ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 112 อ๋องหวา จวินหวาเทียน
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 112 อ๋องหวา จวินหวาเทียน
ไม่เกี่ยวกับนางจริงๆ คนที่อวี่เหวินเจี๋ยชอบคือวิญญาณในอดีตของร่างกายนี้ ไม่ใช่นาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมจะต้องไปให้ความหวังจอมปลอมกับอวี่เหวินเจี๋ยอีก
จูเอ๋อร์ถอยออกไปช้าๆ ภายในห้องเหลือเพียงกู้ชิวเหลิ่งคนเดียวเท่านั้น
เพราะการตายของกู้ชิวเซียงทำให้ฮูหยินใหญ่ล้มป่วยลง และโลงศพของกู้ชิวเซียงก็วางเอาไว้ที่ห้องโถงของจวนกู้โหว หลายวันที่ผ่านมานี้ จวนกู้โหวล้วนแขวนโคมไฟสีขาวและผ้าแพรต่วนสีขาวตลอด
เพียงแต่ว่าวันนี้ตอนที่อวี้ฉือกงประกาศราชโองการการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี กู้หนานเฉิงถึงจำต้องรื้อสีขาวทั้งหมดออก เพียงแค่วางโลงศพของกู้ชิวเซียงเอาไว้ในห้องโถงเท่านั้น จุดธูปสองดอกเป็นครั้งคราว ไม่ได้มีใครไปสักการะ
ฮูหยินใหญ่นอนอยู่บนเตียง บนใบหน้าซีดขาวไม่มีสีเลือดอยู่แล้ว ชี้ไปที่บ่าวรับใช้ชายที่เดินไปเดินมาในห้องของนาง กล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทา: “ใครอนุญาตให้พวกเจ้าดึงผ้าขาวลงมา? เซียงเอ๋อร์ไปแล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงกล้าแต่งตัวอย่างมีสีสันเช่นนี้! ห้ามแตะต้องผ้าม่านเป็นอันขาด! เซียงเอ๋อร์ของข้า……”
แม่นมโจวคุกเข่าอยู่บนพื้น กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ: “ฮูหยินใหญ่ นี่เป็นคำสั่งของนายท่าน พวกเราก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน”
“นายท่าน? เป็นไปไม่ได้! เซียงเอ๋อร์คือลูกสาวแท้ๆของเขานะ! เซียงเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของข้าตายอย่างอนาถขนาดนั้น ยังไม่มีคนส่งศพไปยังสถานที่ฝังอีก โลงศพที่วางเอาไว้ในห้องโถงล่ะ? เจ้าไปบอกนายท่าน ให้นายท่านฝังศพอย่างยิ่งใหญ่เดี๋ยวนี้เลย!”
แม่นมโจวรีบร้อนปิดปากของฮูหยินใหญ่เอาไว้ กล่าวว่า: “ทำเช่นนั้นไม่ได้! ตอนนี้ฝ่าบาทประกาศราชโองการ บอกว่าเป็นงานมงคลสมรสของสองแคว้น ตอนนี้บ้านใครก็ไม่กล้าจัดงานศพทั้งนั้น เพราะเหตุผลนี้นายท่านของเรา ถึงได้สั่งการให้บรรดาบ่าวรับใช้เฒ่าปลดผ้าขาวในจวนพวกนี้ ถอดชุดไว้ทุกข์ออก”
ฮูหยินใหญ่ดูเหมือนกับคลุ้มคลั่งขึ้นมา สะบัดมือของแม่นมโจวทิ้งไปอย่างแรง แหกปากตะโกนออกมาว่า: “ข้าไม่สนใจงานแต่งงานของสองแคว้นอะไรนั่น! เซียงเอ๋อร์ของข้าจากไปแล้ว ยังจะไม่ให้ฝังศพอีกหรือ! ข้าต้องการพบนายท่าน! พวกเจ้าไปเรียกท่านมา!”
“เอะอะโวยวายอะไรกัน!”
กู้หนานเฉิงเพิ่งจะก้าวเท้าเข้ามา เดิมทีจะมาเพื่อดูอาการป่วยของฮูหยินใหญ่ เข้าประตูมาก็ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาในทันใด
ฮูหยินใหญ่ฝืนลุกขึ้นมาจากเตียง น้ำตาไหลอาบหน้า: “นายท่าน เซียงเอ๋อร์ของเราจะล่าช้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ข้าจะฝังเซียงเอ๋อร์เดี๋ยวนี้เลย เซียงเอ๋อร์คือลูกสาวที่ท่านรักมากที่สุด ท่านทนแข็งใจไม่ให้นางได้กลับไปพักใต้ผืนดินอย่างสงบสุขได้อย่างไร!”
บนใบหน้าของกู้หนานเฉิงเต็มไปด้วยความไร้น้ำใจ กล่าวออกมาอย่างเย็นชา: “หุบปาก! ตอนนี้สองแคว้นมีงานมงคลสมรส จะจัดงานศพได้อย่างไร? ข้าในฐานะที่มีตำแหน่งโหว ย่อมต้องทำตัวเป็นแบบอย่างอยู่แล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่กันแน่? เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าพูดอะไรออกมา!”
ฮูหยินใหญ่เบิกตากว้าง ตะโกนกล่าวออกมาอย่างโวยวายไร้เหตุผล: “ข้าไม่สน! กู้หนานเฉิง! ข้าแต่งงานกับท่านมาหลายปีขนาดนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าก็ดูแลจวนโหวแห่งนี้อย่างดี ตอนที่ท่านลำบาก บ้านแม่ข้าก็ยังช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มกำลัง เจ้าอย่าลืมนะว่าตอนนั้นใครเป็นคนสนับสนุนเจ้าให้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนี้ได้! ตอนนี้ข้าต้องการฝังศพเซียงเอ๋อร์ของข้า! ตอนนี้ข้าก็ต้องการจะ……”
“เพียะ—-! ! !”
หนึ่งฝ่ามือของกู้หนานเฉิงตบไปบนใบหน้าของฮูหยินใหญ่อย่างไร้ความปรานี แม่นมโจวต้องการจะขวางกู้หนานเฉิงเอาไว้ กลับถูกกู้หนานเฉิงใช้เท้าถีบออกไป ชี้ไปทางฮูหยินใหญ่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความน่าเวทนาแล้วกล่าวเตือน: “เจ้าจำเอาไว้เลยนะ จวนโหวแห่งนี้ข้าเป็นใหญ่! ตำแหน่งนายหญิงนี้หากเจ้าไม่อยากจะเป็นจริงๆ ย่อมจะมีคนมารับช่วงต่อจากเจ้า!”
ฮูหยินใหญ่กุมหน้าที่บวมแดงไปแล้วครึ่งหน้าเอาไว้ ในดวงตานั่นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต ในอดีตตอนที่นางแต่งงานกับกู้หนานเฉิง กลับไม่รู้ว่ากู้หนานเฉิงจะไร้ความปรานีเช่นนี้
หลังจากที่กู้หนานเฉิงสะบัดแขนเสื้อจากไป ฮูหยินใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้นมาว่า: “เจ้าไปจัดการ ให้ท่านแม่ข้าลดเกียรติมารอบหนึ่ง ข้าจะให้กู้หนานเฉิงดูว่า จวนโหวแห่งนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนกุมอำนาจของนายหญิง!”
แม่นมโจวคุกเข่าอยู่บนพื้น กล่าวว่า: “ฮูหยินใหญ่สู้กับนายท่านอย่างประชันหน้าเช่นนี้ กลัวแต่ว่า……”
“ทำไม? ตอนนี้เจ้ากลับกลัวขึ้นมาแล้วหรือ? ถ้าหากกู้หนานเฉิงรู้เข้าว่า ตอนนั้นอี๋เหนียงสามตายอย่างไรกันแน่ เจ้าคิดว่าเจ้ากับข้ายังจะหนีไปไหนได้?”
ในหัวของแม่นมโจวมีภาพมากมายปรากฏขึ้นมา อย่างเช่นนางใส่ยาลงไปในน้ำแกงของอี๋เหนียงสามอย่างไร หรืออย่างเช่นนางฆ่าหมอที่เขียนใบสั่งยาในตอนนั้นอย่างไร
แม่นมโจวไม่พูดอะไรอีก บนใบหน้าของฮูหยินใหญ่เต็มไปด้วยความอำมหิต: “กู้หนานเฉิง เจ้าเป็นคนไร้ความปรานีก่อนเอง ก็อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน!”
เวลาล่วงเลยไปถึงกลางดึกของวัน พระจันทร์ลอยอยู่บนฟ้าสูง ลมพัดไห่ถัง
ผู้ชายที่สวมชุดคลุมสีขาวพระจันทร์คนหนึ่ง เงาถูกทอดยาว ผมที่ดำขลับมีเพียงปิ่นปักผมหยกขาวอันหนึ่งรวบเอาไว้อย่างเรียบง่าย เขายืนเอามือไขว้หลัง สีหน้าที่ซีดขาวแฝงรอยยิ้ม คิ้วที่อ่อนโยนยาวและแคบ ดูเหนื่อยล้าจากการเจ็บป่วยเล็กน้อย
เสียงของเขาเย็นชาขาดสีสัน ราวกับดวงจันทร์สว่างแสง: “อาชิว ข้าไปแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งลืมตาขึ้นมาในทันใด รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย นางไม่ได้ฝันถึงผู้ชายคนนั้นนานมากแล้ว
หลังจากที่จวินฉีเซิ่งบีบบังคับให้ฝ่าบาทสละราชบัลลังก์และขึ้นครองบัลลังก์ องค์รัชทายาทจวินลี่เปิ่นฆ่าตัวตายในตำหนักตงกง พระชายารัชทายาทก็ผูกคอตายตามไปด้วย อ๋องหวาจวินหวาเทียนถูกใส่ร้ายว่าก่อกบฏ นางในตอนนั้นยังไม่เรื่องราวภายในของเหตุการณ์ นึกว่าจวินหวาเทียนก่อกบฏจริงๆ และจวินฉีเซิ่งก็แค่ทำลายล้างกลุ่มกบฏเท่านั้น
นางยังเคยคุกเข่าอยู่บนพื้นอ้อนวอนให้จวินฉีเซิ่งปล่อยจวินหวาเทียนไปสักครั้ง ท้ายที่สุดจุดจบของจวินหวาเทียนคือการถูกเนรเทศ
แต่ว่าตอนนี้มาคิดดูแล้ว แม้แต่หนานชางโหวจวินฉีเซิ่งก็ยังสามารถปกป้องมาถึงตอนนี้ได้ ถึงขั้นใช้หนานชางโหวทำลายล้างตระกูลมู่หรงของนางทั้งตระกูล แล้วการจะปลอมแปลงให้อ๋องหวาก่อการกบฏมันจะไปยากอะไร?
นางยังจำได้ว่า จวินฉีเซิ่งแทบจะทนรอที่จะส่งจวินหวาเทียนออกไปไม่ไหว สั่งให้คนใส่เครื่องจองจำให้กับจวินหวาเทียน เนรเทศไปยังชายแดนในคืนนั้นเลย นั่นคือครั้งสุดท้ายที่นางได้พบกับจวินหวาเทียนที่เติบโตมาพร้อมกับนางตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเขาพูดเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น และก็เป็นคืนวันนั้น หลังจากที่นางดื่มเหล้าอำลา ก็หมดสติล้มลงไปกับพื้น หลังจากที่ตื่นมาก็คือคุกใต้ดินที่เย็นยะเยือก
ทุกอย่างเป็นเพียงแผนการของจวินฉีเซิ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จวินหวาเทียนถูกใส่ร้าย แล้วก็นาง หรือว่าจะเป็นตระกูลมู่หรงและหนานชางโหว ก็เป็นเพียงบันไดที่จะช่วยให้เขาก้าวขึ้นไปสู่บัลลังก์เท่านั้น
ผ่านไปสามปีแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากที่จวินหวาเทียนจากไปวันนั้น ยังจะสามารถเอาชีวิตรอดไปถึงชายแดนหรือไม่
กู้ชิวเหลิ่งเดินเท้าเปล่าไปถึงหน้าโต๊ะหนังสือ จุดเทียนขึ้นมาหนึ่งเล่ม เขียนข้อความลงไปบนกระดาษข้อความ: ที่อยู่อ๋องหวาแห่งแคว้นฉี เหลิ่ง
กู้ชิวเหลิ่งถือกระดาษข้อความด้วยตัวเอง เดินออกจากประตูห้อง ปล่อยนกพิราบสื่อสารที่แขวนอยู่ใต้ชายคาทางเดินลงมา มองดูนกพิราบสื่อสารบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด หายลับไปจากสายตา ถึงได้กลับเข้าไปในห้อง
หากในโลกใบนี้ยังมีใครที่สามารถเอาชนะจวินฉีเซิ่งแล้ว ยังสามารถสืบทอดราชสมบัติได้อย่างมีเหตุมีผล มีวิธีที่ดีกว่าในการปกครองแผ่นดินของแคว้นฉี ก็คงมีแต่จวินหวาเทียนเท่านั้นแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ หยิบพู่กันขึ้นมา วาดภาพเหมือนของจวินหวาเทียนบนกระดาษ ในตอนที่วาดภาพเสร็จ ทางด้านอวี้ฉือจ้านก็มีข้อความตอบกลับมาแล้วเช่นกัน
กู้ชิวเหลิ่งวางพู่กันที่อยู่ในมือลง คลี่กระดาษข้อความที่ตอบกลับมาออก เห็นเพียงข้างบนเขียนเอาไว้เพียงห้าคำ: เป็นตายไม่รู้ จ้าน
ในเมื่ออวี้ฉือจ้านสามารถให้คำตอบได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ย่อมต้องตามหาจวินหวาเทียนมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีข่าวมาโดยตลอด ในสายตาของกู้ชิวเหลิ่ง คำตอบมีได้เพียงสองอย่างเท่านั้น: อย่างแรก จวินหวาเทียนหาทางออกได้นานแล้ว อย่างที่สอง จวินหวาเทียนถูกประหารอย่างลับๆนานแล้ว