ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1973+1974
บทที่ 1973 พบหน้าสหายเก่า 3
อวิ๋นเยียนหลีถูกกักขังมาหลายปี ยามนี้จู่ๆ ก็ได้พบกู้ซีจิ่ว เขายังดีใจยิ่งนัก พูดคุยกับกู้ซีจิ่วมากมาย
กู้ซีจิ่วฟังเขาพูด พลางหาทางแก้กลไกคลายโซ่ตรวนนี้ไปด้วย
กลไกนี้ซับซ้อนยิ่ง คนทั่วไปไม่มีทางแก้ได้ แต่กู้ซีจิ่วไม่ใช่คนทั่วไป…
ดังนั้นเมื่ออวิ๋นเยียนเล่าสิ่งที่ตนประสบพบเจอจบ เธอก็คลายโซ่ตรวนออกจากร่างเขาได้แล้ว!
หลังจากแก้ออกได้ กู้ซีจิ่วถึงได้รับรู้ความทรมานที่อวิ๋นเยียนหลีได้รับ
ห่วงเหล็กไหลมือเท้าของอวิ๋นเยียนหลีมีเดือยแหลมคล้ายตะปูยื่นออกมา ทิ่มเข้าไปในกระดูกข้อมือและกระดูกข้อเท้าของอวิ๋นเยียนหลี ยามที่ปลอดออกจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้กระดูกข้อมือและกระดูกข้อเท้าของเขาบาดเจ็บอีกครั้ง โลหิตสดๆ ไหลพรูออกมา มองแล้วน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก…
อวิ๋นเยียนหลีเป็นสหายที่โลกนี้ของกู้ซีจิ่ว ปีนั้นเคยช่วยเหลือเธอไว้มากมาย กล่าวได้ว่าเป็นสหายรู้ใจต่างเพศ เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ กู้ซีจิ่วย่อมสะเทือนใจ ทำการรักษาให้เขาอย่างสุดความสามารถ
เธอนำยาสมานแผลที่ดีที่สุดบนร่างตนออกมาทำแผลให้เขาทันที…
“ซีจิ่ว พวกเสด็จพ่อเสด็จพี่ของข้ายังปลอดภัยดีใช่ไหม? ทั้งหมดที่เจ้าวังน้อยผู้นั้นพูดมาเป็นเรื่องเท็จแน่ๆ กระมัง?” ในที่สุดอวิ๋นเยียนหลีก็เอ่ยคำถามที่เขากังวลที่สุดออกมา
มือของกู้ซีจิ่วแข็งทื่อไปเล็กน้อย เธอจะบอกเรื่องพวกนั้นของจักรพรรดิเซียนองค์ก่อนกับเขาอย่างไรดี?
ถึงอย่างไรเรื่องพวกนั้นเธอก็แค่ได้ยินมาอย่างผิวเผินเท่านั้น รายละเอียดส่วนใหญ่เธอก็ไม่ทราบชัดเจนเช่นกัน
แต่แผ่นดินสกุลอวิ๋นผลัดผู้ถือครองแล้วเป็นเรื่องจริง….
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างหลีกเลี่ยงประเด็นหนักหนาออกมาสองสามประโยค “เสด็จพ่อและเสด็จพี่รัชทายาทของท่านหายตัวไป ไม่มีผู้ใดทราบว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน ยามนี้จักรพรรดิองค์ใหม่คือเย่เทียนหลีจริงๆ…”
สีหน้าของอวิ๋นเยียนหลีซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม “พวกเขาความจริงแล้ว…ความจริงแล้ว…เป็นจอมมารน้อยเสวี่ยโม่ผู้นั้นที่ทำร้ายพวกเขาจริงๆ สินะ…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “เรื่องราวมิได้เรียบง่ายเช่นที่เจ้าวังน้อยผู้นั้นเล่า…ตามที่ข้าทราบมา เป็นเสด็จพ่อของท่านกับตัวแทนมหาเทพผู้นั้นสมคบกัน วางแผนปองร้ายหนิงเสวี่ยโม่สองแม่ลูกก่อน ทำให้พวกเขาเกือบต้องพลัดพรากจากกันแล้ว…รอจนท่านออกไปได้ ค่อยไปตรวจสอบต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวด้วยตัวเองเถิด”
เห็นได้ชัดว่าข่าวนี้ส่งผลกระทบต่ออวิ๋นเยียนหลีอย่างสาหัส เขานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นอย่างทึ่มทื่อ
กู้ซีจิ่วไม่ได้พูดปลอบใจอะไรอีก เรื่องเช่นนี้มิใช่สิ่งที่จะสามารถบรรเทาได้ด้วยคำพูดปลอบใจ
เพียงแต่ในเมื่ออวิ๋นเยียนหลีถือกำเนิดในราชวงศ์ เสด็จพ่อของเขาเป็นคนเช่นใดเขาย่อมทราบดี ไม่ว่าเรื่องราวใดเมื่อเกี่ยวข้องกับอำนาจจักรพรรดิแล้ว เรื่องโสมมมากมายล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น…
เสด็จพ่อของเขาก่อกรรมไว้มากมายย่อมถูกกรรมตามสนอง ไม่มีอะไรน่าเสียใจเลย
แต่ถึงอย่างไรอวิ๋นเยียนหลีก็เป็นองค์ชายในราชวงศ์ก่อน เขาต้องโศกเศร้าไปพักหนึ่งอยู่แล้ว หวังเพียงว่าวันหน้าเขาจะค่อยๆ ข้ามผ่านไปได้
“เสด็จแม่ของท่านยังอยู่ พี่หญิงของท่านก็ยังอยู่มีชีวิตอยู่ พวกนางล้วนได้รับการจัดสรรให้พำนักอยู่ในตำหนักด้านนอกแห่งหนึ่ง ความเป็นอยู่ไม่เลวเลย หลังจากท่านออกไปแล้วสามารถไปเยี่ยมเยือนได้”
อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจโล่งอก สีหน้าโศกหมองคลายลงเล็กน้อยแล้ว “ต้องไปเยี่ยมแน่นอน”
เมื่อก่อนถึงแม้เขาจะไม่เชื่อคำพูดของเจ้าวังน้อย แต่สุดท้ายก็ยังแคลงใจในเรื่องนี้อยู่ ยามนี้ได้ทราบจากปากกู้ซีจิ่วก็เป็นการยืนยันความจริงแล้วเท่านั้น ดังนั้นหลังจากเขาเศร้าสลดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ปลุกจิตใจขึ้นมาถามไถ่กู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว หลายปีมานี้เจ้าสบายดีหรือไม่?”
“สบายดี”
“เช่นนั้นเจ้าพบคนที่เจ้าต้องการตามหาหรือยัง?”
“ก็นับว่าพบแล้ว…”
“หือ?” นัยน์ตาอวิ๋นเยียนหลีส่องประกายแวบหนึ่ง ดีใจแทนเธอ “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลยจริงๆ! เจ้าเสาะหาเขามาเนิ่นนานมากจริงๆ กว่าร้อยปีเต็มเลย…ปีนั้นเห็นเจ้าตามหาอย่างพลิกฟ้ามุดปฐพีถึงเพียงนั้น ข้าปวดใจแทนเจ้าเหลือเกิน เขาเป็นซ่างเซียนท่านใดหรือ? รอข้าออกไปแล้วต้องไปทำความรู้จักให้ดีๆ ซีจิ่ว เขาใช่คนในดวงใจของเจ้าหรือไม่?”
——————————————————————————–
บทที่ 1974 พบหน้าสหายเก่า 4
กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อ เงาร่างของเสินเนี่ยนโม่ผุดขึ้นมาในสมอง ร่างกายพลันสะท้านแวบหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม “เขามิใช่ซ่างเซียน…ยังมีอีก ที่ข้าตามหาเขาความจริงแล้วเป็นภารกิจ เขาไม่ใช่คนในดวงใจอันใดของข้า เป็นเพียงภารกิจเท่านั้น”
“แบบนี้นี่เอง เช่นนั้นเจ้าหาเขาพบแล้ว นับว่าภารกิจลุล่วงแล้วกระมัง?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ตามหาเขาเป็นเพียงภารกิจเบื้องต้น…ยังไม่นับว่าลุล่วง…”
อวิ๋นเยียนหลีแปลกใจ “ยังไม่นับว่าลุล่วงหรือ เช่นนั้นเจ้ายังต้องทำอะไรอีก?”
กู้ซีจิ่วยกมือนวดหน้าผาก “เลี้ยงดูเขาให้เป็นอัจฉริยะผู้เลิศล้ำ…” ภารกิจนี้ก็ยากเย็นเข็ญใจเหมือนกัน…ตอนนี้เด็กคนนั้นกำลังไม่สบอารมณ์เธออยู่
อวิ๋นเยียนหลีนิ่งงันไปครู่หนึ่ง “เลี้ยงดูเขาให้เป็นอัจฉริยะผู้เลิศล้ำ? กล่าวเช่นนี้คือ เขายังเป็นเด็กหรือ?”
ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็สัมผัสถึงอะไรได้ หันกลับไปมองทันที
ไม่ไกลจากด้านหลังเธอ เสินเนี่ยนโม่ยืนสง่าอยู่ตรงนั้น บนใบหน้าหล่อเหลาสวมหน้ากากจิ้งจอกเอาไว้ นัยน์ตาสีดำดุจคลื่นวารี วูบไหวเลือนรางอยู่ภายใต้แสงเทียน หยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยิ้มมิเชิงยิ้ม ทำให้คนเดาอารมณ์ไม่ออก
เด็กคนนี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่น่าเชื่อว่าจะเงียบเชียบได้ถึงเพียงนี้! วรยุทธ์ล้ำเลิศนัก
“เนี่ยน…ฝูอี เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” กู้ซีจิ่วไม่คิดจะแตกแยกกับเขาอย่างแท้จริง ถึงอย่างไรเธอก็ยังต้องอบรมสั่งสอนเขา ภายภาคหน้าวันเวลาที่ต้องอยู่ร่วมกันยังอีกยาวไกล เธอยังคงต้องการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาคลี่คลายลงบ้าง
สายตาของเสินเนี่ยนโม่วนรอบร่างนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็วนรอบร่างของอวิ๋นเยียนหลีอีกแวบ น้ำเสียงเฉยเมย “เพิ่งมาไม่นาน”
ในความเป็นจริง เขาเข้ามาตั้งแต่ตอนที่นางปลดโซ่ตรวนให้อวิ๋นเยียนหลีแล้ว บทสนทนาหลังจากนั้นของนางและอวิ๋นเยียนหลีเขาล้วนได้ยินเข้าหูทั้งหมด…
เสินเนี่ยนโม่เอนหลังพิงโขดหินผาก้อนหนึ่ง ไม่ได้ก้าวเข้าไปใกล้
อวิ๋นเยียนหลีเพ่งพิศเขาแวบหนึ่ง “ท่านนี้คือ?”
กู้ซีจิ่วค่อนข้างปวดหัวแล้ว ทั้งสองคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ ว่ากันตามเหตุผลแล้วมีความแค้นต่อกันอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรเสด็จพ่อของอวิ๋นเยียนหลีก็เคยวางแผนปองร้ายเสินเนี่ยนโม่ และมารดาของเสินเนี่ยนโม่ก็นับว่าเป็นผู้ที่ทำให้จักรพรรดิเซียนองค์ก่อนหายตัวไป แผ่นดินสกุลอวิ๋นผลัดผู้ถือครอง…
สองคนนี้มาอยู่รวมกัน ต่อให้ไม่ทะเลาะต่อตีกันขึ้นมา ก็เกรงว่าจะเป็นขมิ้นกับปูน
อวิ๋นเยียนหลียังพอว่า ตอนนี้เขาบาดเจ็บอยู่ วรยุทธ์ก็เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของยามปกติ ตัวคนก็สุภาพใจกว้าง ไม่น่าจะลงมือกับเสินเนี่ยนโม่ด้วยความโกรธแค้น
แต่เสินเนี่ยนโม่ยากจะพูด นิสัยของเด็กคนนี้ค่อนข้างแปรปรวน หลังจากเขารู้ฐานะของอวิ๋นเยียนหลี ไม่แน่ว่าอาจจะสังหารอีกฝ่ายเพื่อปิดปากเสีย จัดการให้สิ้นซาก…
ดังนั้นสำหรับคำถามของอวิ๋นเยียนหลี เธอจึงตอบอย่างคลุมเครือไปว่า “เขาคือฝูอีศิษย์น้องของข้า”
อวิ๋นเยียนหลีพลันเลิกคิ้ว “คือคุณชายฝูอีหรือ?”
จากนั้นหันไปคุยกับกู้ซีจิ่ว “ระยะนี้เจ้าวังน้อยผู้นั้นเคยเอ่ยถึงคุณชายฝูอีกับข้า…ซีจิ่ว นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าก็มีศิษย์น้องอยู่ที่นี่ด้วย เจ้ากราบอาจารย์แล้วหรือ? กราบเข้าสำนักของผู้ใดกัน? จินตนาการได้ยากนักว่าจะมีผู้ใดที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเป็นอาจารย์เจ้าได้…”
“ที่แท้ท่านผู้สูงศักดิ์ก็เคยได้ยินชื่อของข้ามาบ้างแล้ว…” เสินเนี่ยนโม่ยิ้ม น้ำเสียงสุภาพสง่างาม เอ่ยทักทายอวิ๋นเยียนหลีอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ก้าวเข้าไป คว้ามือกู้ซีจิ่วไว้ “ข้าก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่านางจะกลายมาเป็นศิษย์น้องหญิงของข้า…เพื่อข้าแล้ว…นางยังทุ่มเทยิ่งนัก! เอาล่ะ ซีจิ่ว ศิษย์น้องของพวกเรายังรอคอยโอสถช่วยชีวิตอยู่ ไม่อาจโอ้เอ้ต่อไปได้อีกแล้ว”
กู้ซีจิ่วไม่คาดคิดเลยว่าจู่ๆ เขาจะเข้ามาจับมือตนอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าดิ้นไม่หลุด
อวิ๋นเยียนหลีก็ทึ่มทื่อไปแล้ว งงงันปานน้ำเข้าสมอง “ศิษย์น้องหญิง? ศิษย์น้อง? พวกเจ้าสรุปแล้วใครลำดับสูงกว่ากันแน่?”
“นับจากนี้ไปหนึ่งปีท่านค่อยถามคำถามนี้อีกครั้งเถิด!” ในที่สุดเสินเนี่ยนโม่ก็ปล่อยมือกู้ซีจิ่วแล้ว “ซีจิ่ว ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะบังเอิญพบพานสหายเก่าที่นี่ ดูท่าแล้วคงต้องการความช่วยเหลือ เจ้าคิดหรือยังว่าจะพาเขาออกไปอย่างไรดี?
—————————————–