตรียมจะทำอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วกอดอก “แล้วเจ้าเตรียมจะทำอย่างไร?”
คุณชายฝูอีมองนางแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นใครกันแน่?” เขารู้จักศิษย์ปิดสำนักคนนั้นของจื่อฉุนซ่างเหริน มิใช่คนที่อยู่เบื้องหน้านี้
กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะเผยนามจริงของตน เสียงลึกลับนั้นเคยบอกเธอไว้ ให้เธอสอดมือยุ่งเรื่องราวของดินแดนเบื้องบนให้น้อยที่สุด ดังนั้นหลายปีมานี้เธอจึงทำตัวเป็นแขกผู้มาเยือนอยู่ตลอด ครั้งหากไม่ใช่เพราะเด็กๆ เหล่านั้นหายตัวไป เธอคงไม่คิดจะข้องแวะด้วย
“เริ่นจ้งเซิง”
คุณชายฝูอีรู้สึกรางๆ ว่านามนี้ค่อนข้างคุ้นหู แต่นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน
เด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้านี้ประหลาดเกินไปแล้ว อายุยังน้อย วรยุทธ์กลับสูงส่งเลิศล้ำ หากมิใช่ถูกผนึกพลังวิญญาณไว้ที่นี่ วรยุทธ์ของนางน่าจะเหนือกว่าเขา…
บางทีนางอาจเป็นเหมือนมารดาของเขาในสมัยก่อน มีรูปลักษณ์เป็นสาวน้อยอยู่ตลอด ร่างกายไม่เติบใหญ่?
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?” คุณชายฝูอีถามต่อ
กู้ซีจิ่วสางผมที่พันกันยุ่งของเธอ พลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าอายุของสตรีคือความลับ ไม่อาจถามได้?”
สาวน้อยผู้นี้พูดจาน้ำไม่รั่วเลยสักหยดจริงๆ
ตี้ฝูอียังคิดจะถามต่ออีก กู้ซีจิ่วก็ยกนิ้วหนึ่งขึ้นทาบริมฝีปาก “เอาล่ะ เดิมทีพวกเราก็แค่บังเอิญพบพานกันเท่านั้น หลังจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็ไปตามทางของเจ้า ข้าก็ไปตามทางของข้า ข้าไม่ถามชื่อเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องถามชื่อข้า”
คุณชายฝูอีเม้มริมฝีปากบางนิดๆ หัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง และมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาซับซ้อนแวบหนึ่ง
———————————————————————-
บทที่ 1944 ร่วมมือ 2
หลังจากที่รูปลักษณ์เขากลายเป็นผู้ใหญ่ ไม่รู้มีเด็กหญิงมากมายเท่าใดหมอบกราบภายใต้เสื้อคลุมเขา
ทุกคนที่เคยพบเจอเขา ไม่มีผู้ใดไม่รีบร้อนเข้ามาสนทนาพาทีกับเขา พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแสดงตัวตนต่อหน้าเขา บางทีที่เขาสนใจเอ่ยถามไปเพียงประโยคเดียว เด็กหญิงเหล่านั้นก็จะบอกเล่าออกมาเสียยืดยาวประหนึ่งเทถั่วจากกระบอกไม้ไผ่ แทบอยากจะสาธยายลำดับบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรออกมาทั้งหมด
ทว่าสาวน้อยเบื้องหน้านี้กลับแปลกไป…
“แม่นางน้อย…”
เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ถูกกู้ซีจิ่วตัดบทในทันที
“ไม่ต้องเรียกแม่นางน้อยแม่นางใหญ่อะไรทั้งนั้น เรียกข้าว่าจ้งเซิงเถิด”
กู้ซีจิ่วรู้สึกขนลุกเมื่อได้ยินเขาเรียก ‘แม่นางน้อย’ ‘สาวน้อย’
ยามเขาเรียกเธอเช่นนั้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลัง ‘แกล้งแอ๊บแบ๊วเป็นแตงกวาเฒ่าย้อมสีเขียว’
ยามนี้เธอรวบผมเรียบร้อยแล้ว เป็นทรงผมเกล้ามวย เนื่องจากเธอใช้นิ้วมือเป็นหวีสางผมอย่างลวกๆ จึงดูยุ่งเหยิงอยู่บ้าง ยังมีปอยผมเส้นเล็กๆ ร่วงหล่นประปราย
คุณชายฝูอีรับไม่ได้ที่สุดกับคนที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเฉพาะความไม่เป็นระเบียบของแม่นางน้อยโฉมงามเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงยื่นหวีให้นางเล่มหนึ่ง
“หวีผมใหม่สักหน่อย”
กู้ซีจิ่วไม่ชอบความยุ่งยากจึงส่ายหน้า
“ไม่หวี”
คุณชายฝูอีดึงนางมา กดลงนั่งบนเก้าอี้
“เด็กหญิงคนหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงจนกลายเป็นอะไร? คุณชายอย่างข้าจะหวีผมให้เจ้าเอง”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง เด็กหนุ่มคนนี้จู้จี้เกินไปหน่อยกระมัง!
หัวใจเธอพลันสั่นไหว รู้สึกรางๆ ว่านิสัยจู้จี้เช่นนี้ทำให้เธอคุ้นเคย…
สิ่งที่กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงก็คือ คุณชายฝูอีผู้นี้กลับเป็นผู้มีฝีมือในการหวีผม แกะผมของเธอออก สางผม รวบผม…ไม่นานก็หวีออกมาได้อย่างเรียบร้อย เขายื่นกระจกบานหนึ่งให้เธอ
“ดูสิ”
กู้ซีจิ่วมองคนที่สะท้อนในกระจกพลันตกตะลึงอยู่บ้าง เส้นผมดำขลับดังน้ำหมึก รวบผมกึ่งศีรษะ ดูคล้ายทรงผมของเสี่ยวหลงหนี่ว์ฉบับหลิวอี้เฟยอยู่บ้าง แฝงไว้ซึ่งความไร้เดียงสาในความเยือกเย็นงามสง่า
เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วพลันพร่ามัว ภาพลวงตาที่เลือนหายไปเป็นเวลานานกลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง…
เป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเช่นเดิม สตรีนางนั้นคล้ายจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ดูเกียจคร้านเล็กน้อย หวีผมอยู่ตรงนั้นเป็นครั้งคราว
บุรูษผู้นั้นเดินเข้ามาจากด้านนอก นางรีบยื่นหวีให้เขาในทันที
“มา ช่วยข้าหวีผมหน่อย”
บุรุษผู้นั้นทอดถอนใจ จัดการทรงผมให้นางอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย หลังจากนั้นไม่นานก็หวีเสร็จเรียบร้อย บุรุษผู้นั้นยื่นกระจกบานหนึ่งให้นาง
“ลองดูสิ”
สตรีนางนั้นส่องกระจกแวบหนึ่ง
“เกล้าผมมวยอีกแล้ว?”
“ผมทรงนี้เหมาะกับเจ้า…”
กู้ซีจิ่วส่องกระจกเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง
คุณชายฝูอีก็รู้สึกตระหนกอยู่บ้างเมื่อมองใบหน้าพริ้มเพราของนาง ภาพฉากนี้ทำให้เขาเห็นภาพลวงตาที่เหมือนเคยเห็นมาก่อน
เป็นกู้ซีจิ่วที่รู้สึกตัวขึ้นมาก่อน พูดจาติดตลกออกมาประโยคหนึ่ง
“นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังมีความสามารถนี้ หวีผมให้เหล่าศิษย์น้องหญิงบ่อยเพื่อฝึกปรือฝีมือหรือ?”
คุณชายฝูอีหันกายลงนั่งบนเตียง มองนางยิ้มมิเชิงยิ้ม
“นี่เจ้ากำลังหึงหวงหรือ?”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
เธอทอดถอนใจ
“หนุ่มน้อย หลงตัวเองเป็นโรคอย่างหนึ่ง จำเป็นต้องรักษา!”
“อย่ามาเรียกข้าว่าหนุ่มน้อย เรียกข้าว่าฝูอีเถิด”
กู้ซีจิ่วประหลาดใจ
“ที่แท้เจ้าก็ชื่อฝูอีหรอกหรือ ข้ายังคิดว่าคุณชายฝูอีเป็นบรรดาศักดิ์อย่างหนึ่ง”
หลังจากทั้งคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันก็มีความรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น
ทั้งสองคนหารือกันเรื่องการเคลื่อนไหวขั้นต่อไป ตามที่คุณชายฝูอีบอกกล่าว ภายในโพรงไม้นี้มีกลไกหินผลึกอย่างหนึ่ง เมื่อใดที่เปิดใช้งานก็จะผนึกพลังวิญญาณของผู้มาเยือนทั้งหมด ทว่าคนของเจ้าวังน้อยจะใช้โอสถวิเศษล่วงหน้า ทำให้ไม่ถูกจำกัดด้วยกลไกนี้
—————————–