ลำนำพระเจ้าขวดโหล - ตอนที่ 3 สิบเอ็ดภาษา
“เราคือพระเจ้า” เธอกล่าว
“ท่านคือพระเจ้า” เขากล่าว
“เราคือเจ้า” เธอกล่าว
“ท่านมิใช่” เขาแย้ง
“เจ้าคือเรา” เธอกล่าว
“ข้ามิใช่” เขาแย้ง
“เจ้าคือใคร” เธอถาม
“ข้าคือ—”
ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าที่ที่เรียกว่า “หอพักนักเรียนประจำ”
ต่อจากนี้ไป ที่นี่จะเป็นบ้านใหม่ของผม เมื่อครึ่งวันที่แล้ว ผมยังคุดคู้อยู่ที่บ้านทำตัวเป็นหนอนอยู่เลย คำกล่าวที่ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอนเห็นทีจะเป็นจริง
“ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ”
เสียงยินดีต้อนรับดังขึ้นมาทันทีที่ผมก้าวผ่านประตู ต้นตอของเสียงเหมือนจะมาจากลำโพงติดผนัง มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครอยู่ ไม่มีทั้งคนต้อนรับหรือยามเฝ้าหอ
“ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ”
เสียงเดิมดังขึ้นซ้ำอีกครั้ง—
“ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ”
“ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ”
“ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ” “ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ” “ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ” “ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ—”
เสียงนั้นดังซ้ำเรื่อย ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยถอยออกมาก่อน แต่เหมือนจะไปชนกับอะไรสักอย่างเข้า
“โอ๊ย!”
พอหันไปดูก็เห็นเด็กผู้ชายที่ดูอายุไม่ห่างจากผมมากล้มลงอยู่กับพื้น
“ข-ขอโทษครับ” ผมรีบขอโทษ
“ไม่เป็นไรครับ ชินแล้ว” เขาลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนคนนี้ใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนที่ดูแล้วน่าจะเป็นเครื่องแบบของที่นี่ แต่เหมือนจะมีเข็มกลัดที่มีตราอะไรสักอย่างติดอยู่ที่อกข้างขวา ไม่เหมือนกับตราโรงเรียนที่ผมเห็นเคยเห็นผ่านตา
“น่าจะเป็นคุณพี่นักเรียนใหม่สินะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณไซโนะบอกให้ผมมาดูแลคุณพี่เรื่องหอพัก ผม รา-ไม่สิ ผมโรเมโอครับ โรเมโอ”
โรเมโอ…..ชื่อคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินมาก่อน
“จ้องแบบนั้น…..มีอะไรติดที่หน้าผมเหรอครับ?”
“ป-เปล่านะครับ แค่สงสัยเรื่องอะไรนิดหน่อย”
เผลอเสียมารยาทไปแล้วสิ พอไม่ได้คุยกับคนนานวันเข้า มารยาททางสังคมของผมก็ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ
หวังว่าการเข้าโรงเรียนจะช่วยเรื่องนี้ได้บ้างนะ
โรเมโอเดินนำผมเข้าไปในหอพัก ก่อนที่จะหยุดเมื่อได้ยินเสียงที่ดังผิดวิสัย
“เฮ้อ…..ระบบอัตโนมัติเสียอีกแล้วเหรอ” โรเมโอถอนหายใจทันทีที่ได้ยินเสียงต้อนรับที่ดังขึ้นซ้ำ ๆ
“ระบบเสียงพวกนี้พังอยู่ตลอดแหละครับ ที่หอพักฝั่งมัธยมต้นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน” เขาหันมาบอกผม
“แล้วโรงเรียนไม่มาดูแลอะไรหน่อยเหรอครับ”
“ผมเคยบอกคุณไซโนะให้แจ้งทางโรงเรียนแล้วนะครับ แต่คุณไซโนะบอกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบ”
โรเมโอพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ เขาคุยกับใครสักคนที่เคาน์เตอร์ เป็นคนที่ผมมองไม่เห็น
“โอเคครับ ตามมาทางนี้” หลังคุยกับใครสักคนเสร็จ เสียงของระบบอัตโนมัติก็หยุดลง จากนั้นโรเมโอก็พาผมไปที่ลิฟต์
“คือว่า…..เมื่อกี้คุยกับใครอยู่—”
“คนนั้นเหรอครับ คุณปีเตอร์สเบิร์ก เป็นผู้ดูแลหอพักฝั่งนี้น่ะครับ” เขาตอบหน้าตาเฉย
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อกี้ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นนะ
“ถ้าจะไปหอพักให้กดเลข 1 นะครับ ส่วนชั้นอื่นจะเป็นพวกโรงอาหารหรือสันทนาการ” โรเมโออธิบายตอนที่พวกเราเข้าไปในลิฟต์ ผ่านไปไม่นานลิฟต์ก็เปิดออก ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือห้องโถงที่คล้ายกับเป็นล็อบบี้โรงแรม ดูเลิศหรูกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก
“ห้องนี้จะเป็นห้องรวม ส่วนหอชายให้เดินไปทางโถงฝั่งขวานะครับ ของคุณพี่จะเป็นห้องที่อยู่หน้าสุดของโถง เห็นว่าคนเก่าเพิ่งจะย้ายออกไปเมื่อไม่นานมานี้น่ะครับ ก็เลยยังพอเหลือที่ว่างอยู่หนึ่งที่ อ้อ! เกือบลืมบอกไป หนึ่งห้องมีคนอยู่สองคน เพราะฉะนั้น มีรูมเมตนะครับ ไม่ได้อยู่คนเดียว” ระหว่างที่พูด โรเมโอก็นำทางผมไปที่ห้อง เนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาเรียน ที่นี่ก็เลยดูไม่คึกคักเท่าไหร่นัก หรือถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือ ที่นี่ไม่มีใครอยู่เลยสักคน
“อันนี้คือกุญแจนะครับ ถ้าทำหายให้ติดต่อที่คุณปีเตอร์สเบิร์กได้ทุกเมื่อเลย วันนี้พักผ่อนให้สบายนะครับ ส่วนถ้าจะไปห้องอาหารให้กดปุ่ม 2 ที่ลิฟต์ มีอาหารให้สองเวลาคือหกนาฬิกากับสิบแปดนาฬิกา ลงไปกินได้ไม่เกินสองชั่วโมงนับจากเวลาที่ตั้งอาหาร เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารนะครับ”
โรเมโอยื่นกุญแจมาให้แล้วโบกมือลา ผมเพิ่งจะนึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวก็ตอนที่เขาเดินจากไปแล้ว มารยาททางสังคมลบสิบคะแนน
เอาเถอะ เขาน่าจะรู้ว่าผมเป็นใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก
ผมหยิบกุญแจขึ้นมา กำลังจะไขเข้าไปในห้องพัก แต่กลับไม่เห็นรูกุญแจอยู่ตรงไหนเลย จะมีก็แค่แป้นรูปฝ่ามือที่หน้าประตู
ผมลองใช้ฝ่ามือตัวเองทาบลงบนแป้นนั้น แล้วประตูก็เปิดออก
…..เป็นระบบสแกนฝ่ามือหรอกเหรอ? แล้วกุญแจนี่ล่ะ? ถ้าไม่ได้ใช้แล้วจะมีไว้ทำไมล่ะ?
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าโลกภายนอกจะมีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลขนาดนี้อยู่ ผมเลือกที่จะทำใจยอมรับข้อเท็จจริงนี้แล้วก้าวต่อไป ถ้าสงสัยกับทุกอย่างที่เจอ ชีวิตนี้คงจะทำอะไรไม่ได้เป็นแน่แท้
ผมก้าวเข้าไปในห้อง ได้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ อบอวลไปทั่ว เป็นหลักฐานว่ามีคนเคยอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ อย่างน้อยก็เมื่อเช้านี้ล่ะนะ
ในห้องมีเตียงอยู่สองเตียง โต๊ะสี่เหลี่ยมสำหรับนั่งทำงานสองโต๊ะ ชั้นหนังสือสองชั้นใหญ่ แล้วก็ตู้เสื้อผ้าสองตู้ ส่วนห้องน้ำมีแค่ห้องเดียว มีความเป็นโรงแรมมากกว่าหอพักนักเรียนธรรมดา
ห้องถูกแบ่งเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ห้องฝั่งขวาดูยังไงก็มีเจ้าของแล้ว ส่วนห้องฝั่งซ้ายที่มีสัมภาระของผมกองอยู่เต็มไปหมดแบบนี้ คงจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นของใคร
ไม่รู้ว่าของพวกนี้ถูกขนมากองไว้ตั้งแต่ตอนไหน แต่น่าจะเป็นฝีมือของพวกคนที่พาตัวผมมา
เวลาตอนนี้อยู่ที่ประมาณสี่โมงครึ่ง ผมกะจะใช้เวลาที่เหลือก่อนมื้อเย็นในการจัดสัมภาระให้อยู่ถูกที่ถูกทาง
ของใช้ส่วนตัวมีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ก็เลยใช้เวลาจัดไม่นานมาก ส่วนพวกเครื่องแบบนักเรียนเหมือนจะมีเตรียมพร้อมไว้ให้แล้ว
การจัดห้องใช้เวลาน้อยกว่าที่คิด ผมก็เลยใช้เวลาที่เหลือไปกับการนอน
“เจ้าน่ะ! จะต้องมาสร้างโลกใหม่กับเรา!” เด็กผู้หญิงในขวดโหลพูดด้วยความแน่วแน่
“หอคอยบาเบลพังทลายไปแล้ว! เมืองบาเบลอะไรนั่นก็ไม่เหลืออยู่แล้ว! มนุษย์จะคุยกันไม่รู้เรื่องอีกต่อไป แล้วเมื่อนั้น สงครามก็จะบังเกิด” เด็กผู้หญิงคนนั้นยังคงพูดต่อไป
“อีกสามสิบวินาทีนาฬิกาจะบอกเวลาเที่ยงคืน วันสิ้นโลกใกล้มาถึงแล้ว! จุดจบใกล้มาถึงแล้ว!” เธอตะโกนสุดเสียง “เพราะฉะนั้น เจ้าน่ะ! จะต้องมาสร้างโลกใหม่กับเรา!” แล้วเสียงนั้นก็เลือนรางหายไป
ผมตื่นขึ้นมา นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนพอดี
ไม่คิดว่าจะหลับลึกขนาดนี้ พลาดมื้อเย็นไปแล้วสิ จะว่าไป วันนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย
ทันทีที่คิดแบบนั้น ท้องของผมก็คำรามออกมา
“เอานี่รองท้องหน่อยไหม” เสียงของใครสักคนทักขึ้น
ที่โต๊ะฝั่งขวาของห้องมีโคมไฟเปิดอยู่ ใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นโยนขนมมาให้ผม
…..มีคนอื่นอยู่ในห้องด้วยเหรอ น่าอายชะมัด
“ข-ขอบคุณครับ” ผมรับขนมอะไรสักอย่างมาจากใครคนนั้น
“ไม่ต้องสุภาพนักหรอก เราอยู่รุ่นเดียวกัน ฉันเจมส์ เจมส์ ดฺยาราท ส่วนนาย…..”
“ลัวร์ครับ ลัวร์ ซันดรา”
“ลัวร์สินะ ไม่ต้องใส่หางเสียงก็ได้ ฉันไม่ชินน่ะ”
คนที่ชื่อเจมส์คนนี้น่าจะเป็นรูมเมตของผม ดูเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าผมล่ะนะ ถ้าให้เดาน่าจะเป็นที่นิยมในโรงเรียนด้วย ขนาดผมที่เป็นผู้ชายยังรู้สึกว่าคนคนนี้มีเสน่ห์เลย ทั้งเรื่องบุคลิกและเรื่องรูปลักษณ์
ถ้าเจอกันข้างนอกไม่ใช่ในหอพักชายล่ะก็ ผมอาจจะเข้าใจว่าคนคนนี้เป็นผู้หญิงก็ได้ ไม่ว่าจะน้ำเสียง โครงหน้า หรือรูปร่าง ถ้าไม่ใช่ชายรูปงามก็คงจะเป็นสาวมาดเท่แล้วล่ะ
“อาจารย์เอสมาบอกว่าจะมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่ เป็นนายเองสินะ”
ผมพยักหน้าตอบ
“กะไว้แล้วเชียว จริง ๆ อยากจะคุยต่ออีกหน่อย แต่นี่ก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว เอาไว้เจอกันที่ห้องเรียนพรุ่งนี้นะ ส่วนคืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์” พูดจบ เจมส์ก็ดับโคมไฟ
ห้องถูกปกคลุมไปด้วยความมืดอีกครั้ง ถึงจะนอนไปมากแล้ว แต่พอถูกรายล้อมไปด้วยบรรยากาศแบบนี้ก็ชวนให้ง่วงได้เหมือนกัน
ผมเอนตัวลงนอน เป็นวันที่มีอะไรเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน บางทีก็คิดถึงบรรยากาศที่บ้านอยู่เหมือนกัน บางครั้งก็แอบคิดว่าถ้าวันนั้นผมมีสติกว่านี้ เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น…..
และแล้วค่ำคืนนี้ก็จบลง ผมนอนหลับไปกับความรู้สึกผิดที่ตัวเองก่อขึ้น
[มุมมองเจมส์ ดฺยาราท?]
“ฮันเซล นี่มันหมายความว่ายังไง!”
“คุณหนูครับ เรากำลังอยู่ในภารกิจ กรุณาอย่า—”
“ฉันไม่สน! ตอบคำถามฉันมาก่อน! เรื่องรูมเมตนี่หมายความว่ายังไง!”
บ้าบอกันให้หมด ภารกงภารกิจบ้าอะไร ฉันแค่มาเรียนเฉย ๆ ไม่ได้จะมาเป็นสายลับให้ใครสักหน่อย ท่านพ่อนี่ก็ยุ่งไม่เข้าเรื่อง
“อย่างน้อยก็ช่วยเบาเสียงหน่อยสิครับ ที่นี่เราต้องทำตัวเป็นพ่อลูกกันนะ ถ้ามีใครมาได้ยินเข้าจะทำยังไง”
“ช่างหัวนายสิ! ฉันไม่ได้อยากจะมาเล่นอะไรบ้า ๆ แบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“นี่ก็เพื่อราชวงศ์แห่ง—”
“ราชวงศ์อะไรนั่นสนเจ้าหญิงท้ายตารางแบบฉันที่ไหนล่ะ! ส่งมาเป็นสายลับประเทศศัตรูก็เท่ากับส่งมาตายนั่นแหละ สู้ส่งมาเป็นนักเรียนเฉย ๆ ซะยังจะดีกว่า แล้วเรื่องรูมเมตล่ะว่าไง ไหนว่าคุยกับทางโรงเรียนไว้แล้วไง”
“เรื่องนั้น…..” ฮันเซลหลบสายตา อีหรอบนี้เจรจาไม่สำเร็จสินะ ไร้ประโยชน์ซะจริง
“…..ผู้อำนวยการเป็นคงสั่งด้วยตัวเอง คงจะขัดอะไรไม่ได้—”
“สรุปนายทำงานให้ใครเนี่ย! กล้าขัดคำสั่งฉันที่เป็นเจ้านาย แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งยายเฒ่าใกล้ลงโลงนั่นที่เป็นเจ้านายปลอม ๆ เหรอ”
มาดามอัมบราอะไรนั่นยังไม่แก่ตายอีกเหรอ ไม่เห็นการเคลื่อนไหวนานซะจนคิดว่าตายไปแล้ว ขัดใจชะมัด
“ผมไม่ได้ขึ้นตรงกับคุณหนูนะครับ ผมทำงานให้คุณท่านต่างหาก”
“คำก็คุณท่าน สองคำก็คุณท่าน ไม่ไปลากตัวคุณท่านมาเรียนแทนฉันไปด้วยเลย—”
“อาจารย์ดฺยาราทคะ รบกวนช่วยตรวจสอบ…..เอ่อ…..ขออภัยที่เสียมารยาท ดิฉันมาขัดเวลาครอบครัวหรือเปล่าคะ?” เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่มีการเคาะประตูเตือนอะไรทั้งสิ้น
ฉันเกือบจะเผลอหลุดปากเผยนิสัยตัวเองให้คนนอกเห็นซะแล้ว
“ปะ เปล่าเลยครับ อาจารย์บาเบลเชิญพูดต่อได้เลย” ฮันเซลหัวเราะกลบเกลื่อนพลางใช้มือไล่ฉันออกจากห้องไปเหมือนหมา
‘ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนนอกอยู่ที่นี่ฉันคงไม่ไปหรอก จำไว้ด้วยล่ะ!’ ฉันส่งสายตาแทนคำพูดให้กับฮันเซลก่อนที่จะค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป
ที่นี่คือโรงเรียนนานาชาติเซนต์เอลิยา เป็นโรงเรียนที่ว่ากันว่าดีที่สุดในภูมิภาคนี้
ส่วนฉัน โยฮันนาแห่งมาร์ริแลนด์ เป็นเจ้าหญิงลำดับที่หกแห่งราชวงศ์ครอมเวลล์ ราชวงศ์ของประเทศที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับประเทศที่เซนต์เอลิยาตั้งอยู่
ฉันที่ไม่ได้สนเรื่องนั้นได้บอกกับท่านพ่อว่าอยากจะมาเรียนที่นี่ ท่านพ่อจึงถือโอกาสที่จะใช้ฉันเป็นตัวช่วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ช่วยทำการทูตเหรอ…..อ๋อ เปล่าหรอก ทำการศึกต่างหาก
ราชาแห่งครอมเวลล์ผู้มากไปด้วยปัญญาแต่งองค์ทรงเครื่องเจ้าหญิงท้ายตารางของตัวเองให้เป็นชาย แล้วมอบชื่อใหม่ให้ว่าเจมส์ ดฺยาราท
เจมส์ผู้นี้รับบทเป็นนักเรียนผู้ลากมากดีทรงเสน่ห์จากต่างประเทศ ตามมาเรียนที่นี่กับพ่อที่ทำงานเป็นอาจารย์วิชาภาษาต่างประเทศชื่อว่ายาซิคอท ดฺยาราท รับบทโดยสายลับสุดเจ๋งที่เก่งที่สุดในสามสิบโลก ฮันเซล คิงส์แลนด์
ด้วยเหตุนี้เอง ฉันก็เลยต้องไปอาศัยอยู่ในหอพักที่เต็มไปด้วยผู้ชายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วชีวิตในรั้วโรงเรียนสุดแสนว้าวุ่นก็ได้เริ่มขึ้น!
แหวะ แค่คิดก็คลื่นไส้แล้ว
อย่างน้อยก็ให้ฉันปลอมเป็นผู้หญิงหน่อยเถอะ
ทุก ๆ วันหลังเลิกเรียน ฉันใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงในการเดินกลับหอพักเพราะโดนพวกบ้าดักสารภาพรักตลอดทาง มีคนเดินมามอบจดหมายรักให้ทั้งชายหญิง คนต่อแถวกันมาสารภาพรักปากเปล่าก็มีทุกสามก้าว จะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนคอยดักทางไว้ เจอแบบนี้แรก ๆ ก็แอบดีใจอยู่หรอก แต่บ่อยครั้งเข้าก็แอบรำคาญอยู่บ้าง
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ฉันมันทรงเสน่ห์นี่นา
…..เฮ้อ
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ฉันโดนสารภาพรักไม่ขาดสาย และแน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็เป็นพวกหน้าเดิม ๆ
ฉันมักจะพลาดมื้อเย็นของหอพักเพราะอะไรแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ ฉันไม่อยากกินขนมที่ได้มาเป็นมื้อเย็นสักหน่อย แล้วทำไมถึงมีแต่คนเอาช็อกโกแลตมาให้ล่ะเนี่ย นี่ไม่ใช่วันวาเลนไทน์นะ
“โอ๊ย!”
ระหว่างที่เดินแหวกทางพวกที่มาสารภาพรักก็ชนกับใครเข้าให้
“ขอโทษทีนะ เป็นอะไรไหม” ฉันยื่นมือไปยกตัวคนที่ฉันเพิ่งชนล้มไปขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบฝืน ๆ
ไม่รู้ว่าทำไมพอทำแบบนั้นแล้วคนรอบ ๆ ถึงพากันหลบสายตาแล้วเดินหนีไป แต่แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ
“ไม่เป็นไรครับ ชินแล้ว” เขาลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดูจากเครื่องแบบที่ใส่ เด็กคนนี้ไม่น่าจะใช่นักเรียนธรรมดา ถ้าจำไม่ผิด เข็มกลัดตรงอกข้างขวาเป็นเข็มกลัดของผู้ดูแลหอสมุด ฉันเคยเห็นคุณแฮมเลตที่อยู่ห้องเดียวกันติดเข็มกลัดแบบนี้เหมือนกัน
เด็กคนนี้ไม่ได้แสดงทีท่าเสน่หาอะไรต่อตัวฉัน ถือเป็นเรื่องดี
เราไม่ได้ต่อบทสนทนาอะไรกัน พอลุกขึ้นมาเด็กคนนี้ก็รีบเดินไปที่ไหนสักที่ สงสัยว่างานของผู้ดูแลหอสมุดคงจะหนักหนาสินะ น่าสงสารจัง
ไม่รู้ว่าทำไม แต่หลังจากเดินชนกับเด็กคนนั้นทางก็สะดวก ไม่มีใครมาดักทางสารภาพรักอีกเลย ถือเป็นเรื่องดี ทำให้ฉันกลับถึงหอทันเวลามื้อเย็น
ถึงโรงอาหารของหอจะเป็นแบบรวมหญิงชาย แต่ดูเหมือนว่าคนที่เป็นนักเรียนประจำจะมีวุฒิภาวะมากพอที่จะไม่มาสารภาพรักกับฉันระหว่างมื้ออาหาร หรือไม่ก็แค่ไม่มีใครสนใจฉันตั้งแต่แรก แต่นั่นก็ทำให้ฉันสบายใจที่จะกินมื้อเย็นมากขึ้น เป็นมื้อเย็นที่ราบรื่น ไม่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องดีของวันนี้
ฉันกลับถึงห้องพักประมาณสองทุ่ม ระหว่างทางก็ทักกับคนนู้นบ้างคนนี้บ้างประปราย จำไม่ได้หรอกว่าพวกที่ทักไปเป็นใครบ้าง บางคนเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมห้องล่ะมั้ง ช่างเถอะ เรียนจบไปก็ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ไม่เห็นจะต้องจำ
ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยจิตใจปลอดโปร่งโดยที่ลืมเรื่องรูมเมตคนใหม่ไปสนิท
ห้องพักของฉันปิดไฟอยู่ แต่กลับมีแสงสว่างจ้าจากแหล่งกำเนิดแสงที่นอนอยู่บนเตียง เป็นแสงที่สว่างจ้าซะจนเหมือนเปิดไฟอยู่ และแหล่งกำเนิดแสงที่ว่าเหมือนจะเป็นมนุษย์
มนุษย์คนนั้นคงเป็นรูมเมตที่ว่าไม่ผิดแน่ ทำไมถึงส่องแสงได้ล่ะนั่น
พอสังเกตดูดี ๆ ถึงได้เห็นว่าที่ส่องแสงคือเส้นผม เป็นเส้นผมสีขาวบริสุทธิ์ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แตกต่างจากสีขาวที่เกิดจากการย้อมหรือสีขาวเทาจากหงอก เป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้เรื่องนี้ไหม แต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่เปิดไฟเพื่อหลีกเลี่ยงบทสนทนาหากคนคนนั้นตื่น
แต่แสงสว่างขนาดนี้คงจะนอนอย่างสบายใจไม่ได้ ฉันก็เลยใช้เวลาไปกับการทบทวนบทเรียน
เวลาผ่านไปเกือบสี่ชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาประมาณห้าทุ่มห้าสิบห้านาที อีกห้านาทีจะเที่ยงคืน จู่ ๆ แสงก็ดับลง…..แสงบนหัวของคนคนนั้นนั่นแหละที่ดับ ฉันที่กะจะอ่านหนังสือให้จบบทก็เลยต้องเปิดโคมไฟส่วนตัวเอาไว้
ฉันอ่านจบบทตอนเที่ยงคืนพอดี ขณะที่กำลังเก็บหนังสือและจัดโต๊ะ คนคนนั้นก็ตื่นขึ้น
อุตส่าห์หวังว่าจะเลี่ยงบทสนทนาได้แล้วเชียว
คนคนนั้นตื่นมาก็เพ้ออะไรสักอย่าง จากนั้นท้องก็ร้องออกมา น่าสมเพชชะมัด
โชคดีที่ฉันมีขนมที่ไม่กะจะกินอยู่เยอะ ก็เลยโยนไปให้คนน่าสมเพช อย่างน้อยก็ดีกว่าโยนลงถังขยะ
“ข-ขอบคุณครับ” คนน่าสมเพชพูดขอบคุณทันทีที่ได้ขนม ดูไปดูมาก็เหมือนหมาที่ฉันเคยเลี้ยงไว้เหมือนกัน
“ไม่ต้องสุภาพนักหรอก เราอยู่รุ่นเดียวกัน ฉันเจมส์ เจมส์ ดฺยาราท ส่วนนาย…..” ฉันแสร้งพูดไปตามมารยาท
“ลัวร์ครับ ลัวร์ ซันดรา” คนน่าสมเพชตอบ ชื่อลัวร์ สกุลซันดราเหรอ แปลกชะมัด เหมือนเคยได้ยินชื่อคล้าย ๆ กันจากที่ไหนมาก่อน
แต่ก็ช่างเถอะ อะไรที่จำไม่ได้ก็คงไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก
“ลัวร์สินะ ไม่ต้องใส่หางเสียงก็ได้ ฉันไม่ชินน่ะ” ฉันยังคงพูดไปตามมารยาทเหมือนเดิม
ระหว่างบทสนทนา ฉันสังเกตเห็นว่าเส้นผมที่ก่อนหน้านี้เป็นสีขาวของคนคนนี้ ตอนนี้เป็นสีเข้มคล้ายสีดำ พอพยายามเพ่งดูถึงได้เห็นว่าแท้จริงแล้วเป็นสีน้ำเงินเข้ม ถ้ามองผ่าน ๆ คงจะเห็นเป็นสีดำเหมือนกัน
ส่วนสีตาก็แปลก เป็นสีเขียวอ่อนหรือไม่ก็สีฟ้าเหมือนกับอะความารีน ไม่เคยเห็นคนที่มีสีตาแบบนี้มาก่อน
แล้วก็ไม่เคยเห็นคนเชื้อชาติไหนมีพันธุกรรมสีผมสีตาแบบนี้ด้วย
“อาจารย์เอสมาบอกว่าจะมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่ เป็นนายเองสินะ” ฉันโกหกเรื่องที่ว่าอาจารย์เอสเมอรัลดาเป็นคนบอก ที่จริงฮันเซลเป็นคนบอกต่างหาก
เขาพยักหน้าตอบระหว่างเคี้ยวขนม คนคนนี้ไปหิวโซมาจากไหนล่ะเนี่ย
“กะไว้แล้วเชียว จริง ๆ อยากจะคุยต่ออีกหน่อย แต่นี่ก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว เอาไว้เจอกันที่ห้องเรียนพรุ่งนี้นะ ส่วนคืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์” ฉันตัดบทสนทนา ไม่รู้ว่าถ้าคนคนนี้หลับไปอีกครั้งแล้วผมจะเรืองแสงอีกไหม ก็เลยต้องรับชิงหลับก่อน
ส่วนเรื่องที่ว่าเจอกันที่ห้องเรียนวันพรุ่งนี้…..นั่นสินะ ฉันพูดไปงั้นแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ห้องไหน
โชคดีที่สั่งสมความง่วงมาจากการอ่านหนังสือสี่ชั่วโมงแบบต่อเนื่อง ฉันก็เลยหลับได้ทันทีที่หัวถึงหมอน ไม่รู้ว่าในคืนนั้นมีแสงสว่างจากเส้นผมอีกไหม แต่ถ้าฉันไม่ตื่นมากลางดึกก็ดีแล้วล่ะ
[มุมมองโรเมโอ.]
หลังจากพักเที่ยง คุณไซโนะก็ฝากคนมาเรียกตัวผมไปที่หอสมุด เห็นว่ามีธุระอะไรบางอย่าง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมก็เลยรีบเดินไปที่หอสมุดโดยไม่เข้าเรียนคาบบ่าย
ถึงจะบอกว่าไม่เข้าเรียน แต่นี่ไม่ใช่การโดดเรียนหรอกนะ ที่จริงคือผมเข้าเรียนล่วงหน้าไว้กับอาจารย์ท่านอื่นไปแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ดูแลหอสมุดควรทำเผื่อมีธุระสำคัญในเวลาเรียนน่ะ จะบอกว่าเป็นสิทธิพิเศษก็ได้
แต่พูดก็พูดเถอะ ผู้ดูแลหอสมุดมีแค่หยิบมือ แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงยังมีนักเรียนอยู่นอกห้องเรียนช่วงบ่ายเยอะขนาดนี้ พวกชวนกันโดดเรียนเหรอ แบบนั้นก็แย่เลยนะ
ผมคิดไปพลางเดินไปที่ท่าเรือเล็ก ๆ สำหรับข้ามไปหอสมุด
“วันนี้ขอรบกวนเหมือนเดิมนะครับ คุณแครอน”
ผมใช้บริการคุณแครอนเหมือนเคย เขาเป็นคนแจวเรือข้ามฟาก คุณไซโนะบอกว่าเขาทำงานที่นี่มาตั้งแต่โรงเรียนเปิด เป็นผู้อาวุโสที่ควรนับถือ
ผู้ดูแลหอสมุดไม่ต้องจ่ายเงินให้คุณแครอนสำหรับแจวเรือ แถมยังมีสิทธิพิเศษในการเข้าหอสมุดได้ทุกเมื่อด้วย ผมค่อนข้างสนิทกับคุณแครอนอยู่พอสมควร ถึงเขาจะไม่ค่อยพูดอะไรก็เถอะ แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาสนิทกับผม
การข้ามฟากเป็นไปอย่างสวัสดิภาพ ผมกล่าวขอบคุณคุณแครอนก่อนที่จะเดินเข้าไปในหอสมุดตามอย่างเคย
ปกติแล้ว คุณไซโนะจะพักอยู่ชั้นบนสุดของหอสมุด เป็นชั้นที่คนทั่วไปไม่รู้ถึงการมีอยู่ มีแค่พวกผู้ดูแลกับคุณไซโนะเท่านั้นที่เข้ามาได้ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นห้องประชุม
การจะไปที่ชั้นนั้นต้องบอกรหัสลับให้กับคนกดลิฟต์ที่ชื่อว่าคุณดาร์วาซา แล้วเขาจะกดลิฟต์ให้
ผมทำตามขั้นตอนที่ว่าโดยที่ไม่ลืมกล่าวขอบคุณตอนถึงที่หมาย จากนั้นจึงตรงไปที่ห้องพักของคุณไซโนะ
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะคุณโรเมโอ ขออภัยด้วยที่ต้องรบกวนเวลาอันมีค่า และขอบคุณที่อุตส่าห์เสียเวลานั้นมาให้ค่ะ”
พอไปถึง คุณไซโนะก็เตรียมโต๊ะสำหรับพูดคุยไว้ให้แล้ว
“ทิวาสวัสดิ์ครับคุณไซโนะ” ผมกล่าวทักทายพลางนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้
“ขออนุญาตเข้าเรื่องนะคะ วันนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาฝั่งหอพักของปีเตอร์สเบิร์ก รบกวนคุณโรเมโอไปช่วยนำทางและจัดแจงวิธีการใช้ชีวิตในหอพักให้นักเรียนคนนั้นด้วยค่ะ รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่คุณปีเตอร์สเบิร์ก สำหรับงานในวันนี้มีเพียงเท่านี้ค่ะ” คุณไซโนะจัดแจงงานทันทีที่ก้นผมแตะลงบนเก้าอี้
ชาต้อนรับยังไม่ทันหายร้อน บทสนทนาก็จบลง แล้วคุณไซโนะก็เดินออกจากห้องไปเหมือนจะมีธุระอะไรบางอย่าง เป็นท่าทีตามปกติของคุณไซโนะที่มักจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าผมนับถือคุณไซโนะในด้านนั้นนะ
เนื่องจากผมไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนักก็เลยใช้เวลาไปกับการดื่มชากับกินขนมอยู่คนเดียวในห้อง ผมชอบชาของคุณไซโนะเป็นพิเศษ เห็นว่าเป็นชาเขียวที่ชงด้วยวิธีแบบดั้งเดิม
พอกินอาหารว่างเสร็จก็ออกเดินทางไปยังหอพักของปีเตอร์สเบิร์กผู้สนองบุญตามคำสั่ง คนส่วนใหญ่จำชื่อหอพักกันไม่ค่อยได้ ทำไมกันนะ ในเมื่อหอพักทุกหอก็ตั้งชื่อตามคนดูแลหอกันทั้งนั้น อย่างคุณปีเตอร์สเบิร์กก็เป็นผู้ดูแลหลักของหอพักชายมัธยมปลาย ประจำอยู่ที่หอทั้งวันทั้งคืน ทำไมไม่มีใครคิดจะจำชื่อเขาเลยล่ะ น่าสงสารออก
ตัวผมเองอาศัยอยู่ที่หอพักของชาร์ลีผู้แสวงบุญซึ่งเป็นหอพักนักเรียนมัธยมต้น คนดูแลก็คือคุณชาร์ลีตามชื่อ มีแค่หอพักของเซเลนาผู้แสวงบุญเท่านั้นแหละที่ผู้ดูแลไม่ได้ชื่อเซเลนา
อันที่จริงผมเป็นนักเรียนมัธยมต้น จะให้ไปแนะนำหอพักให้กับนักเรียนใหม่ที่อายุมากกว่าก็คงจะแปลก แต่ก็เข้าใจได้ที่คุณไซโนะให้ผมเป็นคนนำทางให้นักเรียนใหม่ เห็นว่านักเรียนใหม่เป็นนักเรียนชาย ผมที่เป็นผู้ดูแลห้องสมุดเพศชายที่มีอายุมากที่สุดและอยู่หอพักคงจะต้องทำหน้าที่นั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้ดูแลที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายก็เป็นผู้หญิงกันทั้งหมด
ระหว่างทางมีคนพลุกพล่านเต็มไปหมด ผมเดินชนกับคนนู้นทีคนนี้ที หกล้มไปก็หลายครั้ง แต่ก็ชินแล้วล่ะ ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย แต่เรื่องที่วันนี้คนเยอะก็ยังแปลกอยู่ดี
เดินไปถึงหอพักก็เห็นคนคนหนึ่งยืนงงอยู่หน้าประตูทางเข้า ผมก็เลยว่าจะเดินเข้าไปหา แต่เขาเดินเข้าไปในหอพักก่อนแล้ว
ผมรีบเดินตามไป แต่มีคนบดบังทัศนวิสัยอยู่จนมองไม่เห็นทาง พอเดินไปถึงประตูหอพัก คนคนนั้นก็เดินถอยหลังมาชนกับผมเข้าจนได้
“ข-ขอโทษครับ” เขารีบขอโทษ เป็นคนที่ชนผมแล้วขอโทษเป็นคนแรกของวันนี้ ถือเป็นการพบเจอกันครั้งแรกที่ดี “ไม่เป็นไรครับ ชินแล้ว” ผมตอบกลับไปตามมารยาท ร่างกายก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก เรื่องแค่นี้ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรผมหรอก
ผมพินิจพิศดูสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าคนคนนี้เป็นนักเรียนใหม่จริง ๆ
“น่าจะเป็นคุณพี่นักเรียนใหม่สินะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณไซโนะบอกให้ผมมาดูแลคุณพี่เรื่องหอพัก ผม รา-ไม่สิ ผมโรเมโอครับ โรเมโอ”
เกือบแย่แล้วสิ เกือบหลุดชื่อจริงไปแล้ว เผลอเหม่อนิดหน่อยไม่ได้เลย
นักเรียนใหม่จ้องผมอย่างกับอะไรดี อย่าคิดจะสงสัยไม่เข้าเรื่องนะ
ได้โปรด
“จ้องแบบนั้น…..มีอะไรติดที่หน้าผมเหรอครับ?” ผมรีบดึงบทสนทนาไม่ให้เขาสงสัยผมไปมากกว่านี้
“ป-เปล่านะครับ แค่สงสัยเรื่องอะไรนิดหน่อย” เขาตอบแบบเลิ่กลั่ก กำลังสงสัยอะไรอยู่จริง ๆ ด้วย
ผมรีบเดินนำเข้าไปในหอพักเพื่อตัดบทสนทนา แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“ยินดีต้อนรับ นักเรียนใหม่ที่ย้ายมาสินะครับ—” ดังขึ้นซ้ำ ๆ เหมือนกับหอพักฝั่งนู้น ผมได้ยินเสียงนี้ทุกครั้งที่เข้าหอพักคนเดียว น่าแปลกที่ไม่เคยมีใครนอกจากผมที่เคยได้ยินเสียงนี้เลย
พอลองบอกให้ซ่อมก็ไม่เคยจะซ่อมได้สักที
“เฮ้อ…..ระบบอัตโนมัติเสียอีกแล้วเหรอ” ผมเผลอถอนหายใจออกมา ก็เลยอาศัยโอกาสนี้หันไปเบี่ยงเบนความสงสัยของนักเรียนใหม่ด้วยการคุยเรื่องเสียงที่ว่าแทน ไม่รู้ว่าเขาตอบอะไรกลับมาเพราะโดนเสียงกลบจนหมด ผมก็เลยต่อบทสนทนาตัวเองให้จบ ระหว่างนั้นเองก็ได้เห็นคุณปีเตอร์สเบิร์กเดินมาอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์เพราะเห็นว่ามีคนเข้ามาในหอพัก
ผมเดินปรี่เข้าไปหาคุณปีเตอร์สเบิร์ก วันนี้เขาแต่งตัวเป็นพระคาร์ดินัล ปกติจะแต่งเหมือนกับบาทหลวงธรรมดา สงสัยว่าอยากจะให้ตัวเองเป็นที่จดจำของนักเรียนใหม่ น่าสงสารจัง
“สวัสดีครับคุณปีเตอร์สเบิร์ก” ผมกล่าวทักทายเหมือนทุกครั้ง
“อา…..อา…..!” คุณปีเตอร์สเบิร์กตอบเหมือนอย่างเคย เขาตาเบิกโพลง อ้าปากออกเสียงเหมือนกรามค้าง พลางชี้ไปที่นักเรียนใหม่
ในมือข้างที่ชี้มีกุญแจห้องอยู่ ผมถือว่านั่นคือข้อมูลที่คุณไซโนะต้องการบอกผม ผมก็เลยถือวิสาสะหยิบกุญแจดอกนั้นมาจากมือของเขาแล้วเดินกลับไปหานักเรียนใหม่
“คือว่า…..เมื่อกี้คุยกับใครอยู่—” นักเรียนใหม่ถามทันทีที่ผมเดินมาถึง
“คนนั้นเหรอครับ คุณปีเตอร์สเบิร์ก เป็นผู้ดูแลหอพักฝั่งนี้น่ะครับ” ผมตอบด้วยความมุ่งมั่นว่าชื่อของคุณปีเตอร์สเบิร์กจะถูกจดจำโดยนักเรียนใหม่คนนี้ ก็หวังว่าเขาจะจำได้ล่ะนะ
ผมนำเขาเข้าไปในลิฟต์ ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ ผมก็อธิบายวิธีการใช้ลิฟต์ให้เขา
ผ่านไปไม่นานลิฟต์ก็เปิดออก มีคนคนหนึ่งยืนรออยู่หน้าลิฟต์ สงสัยจะอยากใช้ลิฟต์ต่อ ผมก็เลยรีบพานักเรียนใหม่ออกมาจากลิฟต์ จากนั้นจึงอธิบายเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตในหอพักให้เขา ก่อนที่จะมอบกุญแจให้
ผมไม่ลืมที่จะเน้นย้ำชื่อของคุณปีเตอร์สเบิร์กก่อนจากไป ก็หวังว่าสุดท้ายแล้ว นักเรียนใหม่จะจำชื่อผู้ดูแลหอพักตัวเองได้นะ
จะว่าไปแล้ว นักเรียนใหม่คนนี้…..ชื่ออะไรนะ?