ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1987+1988
บทที่ 1987 ช่างทำให้คนรู้สึกรังเกียจโดยแท้!
ถึงแม้เฟิงชิงซ่างเหรินจะมีลูกศิษย์ไม่มาก แต่ทุกคนก็เป็นยอดอัจฉริยะ และแต่ละคนก็โตกว่าเขามากนัก ถึงเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดยังโตกว่าเขาถึงสิบปี อย่างเช่นก่วนจิ่นหวาที่เป็นผู้พาเขาเข้าหุบเขามาคนนั้น ก็เป็นโฉมงามวัยยี่สิบแปดปีแล้ว
ก่วนจิ่นหวามีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ยิ่งนัก อายุยังน้อยก็มีชื่อเสียงเลื่องลือแล้ว รูปโฉมนางสวยสะคราญ นิสัยร่าเริงมีชีวิตชีวา เป็นแก้วตาดวงใจของเฟิงชิงซ่างเหริน ซ้ำยังเป็นดวงใจของเหล่าศิษย์ชายด้วย…
ช่วงอายุนี้กำลังอยู่ในวัยแรกเริ่มสัมพันธ์รักพอดี รอบกายนางมีเหล่าศิษย์ชายพัวพันอยู่ไม่น้อย แต่ติดอยู่ที่กฎเกณฑ์อันเข้มงวดของเฟิงชิงซ่างเหริน ทุกคนจึงไม่กล้าเปิดเผยออกมา ทำได้เพียงปกป้องคุ้มครองนาง รอคอยให้นางฝึกฝนจนถึงระดับที่แน่นอนแล้ว เมื่อสำเร็จวิชาแล้วค่อยเริ่มตามเกี้ยวพา…
ก่วนจิ่นหวาก็ทราบถึงความคิดของเหล่าศิษย์ชาย แต่นางไม่เผยออกมา เพลิดเพลินไปกับการได้รับความเอ็นดูพะเน้าพะนอจากเหล่าศิษย์ชาย ดีต่อทุกคน แต่ก็มิได้ใกล้ชิดกับผู้ใดอย่างแท้จริง ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างคล้ายจะมีใจก็มิใช่จะไร้เยื่อใยก็มิเชิงทั้งสิ้น ทำให้เหล่าศิษย์ชายที่ยังไม่แต่งงานมีคู่ครองต่างคันหัวใจยุบยิบ ละวางนางไม่ลงยิ่งกว่าเดิม
ก่วนจิ่นหวาชอบความรู้สึกที่ได้รับความเอ็นดูพะเน้าพะนอจากเหล่าศิษย์ชาย ทว่าไม่เคยกับหวั่นไหวกับผู้ใดเลย นางรู้สึกอยู่เสมอว่าบรรดาศิษย์ชายเหล่านี้ยังไม่คู่ควรกับนาง นางถึงขั้นที่รู้สึกว่าบนโลกนี้ไม่มีใครหน้าไหนเลยที่คู่ควรกับนาง…
จวบจนได้พบกับเสินเนี่ยนโม่ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเพียงเด็กน้อยวัยหกขวบคนหนึ่ง ทว่ารูปลักษณ์ที่เป็นเด็กหนุ่มกลับทำให้หัวใจคนสั่นไหว โดยเฉพาะยามที่อีกฝ่ายคลี่ยิ้มแวบหนึ่ง ก่วนจิ่นหวารู้สึกราวกับบุปผาเบ่งบานไปทั่วนภา…
ตลอดทางที่นางและเสินเนี่ยนโม่ร่วมทางกัน อีกฝ่ายไม่มีท่าทีกระตือรือร้นกับนางเหมือนศิษย์พี่ศิษย์น้องชายคนอื่นๆ มีต่อนางเลย กลับเย็นชาเฉยเมย ระหว่างที่เดินทางอยู่ ก็ไม่ได้ดูแลเอาใจใส่นางเหมือนศิษย์ชายคนอื่นๆ เลย ทว่านางกลับหวั่นไหวกับเขา รู้สึกเพียงว่าทุกอากัปกริยาของเขาล้วนน่ามองอย่างยิ่ง มีเสน่ห์ถึงเพียงนั้น ทำให้หัวใจนางสั่นไหว
แน่นอนว่านางก็ไม่กล้าเผยออกมาเช่นกัน เกรงว่าหากเผยความในใจแล้วจะต้องผิดหวัง แม้แต่สหายก็ไม่ได้เป็น เพียงอาศัยฐานเพื่อนพ้องอยู่รอบกายเสินเนี่ยนโม่
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ที่นี่เสินเนี่ยนโม่อายุน้อยที่สุด แต่ตามปกติแล้วเขาไม่ยอมรับผู้ใดเป็นศิษย์พี่ ยังคงใช้ความสามารถมาเป็นตำกำหนดฐานะ
เดิมทีวิชาแพทย์ของเขาก็รุ่งโรจน์ชัชวาลเช่นกัน แทบจะเอาชนะศิษย์พี่ชายทั้งหมดได้เลย ด้วยเหตุนี้เมื่อผ่านการประลองรอบแล้วรอบเล่าโดยมีเฟิงชิงซ่างเหรินเป็นสักขีพยานแล้ว เสินเนี่ยนโม่ก็ได้กลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของคนเหล่านี้อีกครั้ง…
คืนนี้ทุกคนจัดงานเลี้ยงต้อนรับเสินเนี่ยนโม่ สุราอาหารพรั่งพร้อม บกทะเลอากาศล้วนมีครบครัน
และอาหารทุกอย่างมีส่วนผสมของตัวยา เป็นผลดีต่อการฝึกฝนบำเพ็ญทั้งสิ้น
บนโต๊ะใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง คึกคักยิ่งนัก
ในงานเลี้ยงมีบางคนพูดคุยถึงข่าวซุบซิบที่เพิ่งจะได้ยินมา เฟิงชิงซ่างเหรินก็ได้รับสารจากอวี่หังเจินเหรินแล้ว ในสารกล่าวถึงเรื่องที่คนลึกลับหน้ากากผีบุกไปที่หุบเขาเอาไว้สั้นๆ ให้เฟิงชิงซ่างเหรินระวังสตรีผู้นั้นไว้…
เดิมทีทุกคนล้วนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในข่าวซุบซิบนั้น ยามนี้พอได้รับจดหมายย่อมเชื่อขึ้นมาแล้วแปดส่วน
ทุกคนขบขันยิ่งนัก แต่ก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเช่นกัน
ยายเฒ่าที่ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่คนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะหมายปองเด็กน้อยวัยหกขวบ ช่างทำให้คนรู้สึกรังเกียจโดยแท้!
ฐานะของเสินเนี่ยนโม่แสนพิเศษ เป็นโอรสของมหาเทพและจอมมาร ไม่ว่าจะเป็นอวี่หังเจินเหรินหรือว่าเฟิงชิงซ่างเหรินย่อมต้องให้ความสำคัญต่อเขา หวั่นเกรงว่าถ้าเกิดเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเขาแม้เพียงน้อย เมื่อมหาเทพกับจอมมารกลับมาแล้วจะมอบคำอธิบายให้มาได้
ดังนั้นพวกเขาจึงใส่ใจเรื่องของเขาอย่างยิ่ง
เฟิงชิงซ่างเหรินมองไปที่เสินเนี่ยนโม่ เอ่ยถามเขา “เนี่ยนโม่ สิ่งที่อวี่หังเจินเหรินกล่าวมาเป็นความจริงหรือ? คนลึกลับหน้ากากผีจำแลงกายเป็นเด็กสาวมาตีสนิทเจ้า ซ้ำยังคิดจะกราบเข้าสังกัดอวี่หังเจินเหรินเพื่ออยู่ร่วมสำนักกับเจ้า?”
เสินเนี่ยนโม่นิ่งไปครู่หนึ่ง “ใช่”
เฟิงชิงซ่างเหรินมองเสินเนี่ยนโม่ด้วยแววตาที่ซับซ้อน ศิษย์ใหม่ของตนผู้นี้รูปโฉมทรงเสน่ห์เกินไป ทั้งหนุ่มทั้งแก่ล้วนคะนึงหา…
————————————————————————————-
บทที่ 1988 งามกว่าเจ้า
“รูปโฉมนางเป็นอย่างไร?” ศิษย์ชายคนหนึ่งสนใจใคร่รู้ยิ่ง
“ได้ยินว่ารูปโฉมนางอัปลักษณ์ แยกเพศไม่ออก”
“ไม่ใช่กระมัง? ได้ยินมาว่ารูปลักษณ์สาวน้อยที่นางจำแลงกายงดงามยิ่ง”
“นั้นเป็นแค่การจำแลงกายของนาง รูปลักษณ์ที่จำแลงมาอยากงดงามมากเพียงใดก็งดงามได้เพียงนั้น แต่มิใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริง”
“ได้ยินว่ายามนางใช้ฐานะจริงปรากฏกาย จะสวมหน้ากากอันน่าสะพรึงไว้ ไม่เคยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงเลย คาดว่าต้องอัปลักษณ์มากเป็นแน่”
“บอกได้ยาก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโฉมงามหยาดฟ้าผู้หนึ่งก็ได้”
ก่วนจิ่นหวาที่ฟังอยู่เงียบๆ มาโดยตลอดยามนี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแวบหนึ่ง “นางอัปลักษณ์แน่นอน!” น้ำเสียงหนักแน่น เปี่ยมความมั่นใจ
ทุกสายตาล้วนมองไปที่ก่วนจิ่นหวา รอให้นางมอบคำอธิบาย
ก่วนจิ่วหวายิ้มน้อยๆ “ข้าเป็นสตรี ดังนั้นข้าจึงเข้าใจสตรีด้วยกัน หากว่าเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงามหยาดฟ้า ซ้ำยังมีความสามารถอย่างแท้จริง จะต้องไม่ปิดบังรูปโฉมดั้งเดิม ถ้าไม่ได้มีสิ่งให้คนมองไม่ได้ เหตุใดจึงไม่เปิดเผยออกมาเล่า? เชื่อข้าสิ หากว่าเป็นนางเป็นโฉมงามผู้เลิศล้ำจริงๆ จะต้องคิดหาทางให้ผู้คนได้ยลโฉมนางแน่นอน…”
เฉกเช่นตัวนาง ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกล้วนใช้ใบหน้าที่แท้จริง ซ้ำยังประทินโฉมให้งดงามขึ้นอีกด้วย นางชอบความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นยกยอชื่นชม เช่นนั้นจะเหมือนองค์หญิงผู้หนึ่ง
ล้วนกล่าวกันว่าสตรีย่อมเข้าใจสตรีด้วยกันที่สุด เมื่อก่วนจิ่นหวากล่าวเช่นนี้ คนที่อยู่เหตุการณ์จึงมีคนเชื่อไปกว่าครึ่งแล้ว
มีบางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างติดตลก “ไม่แน่นะ ใบหน้าหลังหน้ากากของนางอาจจะน่าขนลุกขนพอง ดูไม่ได้เลยก็ได้”
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนถามเสินเนี่ยนโม่ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางบ้างไหม? น่าสะพรึงมากหรือเปล่า?”
เสินเนี่ยนโม่ที่เดิมทีนั่งดื่มสุราอยู่โต๊ะมาโดยตลอด มองคนผู้นั้นอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ไม่น่าสะพรึงเท่าเจ้า”
คนผู้นั้นศีรษะใหญ่ร่างเล็ก เครื่องหน้าแบนราบ ริมฝีปากห้อยยื่น ค่อนข้างคล้ายมนุษย์ถ้ำยิ่งนัก ยามออกไปข้างนอกก็ทำให้คนสะพรึงอยู่บ่อยครั้งจริงๆ ประโยคนี้ของเสินเนี่ยนโม่เหยียบซ้ำลงบนปมของเขา ทำให้สมองเขารวนไปทันที
ดวงตาของก่วนจิ่นหวากลับเปล่งประกายเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “รูปโฉมน่าจะไม่ถึงขั้นทำให้คนสะพรึงกระมัง เพียงแต่ไม่งดงามจริงๆ”
เสินเนี่ยนโม่ยกสุราขึ้นดื่มจอกหนึ่ง สุ้มเสียงยังคงเฉยเมยเช่นเดิม “งามกว่าเจ้า”
ก่วนจิ่นหวาพูดไม่ออก
นางได้รับค่าความเสียหายหนึ่งหมื่นแต้ม!
ฝูงชนก็เงียบงันลงเพราะประโยคนี้ของเสินเนี่ยนโม่!
ไม่เกี่ยวกับว่าชมเชยคนลึกลับผู้นั้นว่างดงามหรือไม่ แต่เป็นเจตนาปกป้องที่แฝงอยู่ในสุ้มเสียงของเขาต่างหาก
นัยน์ตาของเฟิงชิงซ่างเหรินที่มองเสินเนี่ยนโม่ก็ฉายแววลุ่มลึกแวบหนึ่ง…
ขณะที่เขากำลังจะถามอะไร ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่หว่างเอวของเสินเนี่ยนโม่ก็เปล่งแสงขึ้นมาเสียก่อน
เสินเนี่ยนโม่ที่เดิมทีกำลังยกจอกสุราขึ้นจรดริมฝีปาก เมื่อยันต์ถ่ายทอดเสียงเปล่งแสง นิ้วมือเขาพลันแข็งทื่อ สุราในจอกกระฉอกออกมาเล็กน้อย รีบวางจอกสุราลงทันที เอ่ยคำหนึ่งว่า “ขอตัวสักครู่” หันหลังเดินออกไป ฝีเท้ายามเขาก้าวออกไปค่อนข้างว่องไว ประหนึ่งสายลมหอบออกไป
ฝูงชนมองหน้ากันเหลอหลา นับตั้งแต่เสินเนี่ยนโม่มาถึงที่นี่ก็สุขุมลุ่มลึกอยู่เสมอ จัดการเรื่องราวอย่างรอบคอบเยือกเย็น มีระเบียบแบบแผน
เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นเขามีท่าทีรีบร้อนเช่นนี้
ก่วนจิ่นหวาเม้มริมฝีปาก หลังจากนั่งอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หันหลังตามออกไปด้วย
พบเสินเนี่ยนโม่ยืนอยู่ที่มุมห้องโถง ในมือถือยันต์ถ่ายทอดเสียงกำลังพูดคุยกับคนอื่นอยู่ ในน้ำเสียงกระจ่างคล้ายเจือแววยิ้มหัวเอาไว้รางๆ
เขายืนหันหลังให้ประตูห้องโถง มีแสงเทียนส่องสะท้อนลงบนร่างเขา เงาร่างที่สะท้อนดูสูงชะลูดเป็นพิเศษ บนร่างคล้ายมีประกายแสงชั้นหนึ่งโอบล้อมอยู่รางๆ
เนื่องจากด้านหลังมีเสียงผู้คนจอแจ และเสินเนี่ยนโม่ที่อยู่ด้านหน้าก็พูดเสียงเบา ดังนั้นก่วนจิ่นหวาจึงไม่ได้ยินชัดเจนว่าเขาเอ่ยอะไร
นางเขยิบเข้าไปอีกสองก้าวอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
——————————————–