ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 114 พูดจาฉะฉานคล่องแคล่ว
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 114 พูดจาฉะฉานคล่องแคล่ว
กู้ชิวเหลิ่งดูเหมือนจะไม่ได้สนใจการเป็นปรปักษ์ของหลิวเล่าฮูหยิน แต่โค้งคำนับอย่างเคารพนบนอบ กล่าวว่า: “กู้ชิวเหลิ่งน้อมทักทายเล่าฮูหยิน”
“ข้าไม่กล้ารับการคำนับของคุณหนูรองหรอก! การตายของเซียงเอ๋อร์เรายังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด แต่คุณหนูรองกลับแต่งกายด้วยชุดที่มีสีสันเช่นนี้ จงใจจะให้แสลงตาต่อหน้าข้าหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างช้าๆ: “เหลิ่งเอ๋อร์ก็แค่ทำตามความประสงค์ของท่านพ่อ ตอนนี้สองแคว้นมีงานมงคลสมรส ถึงแม้จะเป็นชาวบ้านยากจนก็ไม่กล้าแขวนโคมสีขาว อีกอย่างท่านพ่อเป็นโหวเย๋ ย่อมต้องทำตัวเป็นแบบอย่างอยู่แล้ว ไม่สามารถดูหมิ่นอำนาจฝ่าบาทได้ อีกอย่างเหลิ่งเอ๋อร์เห็นว่าวันนี้เล่าฮูหยินแต่งกายด้วยชุดที่แพรวพราวโดดเด่น งดงามตระการตา ดูท่าทางก็ไม่กล้าก้าวล่วงพระพักตร์ฝ่าบาทเช่นกัน ในเมื่อเป็นเรื่องที่เล่าฮูหยินยังไม่กล้าทำ แล้วท่านพ่อจะกล้าแข่งขันกับฮูหยินใหญ่ได้อย่างไรกัน?”
“ช่างเป็นปากที่มีคารมคมคายเสียนี่กระไร ลูกสาวแสนดีที่กู้หนานเฉิงเลี้ยงดูมา ไม่แสดงตัวมานานหลายปีขนาดนี้ คนใบ้ในอดีตก็สามารถพูดจาคล่องแคล่วฉะฉานเช่นนี้ได้ ในโลกนี้ยังมีเรื่องที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่อีกหรือ?”
“ในอดีตเหลิ่งเอ๋อร์อายุยังไม่ครบสิบสี่ ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ว่าตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ วันหน้าเหลิ่งเอ๋อร์ก็ย่อมสมควรต้องเรียนรู้มารยาทของราชวงศ์ ยิ่งต้องพูดจาฉะฉาน คล่องแคล่วโน้มน้าวจิตใจเก่ง มิเช่นนั้นจะเป็นการเนรคุณต่อพระประสงค์อันดีงามของฝ่าบาท”
หลิวเล่าฮูหยินมองพิจารณากู้ชิวเหลิ่งโดยละเอียด ในตอนที่ฮูหยินใหญ่ส่งจดหมายให้นาง ก็กล่าวถึงกู้ชิวเหลิ่งโดยเฉพาะ ครั้งก่อนตอนที่กู้ชิวเซียงถูกกู้หนานเฉิงตี นางก็สังเกตเห็นกู้ชิวเหลิ่งแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นรู้สึกเพียงว่าเป็นแค่คนที่ไม่มีความสำคัญคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ตอนนี้ดูเหมือนว่ากู้ชิวเหลิ่งคนนี้จะมีวิธีการอยู่เล็กน้อยจริงๆ
การตายของกู้ชิวเซียงฮูหยินใหญ่ก็ปัดความผิดไปให้กับกู้ชิวเหลิ่ง เดิมทีหลิวเล่าฮูหยินยังไม่เชื่อว่าบุตรีอนุภรรยาคนหนึ่งจะมีทักษะความสามารถเช่นนี้ แต่วันนี้เผชิญหน้ากับกู้ชิวเหลิ่งด้วยตัวเอง ถึงได้รู้ว่ากู้ชิวเหลิ่งพูดจาฉะฉานคล่องแคล่วฝีปากเก่งอย่างไร
หลิวเล่าฮูหยินฮึเย็นชาออกมาคำหนึ่ง กล่าวว่า: “ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะโปรดปราน แต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ ข้างในก็ยังคงมีเลือดชั้นต่ำไหลเวียนอยู่ ในฐานะที่เป็นลูกสาวจากอานุทุกอย่างต้องยึดผู้เป็นนายเป็นที่เคารพนับถือ ข้าในฐานะที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้า ถ้าหากว่าข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูด ที่นี่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด!”
ใบหน้าของกู้หนานเฉิงดำจนไม่สามารถดำได้อีก ตั้งแต่เริ่มแรกหลิวเล่าฮูหยินก็โจมตีคนอย่างเงียบๆ เหยียบย่ำเกียรติยศศักดิ์ศรีของเขาเอาไว้ใต้เท้า เวลานี้หลิวเล่าฮูหยินก็เอ่ยปากขึ้นมาอีกจริงๆ: “ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะรับตัวเซียงเหลียนกลับจวนกั๋วกง ท่านกู้โหวเย๋จะรับปากหรือไม่? ให้คำตอบที่มั่นใจไม่เปลี่ยนแปลงด้วย!”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่กู้หนานเฉิงจะตัดสินใจได้เลย ประการแรกหลิวเล่าฮูหยินบังคับพาคนไปก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว เขาไม่สามารถล่วงเกินตระกูลฉินได้ ประการที่สอง ทันทีที่หลิวเล่าฮูหยินพาตัวฮูหยินใหญ่ไป พรุ่งนี้จะต้องมีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นชื่อเสียงของท่านกู้โหวเย๋อย่างเขาคนนี้ก็ยิ่งจะถูกทำลายไปในคราวเดียว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน สุดท้ายก็ล้วนได้ไม่คุ้มเสียทั้งนั้น
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยปากกล่าวอย่างราบเรียบ: “ไม่ได้”
หลิวเล่าฮูหยินขมวดคิ้วแน่น กระทุ้งไม้เท้าที่อยู่ในมืออย่างแรง กล่าวด้วยความโกรธ: “ก็แค่บุตรีของอนุภรรยาในจวนโหวคนหนึ่ง! ที่นี่เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด!”
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้า กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย: “วันนี้เล่าฮูหยินมาโดยมิได้รับเชิญ ก็ถือเป็นการบุกรุกบ้านพักจวนโหวระดับเอกโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ท่านพ่อก็แค่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของสองครอบครัว ดังนั้นจึงไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง แต่ตอนนี้เล่าฮูหยินกลับเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน แล้วจะได้รับการเคารพนับถือจากรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างเราได้อย่างไร? ท่านแม่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะว่าความโศกเศร้าเสียใจที่มากเกินไปเท่านั้น จวนโหวย่อมจะดูแลอย่างเหมาะสม ตอนนี้เล่าฮูหยินจะพาตัวท่านแม่ไป ไม่เพียงแต่จะทำให้คนพูดว่าตระกูลฉินกระทำการอุกอาจไร้เหตุผล แต่ยังทำให้คนคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอีกด้วย ถึงเวลาคำพูดพวกนี้ได้ยินไปถึงหูของฝ่าบาท ไม่ทราบว่าเล่าฮูหยินมีคำอธิบายของตนเองหรือยัง?”
หลิวเล่าฮูหยินกล่าวด้วยเสียงที่เคร่งขรึม: “เซียงเหลียนเป็นลูกสาวของข้า……”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวตัดบท: “ถึงแม้ท่านแม่จะเป็นลูกสาวของเล่าฮูหยินท่าน แต่ก็เป็นภรรยาของท่านพ่อ นายหญิงของจวนกู้โหวเช่นกัน ไม่มีหลักการที่ว่าลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วจะสามารถพากลับไปได้อีกหรอกนะ?”
“เจ้า!”
กู้ชิวเหลิ่งโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวว่า: “คำพูดเมื่อครู่ของเหลิ่งเอ๋อร์ล่วงเกินแล้ว เพียงแต่ว่าคำพูดที่เหลิ่งเอ๋อร์พูดทุกคำล้วนคำนึงถึงหน้าตาของเล่าฮูหยินกับท่านพ่อทั้งนั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน เล่าฮูหยินโปรดอย่าถือโทษโกรธเจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งสกัดกั้นคำพูดของหลิวเล่าฮูหยินเอาไว้ กู้หนานเฉิงมองดูกู้ชิวเหลิ่ง ในดวงตามีแววตาความเห็นชอบแล้ว
หลิวเล่าฮูหยินจะไม่รู้หลักการพวกนี้ได้อย่างไร? แต่เป็นเพราะนิสัยจองหองจนเคยตัวในอดีต บวกกับเดิมทีนางก็เป็นฮูหยินเก้ามิ่งระดับเอกอยู่แล้ว ทุกคนล้วนต้องให้ความเคารพนางสามส่วน ไม่กล้าตำหนิต่อหน้า และนางยังลูกชายที่เป็นกั๋วกงอีกคนหนึ่ง ย่อมไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว
กู้ชิวเหลิ่งกล้าพูดคำเหล่านี้กับหลิวเล่าฮูหยินในเวลานี้ ประการแรกคือนางรู้ว่า กู้หนานเฉิงไม่มีทางยอมถอยให้ในเรื่องนี้เด็ดขาด แต่ก็ติดอยู่ที่ความสัมพันธ์ของสองตระกูล ก็เลยไม่กล้าโกรธเคือง ที่นางพูดเช่นนี้ก็เพียงเพื่อให้กู้หนานเฉิงมีเหตุผลที่ดีในการปฏิเสธหลิวเล่าฮูหยิน เช่นนี้ไม่เพียงแต่สามารถทำให้ฮูหยินใหญ่ตัดขาดการติดต่อกับตระกูลฉินเท่านั้น ภายในระยะเวลาหนึ่งก็ไม่สามารถหนีรอดสายตาของนางไปได้ ยิ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกู้หนานเฉิงกับฮูหยินใหญ่ชะงักงัน ถึงขั้นเลวร้ายลง
ประการที่สอง ก็คือนางจงใจค่อยๆเปิดเผยลักษณะความสามารถของนางต่อหน้ากู้หนานเฉิง ในอดีตกู้ชิวเซียงได้รับความโปรดปรานทั้งหมดของกู้หนานเฉิงเพราะความงามและฐานะลูกสาวของภรรยาเอก แต่ว่าตอนนี้กู้ชิวเซียงตายไปแล้ว ถึงแม้นางจะเป็นลูกสาวของอนุภรรยา แต่กลับได้รับการชื่นชมของอวี้ฉือกงกับอวี้ฉือจ้าน ตกรางวัลให้ด้วยตัวเองยังไม่พอ ยังแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่ บวกกับนางช่วยแก้ไขปัญหาให้กับกู้หนานเฉิงในครั้งนี้อีก ต่อไปนางอยู่ในจวนกู้โหวแห่งนี้ก็จะยิ่งราบรื่นมากขึ้นเรื่อยๆ
หลิวเล่าฮูหยินมองไปที่กู้หนานเฉิงอย่างเฉียบขาด กล่าวด้วยสายตาแหลมคม: “ท่านกู้โหวเย๋คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”
กู้หนานเฉิงรู้ว่านี่คือทางลงทางหนึ่ง รีบร้อนกล่าวว่า: “เล่าฮูหยินโปรดวางใจ เซียงเหลียนอยู่ในจวนจะได้พักผ่อนเป็นอย่างดี”
หลิวเล่าฮูหยินมองไปที่เอี้ยนซานเหนียงที่อยู่บนพื้นครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่กู้ชิวเหลิ่งครู่หนึ่ง กล่าวว่า: “ได้ ถ้าหากข้ารู้ว่าเซียงเหลียนอยู่ที่นี่แล้วได้รับความลำบากแม้แต่น้อย ข้าจะต้องกลับมาขอคำอธิบายอย่างแน่นอน!”
หลิวเล่าฮูหยินสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป ไม่มีความอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย
กู้หนานเฉิงกำหมัดคารวะแล้วกล่าวอย่างตาปริบๆ: “น้อมส่งเล่าฮูหยิน!”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้ว กล่าวว่า: “ท่านพ่อ ลูกขออำลา”
กู้หนานเฉิงพยักหน้าอย่างสุขุม กล่าวด้วยท่าทีเห็นชอบ: “ครั้งนี้เจ้าเข้าใจสถานการณ์ดีมาก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“ลูกขออำลา”
ก่อนที่จะจากไป กู้ชิวเหลิ่งมองไปที่เอี้ยนซานเหนียงที่อยู่บนพื้นครู่หนึ่ง
ท้องฟ้าเพิ่งจะสาง กู้หนานเฉิงไม่ทันได้คิดจะถามกู้ชิวเหลิ่งว่าทำไมถึงรู้เรื่องที่หลิวเล่าฮูหยินมา มีเพียงกู้ชิวเหลิ่งและเอี้ยนซานเหนียงเท่านั้นที่รู้
ขณะที่นางเตรียมตัวจะนอนเมื่อคืนวานนี้ ก็ได้รับจดหมายของอวี้ฉือจ้านอีก เมื่อรู้ว่าฮูหยินใหญ่แอบให้แม่นมโจวที่อยู่ข้างกายติดต่อกับตระกูลฉิน นางก็รู้แล้วว่าวันนี้จะมีการปะทะคารมเกิดขึ้น และในตอนท้ายของจดหมายเขียนเอาไว้ว่าเอี้ยนซานเหนียงจะเป็นกำลังหนุนให้ นางก็เข้าใจได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ดังนั้นวันนี้ถึงได้มาปรากฏตัวในห้องของกู้หนานเฉิงโดยบังเอิญเช่นนี้
หลังจากที่กู้ชิวเหลิ่งจากไปอย่างสมบูรณ์แล้ว กู้หนานเฉิงถึงได้ทำหน้าเคร่งขรึมลงมา สั่งการพ่อบ้าน: “เฝ้าฮูหยินใหญ่เอาไว้ให้ดี อย่าให้ข่าวในลานของฮูหยินใหญ่รั่วไหลออกไปแม้แต่เรื่องเดียว!”