ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 115 เดิมพัน
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 115 เดิมพัน
เอี้ยนซานเหนียงลุกขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าครึ่งหนึ่งสามารถมองเห็นรอยฝ่ามือสีแดงอย่างชัดเจน
กู้หนานเฉิงโอบไหล่ของเอี้ยนซานเหนียงเอาไว้ด้วยความเอ็นดูสงสาร ลดเสียงลงมาแล้วกล่าวว่า: “ทำให้เจ้าได้รับความน้อยใจแล้ว”
เอี้ยนซานเหนียงส่ายหน้า กล่าวว่า: “ซานเหนียงไม่น้อยใจ เพียงแต่ว่าเล่าฮูหยินของตระกูลฉินมาด้วยท่าทางที่ดุดัน น่าจะเป็นเพราะว่าในใจเป็นห่วงอาการป่วยของฮูหยินใหญ่ ดังนั้นน้ำเสียงจึงไม่ดี หนานเฉิงอย่าเก็บมาใส่ใจเด็ดขาด”
“ฮึ เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดดีแทนยายเฒ่านั่นหรอก นางเห็นข้าขัดหูขัดตามาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว คิดว่าข้าไม่คู่ควรกับลูกสาวสุดที่รักของนางคนนั้น หารู้ไม่ว่าข้าอดทนกับลูกสาวคนนั้นของนางมาหลายปีแล้ว!”
เอี้ยนซานเหนียงนอนอยู่บนหน้าอกของกู้หนานเฉิง แสร้งกล่าวด้วยความประหลาดใจ: “เป็นไปได้อย่างไร? ฮูหยินใหญ่กิริยาท่าทางสง่างามเหมาะสม ทำสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมีลำดับชัดเจน ในฐานะที่เป็นนายหญิงดูแลจัดการของจวนโหวมานานหลายปี ไม่ควรจะเป็นภรรยาที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความสามารถของหนานเฉิงหรอกหรือ?”
กู้หนานเฉิงจับมือของเอี้ยนซานเหนียงเอาไว้ กล่าวว่า: “นางคิดแต่จะยักย้ายเงินของจวนกู้โหวไปที่ตระกูลฉินของนางอย่างไรเท่านั้น ครั้งนี้ยายเฒ่าคนนั้นมาอย่างเร่งรีบขนาดนี้ คิดว่าคงเป็นนางที่แอบยุยงอย่างลับๆอีกเป็นแน่”
“หนานเฉินอย่าได้โกรธไป ที่ฮูหยินใหญ่ขาดสติไปก็เป็นเพราะการตายของคุณหนูใหญ่ ถึงแม้ซานเหนียงจะยังไม่เข้าใจความเจ็บปวดของการสูญเสียลูกสาวในตอนนี้ แต่ว่าวันหน้าอย่างไรก็ต้องเป็นแม่คน ก็สามารถเข้าใจได้เล็กน้อย”
กู้หนานเฉิงกล่าวว่า: “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดแทนนาง เซียงเอ๋อร์ก็เป็นลูกสาวของข้าเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้สองแคว้นมีงานมงคลสมรส เหตุการณ์ตอนนี้เป็นสถานการณ์แบบไหน? เสียแรงที่นางเป็นลูกหลานของตระกูลมีชื่อเสียง กลับไม่รู้จักใช้สมองคิดสักหน่อย! นางผู้นี้ช่างเป็นผู้หญิงที่โง่เขลาไร้ที่เปรียบจริงๆ”
เอี้ยนซานเหนียงผลักกู้หนานเฉิงออกไปช้าๆ ก้มหน้าลง กล่าวด้วยลมหายใจที่หอมราวกับดอกกล้วยไม้: “ภูมิหลังของซานเหนียงต่ำต้อย ทำให้หนานเฉิงถูกคนตำหนิ ซานเหนียงก็เป็นคนโง่เขลาไร้ที่เปรียบจริงๆ ต่อไปหนานเฉิงก็อย่ามาที่ห้องของซานเหนียงบ่อยๆจะดีกว่า……”
กู้หนานเฉิงกล่าวขึ้นมาอย่างกังวลใจ: “เจ้าพูดอะไรเช่นนั้น? เจ้าคือผู้หญิงฉลาดที่หาได้ยากในโลกนี้ ภูมิหลังถือเป็นอะไรได้? ความสามารถและความรู้ของเจ้าคือสิ่งที่คนพวกนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้ตลอดชีวิต”
เอี้ยนซานเหนียงนอนลงไปบนหน้าอกของกู้หนานเฉิงใหม่อีกครั้ง กล่าวว่า: “ซานเหนียงได้อยู่หนานเฉิง ถึงแม้จะฉลาดแค่ไหน ก็กลายเป็นโง่เขลาแล้ว”
เดิมทีเอี้ยนซานเหนียงก็แต่งตัวโป๊มากอยู่แล้ว อยู่ในอ้อมแขนของกู้หนานเฉิงแล้วกล่าวคำหวานพวกนี้ในเวลานี้ ก็ยิ่งทำให้กู้หนานเฉิงลุ่มหลงจนเสียการควบคุม และเพิ่มสัมผัสแห่งอารมณ์รักของวสันตฤดูในระหว่างวันไปเล็กน้อย
ในตอนที่กู้ชิวเหลิ่งกลับไปที่สวนเฉินเซียง ก็เหนื่อยล้าอย่างมากแล้ว จูเอ๋อร์จามออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็ปิดปากเอาไว้แล้วกล่าวว่า: “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อคืนท่านนอนไปแค่สองชั่วยามเอง นอนต่ออีกหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
“นอนไม่ได้ เจ้าไปที่โรงน้ำชายีผิ่งแล้วเอาบัญชีของเดือนนี้มาหน่อย จำไว้ว่าอย่าให้ใครเห็นเข้าล่ะ”
จูเอ๋อร์พยักหน้า กล่าวว่า: “คุณหนูวางใจเถอะ บ่าวจะแอบเข้าไปขอบัญชีกับผู้จัดการทางประตูหลัง”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า วันนี้นางทำให้หลิวเล่าฮูหยินได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชา การเคลื่อนไหวในวันหน้าจะต้องยากมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน หากอยากให้ทางเดินในวันหน้าราบรื่น ก็จำเป็นจะต้องยั่วยุให้ตระกูลฉินกับตระกูลกู้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา ถึงเวลานั้นถ้าหากตระกูลฉินต้องการจะจัดการกับนาง คนที่จะต้องจัดการก่อนเป็นอันดับแรกก็คือกู้หนานเฉิง และกู้หนานเฉิงก็เป็นจิ้งจอกเฒ่ามาโดยตลอด รู้จักหลบหลีกเดินหน้าและถอยหลังเป็น และตระกูลฉินกลับรู้แค่เดินหน้าอย่างเดียว ไม่รู้จักถอยหลัง ตราบใดที่ตระกูลฉินมียังคนกระทำการอุกอาจไร้เหตุผลอย่างหลิวเล่าฮูหยินอยู่ เช่นนั้นช้าเร็วตระกูลฉินก็จะต้องพ่ายแพ้ในมือของกู้หนานเฉิง
หลังจากที่จูเอ๋อร์จากไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งถึงได้เอียงตัวนอนลงบนเตียงอ่อนนุ่ม นอนปิดตาไม่สนิท กล่าวว่า: “เช้าตื่นมาเซียวโหวเย๋น้อยก็มาปีนอยู่บนหลังคาของหญิงสาว ไม่ทราบว่ามีเจตนาอะไรอยู่?”
บนหลังคามีเสียงกระเบื้องกระทบกันดังลงมา เซียวอวิ๋นเซิงก็กระโดดตัวลงมาจากบนหลังคาจริงๆ การเคลื่อนไหวแผ่วเบามาก มองดูแล้วเหมือนจะไม่ได้นอนมาทั้งคืน เสื้อผ้าก็ยังยับยู่ยี่อยู่ สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือการท่าทางในการส่ายพัดที่ยังคงสง่างามอยู่
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า”
“ตอนที่กลับมา เห็นบนหลังคามีชุดคลุมผ้าต่วนสีเขียว มันสะดุดตามากจริงๆ”
เซียวอวิ๋นเซิงกล่าวว่า: “ผู้ใต้บังคับของข้าบอกว่าเล่าฮูหยินของตระกูลฉินมาที่จวนกู้โหวแต่เช้า นี่ก็กลัวว่าเจ้ารับมือไม่อยู่ ดังนั้นก็เลยจะมาช่วยเป็นกำลังเสริมให้อยู่นี่ไง”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “เซียวโหวเย๋น้อยมาได้ถูกเวลาจริงๆ ทุกอย่างจัดการเสร็จหมดแล้ว ถึงได้ลงมาจากบนหลังคา นี่ถือว่าเป็นวิธีการช่วยเหลือแบบไหน?”
เซียวอวิ๋นเซิงพูดไม่ออก กล่าวว่า: “ไหนเลยที่ข้ายังต้องออกแรง? อาศัยวาทศิลป์ที่คมคายของเจ้า ถึงแม้จะเป็นอวี้ฉือจ้านก็คงเถียงสู้เจ้าไม่ได้”
เซียวอวิ๋นเซิงจงใจเอ่ยถึงอวี้ฉือจ้าน สายตาที่ดูเหมือนจะไม่สนใจไยดีกลับจับจ้องอยู่ที่กู้ชิวเหลิ่งอย่างไม่ละสายตา ราวกับอยากจะเห็นปฏิกิริยาของกู้ชิวเหลิ่ง
หลังจากที่กู้ชิวเหลิ่งได้รับบาดเจ็บครั้งก่อน เขาไม่สามารถไปเยี่ยมในคืนนั้นได้ หลังจากที่กลับไปก็ถูกพ่อแท้ๆและปู่แท้ๆของตัวเองจับขังไว้ที่หอบรรพบุรุษเล็ก หลังจากผ่านการสอบถามลูกน้องแล้วถึงได้รู้ว่า อวี้ฉือจ้านส่งคนมาร้องเรียนต่อหน้าพ่อแท้ๆของตัวเอง สร้างข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงขึ้นมามากมาย เป็นเหตุให้พ่อของตัวเองเซียวจื้อหยวนเกือบจะตีขาเขาจนหัก หากไม่ใช่เพราะท่านปู่เซียวขวางเอาไว้ เกรงว่าเขาคงจะไม่สามารถยืนสองขาอยู่กับพื้นตรงหน้ากู้ชิวเหลิ่งแล้ว
บนใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย สำหรับการที่เซียวอวิ๋นเซิงเอ่ยถึงอวี้ฉือจ้าน ก็เหมือนกับเอ่ยถึงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย: “เซียวโหวเย๋น้อยว่างมากขนาดนี้ หรือว่าการค้าของโรงน้ำชาจะดีเกินไป?”
“ข้ารู้ว่าเจ้าให้นังหนูคนนั้นไปเอาบัญชีที่โรงน้ำชายีผิ่ง ความจริงไม่มีความจำเป็นเลย เมื่อวานข้าก็ดูไปแล้ว ถึงแม้การค้าของโรงน้ำชาจะดีขึ้นมา แต่นั่นก็เป็นเพียงการจัดการแบบระบายสินค้าคงคลังเท่านั้น ไม่ได้มีผลกำไรที่มากมายเลย”
กู้ชิวเหลิ่งรู้คำตอบข้อนี้นานแล้ว ที่ให้จูเอ๋อร์ไปเอาบัญชี ก็เพียงเพื่อจะให้เซียวอวิ๋นเซิงลงมาพบหน้าโดยไม่ต้องมีความกังวลใดๆเท่านั้น
“เซียวโหวเย๋น้อยกล่าวถูกแล้ว ถ้าอย่างไรท่านกับข้ามาเดิมพันกันหน่อยเป็นไร?”
เซียวอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว: “เดิมพันอะไร?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “ถ้าหากการค้าของโรงน้ำชายีผิ่งสามารถทำกำไรหนึ่งล้านตำลึงทองได้ภายในสองเดือน เช่นนั้นโรงน้ำชาแห่งนี้ข้าจะใช้ห้าแสนตำลึงทองซื้อขาดจากท่าน สินค้าพวกท่านเป็นคนจัดหา ข้ายังคงจ่ายเงินเช่นเดิม ส่วนที่เหลือเซียวโหวเย๋น้อยก็ไม่ต้องสนใจแล้ว สองเดือนห้าแสนตำลึงทองถือเป็นการซื้อขายที่มีแต่กำไรไม่ขาดทุนเลยนะ ท่านยินดีหรือไม่?”
เงื่อนไขที่กู้ชิวเหลิ่งเสนอออกมาข้อนี้ถือว่าค่อนข้างทำให้คนหวั่นไหวได้แล้ว เดิมทีโรงน้ำชาก็มากอยู่แล้ว และผลผลิตของทุกปีมากเกินไปก็จะกลายเป็นสินค้าคงคลังสะสม กู้ชิวเหลิ่งจ่ายห้าแสนตำลึงซื้อโรงน้ำชาที่ขาดทุนไปแห่งหนึ่ง วันหน้ายังจะซื้อสินค้ากันพวกเขาอีก ก็เท่ากับพวกเขาสูญเสียโรงน้ำชาที่ขาดทุนแห่งหนึ่ง ทุกปียังมียอดสั่งซื้ออีกจำนวนมาก ทั้งทำกำไร และยังระบายสินค้าที่สะสมออกไปด้วย
แต่ว่าเซียวอวิ๋นเซิงก็ไม่ได้โง่ กล่าวว่า: “ถ้าหากสองเดือนเจ้าก็สามารถทำกำไรได้หนึ่งล้านตำลึงทองแล้ว เช่นนั้นโรงน้ำชาแห่งนี้ข้ายังสามารถเอากลับมาได้ เช่นนั้นคนที่ได้กำไรก็คือข้าไม่ใช่หรือ?”
“เวลาที่เซียวโหวเย๋น้อยกับข้าทำข้อตกลงกันไว้ในตอนนั้นคือหนึ่งปี ตอนนี้ลดลงมาเหลือสองเดือน บางทีสองเดือนที่อยู่ในมือข้านี้อาจจะทำกำไร อีกหน่อยไปอยู่ในมือของเซียวโหวเย๋น้อยอาจจะยิ่งขาดทุนหนักก็ไม่แน่”