ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 1 กรอกตะกั่วสังหาร
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 1 กรอกตะกั่วสังหาร
ณ พระราชวัง แคว้นฉี
แสงเทียนส่องสลัวภายในคุกใต้ดิน บนเสาเหล็กมีโซ่เหล็กที่ทั้งหนาและแข็งแรงห้าเส้นพันธนาการหญิงสาวที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยเลือดเอาไว้
แม้จะมองเห็นใบหน้าของนางไม่ชัด แต่ชุดแต่งงานสีแดงก่ำบนเรือนร่างของนางก็ยังเด่นสะดุดตา
ความเงียบสงัดและความมืดมีอานุภาพมากพอที่จะทำให้คนเป็นบ้า แค่แขนของมู่หรงชิวขยับเล็กน้อย โซ่เหล็กก็ส่งเสียงทุ้มหนักตามมา
ประตูคุกใต้ดินอันมืดสลัวค่อยๆ เปิดออก ทำให้ลำแสงอันชวนให้แสบตาส่องลอดเข้ามา
มู่หรงชิวเพียงแค่เงยหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงเห็นเงาตะคุ่มของบุคคลที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
นั่นคือมู่หรงอี๋ สตรีผู้งดงามที่สุดในแคว้นฉี
ไม่ใช่แค่เพราะใบหน้าที่สวยสง่าและงดงามราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง แต่ยังเป็นเพราะกิริยาที่งดงามอ่อนช้อย แค่ท่วงท่าการเดินยังชวนให้ผู้คนหลงใหล
“มู่หรงอี๋!”
มู่หรงชิวกำมือแน่นจนโซ่เหล็กกระทบกันเสียงดัง
เป็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เป็นน้องสาวต่างมารดาของนางที่ทำร้ายนางจนนางตกมาอยู่ยังจุดนี้!
“ท่านพี่แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็จำได้ทันทีเลยหรือเจ้าคะว่าเป็นน้อง”
แสงไฟส่องต้องใบหน้าของมู่หรงอี๋ ทำให้ใบหน้าซึ่งงดงามหาใดเปรียบยิ่งดูมืดมนและน่าเกลียด
“ตอนที่เจ้าอายุสิบสามปี เพื่อฝึกร่ายรำตามที่ท่านอาจารย์สอน เท้าซ้ายของเจ้าจึงบาดเจ็บเรื้อรัง แม้จะเห็นไม่ชัดตอนก้าวเดิน แต่เท้าซ้ายของเจ้าลงน้ำหนักน้อยกว่าเท้าขวามาก”
มู่หรงอี๋แย้มยิ้มอย่างงดงาม “ไม่คิดว่าท่านพี่จะยังจำเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อนได้ เช่นนั้นท่านพี่ก็คงจะรู้ ว่าเป็นเพราะการร่ายรำอาภรณ์ขนนกสายรุ้งที่ท่านอาจารย์สอนนั้นเอง ที่ทำให้ฝ่าบาทรักใคร่โปรดปรานข้า”
“ทว่าน่าเสียดาย แม้ว่าท่านพี่จะมีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาด แต่ท่านพี่กลับดูแคลนที่จะเรียนรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ไม่แปลกใจเลย บุรุษที่ไหนจะชอบสตรีที่เอาแต่รบราฆ่าฟันตลอดทั้งวัน”
มู่หรงชิวเงยหน้า ดวงตาที่โหดเหี้ยมเฉียบคมจ้องมองไปยังเรือนร่างของมู่หรงอี๋
อันที่จริงนางไม่เคยสังเกตน้องสาวต่างมารดาผู้เป็นลูกของอนุภรรยาผู้นี้อย่างจริงจังมาก่อน ก่อนหน้านี้นางคิดแค่ว่ามู่หรงอี๋มีใบหน้าที่งดงามเหมือนหลิ่วอี๋เหนียง*ผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของมู่หรงอี๋ แต่ไม่เคยสังเกตเลยว่านางมีความทะเยอทะยานอย่างชั่วร้ายประหนึ่งหมาป่า!
ทว่าบัดนี้มู่หรงชิวไม่อยากพูดเรื่องไร้ประโยชน์กับนางอีกต่อไป
นางหลุบตาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นว่า “จวินฉีเซิ่งอยู่ที่ไหน ให้เขามาพบข้า!”
มู่หรงอี๋ไม่พอใจกับความเฉยเมยของมู่หรงชิว นิ้วเรียวยาวดั่งหยกกรีดกรายไปตรงหน้าดวงตาทั้งซ้ายและขวาของมู่หรงชิว นางยิ้มเยาะและกล่าวว่า “แหมๆ ฝ่าบาทต้องทรงงานหนัก พระองค์ทรงยกให้ข้าเป็นผู้ดูแลเรื่องของท่านพี่เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนตอนนี้จะมาพบท่านพี่ไม่ได้เสียแล้วละ”
มู่หรงอี๋โน้มตัวลงมาจับคางของมู่หรงชิวอย่างลำพองใจสุดจะพรรณนา
“ท่านพี่ผิดหวังหรือ อันที่จริงคนที่ผิดหวังควรจะเป็นฝ่าบาทมากกว่า ท่านพี่อภิเษกกับฝ่าบาทตั้งแต่อายุสิบห้าปี ตอนนี้อายุยี่สิบสองแล้ว ผ่านมาเจ็ดปีเต็ม แต่ยังไม่เคยให้กำเนิดบุตรเลยสักคน ไม่น่าแปลกหากฝ่าบาทจะทรงพบรักใหม่”
มู่หรงชิวเบือนหน้าหนีเพื่อสลัดให้หลุดจากนิ้วของนาง นางถุยน้ำลายและเอ่ยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะการล้อมปราบกบฏของหนานชางโหว*เมื่อห้าปีก่อน ข้าคงไม่โชคร้ายถูกจับเป็นเชลย ต้องหลบหนีจนเกือบตายอยู่บนหลังม้าหลายครั้งหลายครา เช่นนี้จะมีลูกได้อย่างไร”
“เขาพูดกับเจ้าอย่างนี้หรือ ไม่ให้กำเนิดบุตรมาตลอดเจ็ดปีงั้นหรือ เหตุใดเขาจึงไม่พูดถึงวันที่เพิ่งแต่งงานล่ะ เขาบอกกับข้าเอง ว่าไม่ว่าในภายภาคหน้าจะลำบากยากเข็ญอย่างไร เขาก็จะไม่มีวันละทิ้งข้า!”
มู่หรงอี๋ได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเสียงดัง “ปกติท่านพี่เป็นคนฉลาด ท่านเชื่อคำพูดเหล่านี้จริงๆ รึ”
“ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าเวลาที่ฝ่าบาทร่วมรักกับน้องอยู่ในห้องของท่านพี่ ฝ่าบาทตรัสกับน้องด้วยคำพูดที่น่าฟังยิ่งกว่านี้อีก?”
“พูดอย่างไม่ปิดบังท่านพี่เลยนะ ฝ่าบาททรงหวาดกลัวมานานแล้ว การล้อมปราบปรามกบฏของหนานชางโหวเมื่อห้าปีก่อนนั่นน่ะ เป็นเพียงหมากของฝ่าบาทเท่านั้น”
“เดิมทีฝ่าบาทพระองค์ก่อนต้องการรับสั่งให้ท่านอ๋องหวายหนานจวินหวาเทียนไปล้อมปราบกบฏ แต่ฝ่าบาทจะทรงปล่อยให้โอกาสนี้ตกไปอยู่ในมือผู้อื่นได้อย่างไร”
“พระองค์ทรงอ้อนวอนต่อฝ่าพระบาทครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อโอกาสนี้ จากนั้นจึงใช้ประโยชน์จากท่านพี่ ให้ท่านพี่กับตระกูลมู่หรงไปล้อมปราบกบฏ”
มู่หรงชิวจำได้ ตอนที่จวินฉีเซิ่งกลับมาในวันนั้น ใบหน้าของเขาซีดเซียวมาก นางเรียกหมอหลวงให้มาตรวจอาการ หมอบอกว่าจวินฉีเซิ่งมีอาการหนาวสั่นอย่างรุนแรงและยังลุกจากเตียงไม่ได้ไปอีกสองสามวัน
ดังนั้นนางจึงนำกองกำลังทหารม้าของตระกูลมู่หรงไปล้อมปราบกบฏอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่สนใจว่าตนเองกำลังท้องอยู่สามเดือน แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงหมากตาหนึ่งที่จวินฉีเซิ่งจงใจทำให้เกิดขึ้น หวังว่านางจะไปทำความดีความชอบแทนเขา
มู่หรงชิวได้แต่ยิ้มอย่างสังเวช ผู้ชายอย่างจักรพรรดิเลือดเย็นมาก พูดไม่มีผิด
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของมู่หรงชิวยังคงสงบนิ่ง มู่หรงอี๋จึงกระตุ้นต่อไปว่า “สมแล้วที่เป็นผู้เจนจัดในสนามรบ ท่านพี่ควบคุมจิตใจได้ดีกว่าที่น้องคิด แต่ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าอันที่จริง หนานชางโหวคือคนของฝ่าบาท”
ในที่สุดความตื่นตะลึงก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของมู่หรงชิว หนานชางโหวกับตระกูลมู่หรงเป็นโหวฝ่ายบู๊เหมือนกันมานาน และขัดแย้งกันมาหลายชั่วอายุคน เป็นศัตรูกันมานานขนาดนั้น หนานชางโหวจะเป็นคนของจวินฉีเซิ่งได้อย่างไร!
เมื่อเห็นว่าในที่สุดนางก็หน้าเสีย มู่หรงอี๋จึงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ช่วงชีวิตหนึ่งได้เห็นท่านพี่แสดงสีหน้าแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องที่สาแก่ใจยิ่งนัก”
“หรือท่านคิดว่าอาณาเขตของหนานชางโหวเป็นที่ที่หลบหนีได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ? นั่นเป็นเพราะฝ่าบาทกับหนานชางโหววางแผนกันไว้ตั้งแต่แรก ทำให้ตระกูลมู่หรงมิอาจให้กำเนิดเชื้อสายแห่งราชวงศ์”
“สิ่งที่ทำให้ท่านพี่มีบุตรไม่ได้จริงๆ น่ะ คือน้ำทำหมันที่ฝ่าบาทนำมาให้ท่านพี่กินกับหัตถ์ของพระองค์หลังจากท่านพี่กลับมาที่จวน!”
มู่หรงชิวจ้องมองนางอย่างโหดเหี้ยม “เจ้าคิดจะโกหกข้างั้นหรือ หนานชางโหวถูกพี่ชายของข้าสังหารจนตกจากหลังม้าไปนานแล้ว ต่อให้หนานชางโหวกับจวินฉีเซิ่งจะเคยสมคบคิดกัน เขาก็ไม่มีทางยอมสละชีวิตและตำแหน่งเพื่อจวินฉีเซิ่ง!”
มู่หรงอี๋ยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ท่านพี่ยังไม่รู้ท่าทีการวางตัวของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีความคิดที่ละเอียดอ่อน หนานชางโหวถูกบังคับให้ต้องล่าถอยอย่างไม่มีทางเลือกเพราะการฟ้องร้องของตระกูลมู่หรง ฝ่าบาทจะฝืนพระประสงค์ของฝ่าบาทพระองค์ก่อนได้อย่างไร”
“ดังนั้นพระองค์จึงแอบไปพบหนานชางโหวอย่างลับๆ เพื่อหารือเรื่องนี้ หาตัวตายตัวแทนมาให้พี่ชายของท่านสังหาร วันต่อมาจึงส่งหนานชางโหวไปอยู่ที่ลั่วหยาง หนานชางโหวเป็นพวกมักมากในกาม ในเมืองหลวงมีใครบ้างที่ไม่รู้?”
“ฝ่าบาทเพียงแค่ส่งสตรีที่งดงามที่สุดไปให้ทุกๆ เดือน ดังนั้นจึงเก็บหนานชางโหวไว้ได้จนถึงตอนนี้ เวลานี้เมื่อหนานชางโหวได้ตำแหน่งขุนนางกลับคืนก็ถือเป็นการพลิกโฉมใหม่ เมื่อวานที่ตระกูลมู่หรงถูกตัดหัวทั้งตระกูลก็เป็นการกำกับการประหารของเขา!”
โซ่ที่พันธนาการมู่หรงชิวส่งเสียงกระทบกันอย่างรุนแรง
นางจ้องมองมู่หรงอี๋ราวกับจะสูบเลือดสูบเนื้อของมู่หรงอี๋ให้หมดตัว
“ในเมื่อตระกูลมู่หรงถูกตัดหัวประหารจนหมดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังมายืนอยู่ตรงนี้!”
นางมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไร!
มู่หรงอี๋ลำพองใจยิ่งนัก “เวลานี้ข้าเป็นยอดดวงใจของฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรงยอมให้ข้าตายได้อย่างไร ข้าในตอนนี้น่ะ คือหรงเฟยในพระราชวัง!”
ใบหน้าของมู่หรงชิวไม่ปรากฏความเศร้าใดๆ ผู้ชายในตระกูลกษัตริย์เกิดมาไร้ความปรานี ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้นางเคยมีความหวังริบหรี่ ตอนนี้ก็เรียกได้ว่านางไม่เหลือความหวังใดๆ แล้ว
มู่หรงชิวยิ้มเยาะและกล่าวว่า “หรงเฟย? เป็นแค่บุตรีของอนุ คนอย่างจวินฉีเซิ่งก็แค่เล่นสนุก เขาไม่มีทางยอมให้เจ้าให้กำเนิดบุตรของเขา เจ้าเกิดมาต่ำต้อย มู่หรงอี๋ ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็เป็นได้แค่นางสนม น่าระอาเหมือนแม่ของเจ้า!”
มู่หรงชิวเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง นางเกิดมาโหดเหี้ยมไร้ความปรานี แต่สุดท้ายกลับต้องมาทำลายชีวิตของทั้งตระกูลเพราะชายหญิงแพศยาคู่นี้
“เจ้า!”
มู่หรงอี๋หรี่ตาลงเล็กน้อย นางเอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูน่ากลัวว่า “เก่งดีนี่มู่หรงชิว เจ้าพยายามได้ดีที่ยังเยาะเย้ยข้าได้ แต่น่าเสียดายที่ชะตาชีวิตของเจ้าจบสิ้นแล้ว!”
แสงเพลิงส่องกระทบลงบนใบหน้าซีกหนึ่งของมู่หรงอี๋ ทำให้นางดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม “ข้ามู่หรงอี๋เกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่งดงามกว่าเจ้า ชำนาญทั้งการดีดฉิน หมากรุก การประดิษฐ์อักษรและการวาดภาพ! ข้าจะปล่อยให้เจ้าเหยียบหัวของข้าอีกได้อย่างไร! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสถึงความรู้สึกของการตกจากก้อนเมฆลงสู่โคลนตม!”
นางสั่งคนที่อยู่ข้างหลังอย่างเย็นชาว่า “ไปเอาตะกั่วมาให้ข้า!”
ชายผู้ถือคบเพลิงเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ที่ฝ่าบาททรงรับสั่งคือให้ใช้ผ้าขาว…”
“กำแหง! ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องของมู่หรงชิว! นั่นหมายถึงให้ข้าจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จ! เจ้าเป็นใครจึงกล้าขัดความประสงค์ของข้า!”
มู่หรงอี๋เอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “ให้ตาย! ไปเอาตะกั่วมา!”
ใบหน้าของมู่หรงอี๋เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ความงดงามน่าหลงใหลที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวน่าเกลียด
ตะกั่วยังร้อนผ่าว เมื่อเข้าคอไปแล้ว แม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมาก็ยังไม่มีโอกาส แขนขาของมู่หรงชิวถูกผูกติดแน่นอยู่กับเสาเหล็กและไม่มีทางหลุดออกมาได้เลย นิ้วของนางถูกหักทีละนิ้ว นางทำได้แค่ปล่อยให้มู่หรงอี๋กรอกตะกั่วร้อนๆ เข้ามาในปากทีละช้อน จนตะกั่วค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากใบหน้า เห็นแล้วชวนให้พะอืดพะอมเป็นอย่างยิ่ง
โซ่เหล็กปะทะกันจนเกิดเสียงดังมิใช่น้อย ตะกั่วที่ตกลงไปในช่องท้องค่อยๆ จับตัวเป็นก่อน ความเจ็บปวดทำให้เนื้อตัวของมู่หรงชิวถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
มู่หรงชิวรู้สึกเพียงแค่ว่านางเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เสียงที่อยู่รอบกายค่อยๆ จางหายไป ทว่าสิ่งสุดท้ายที่สะท้อนอยู่ในดวงตาก็คือภาพที่มู่หรงอี๋บีบคอนางและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หากชาติหน้ามีจริง มู่หรงชิวผู้นี้จะไม่เชื่อใจบุรุษอีกต่อไป!