ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 118 ความลับของจวินหวาเทียน
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 118 ความลับของจวินหวาเทียน
“ผู้หญิงของข้า จะพอใจกับเรื่องแค่นี้ได้อย่างไร?”
เห็นชัดว่าอวี้ฉือจ้านให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แม้กู้ชิวเหลิ่งไม่รับรู้ถึงความจริงใจ แต่อวี้ฉือจ้านก็มีแผนจะจัดให้ใหญ่โตเอิกเกริก แน่นอนว่านางไม่คัดค้าน เพราะผู้กำชัยได้หน้าในตอนท้ายก็คือนาง และการแต่งงานกับอวี้ฉือจ้านยังจะสามารถขจัดปัญหาอุปสรรคนางในอนาคตได้อีก เมื่อมีอวี้ฉือจ้านเป็นที่พึ่งพิงอย่างดี การแก้แค้นกับจวินฉีเซิ่งจึงกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก
“จวินหวาเทียนเป็นคนอ่อนโยน เท่าที่ข้ารู้สถานที่ซ่อนตัวก็มีอยู่ประมาณสามแห่ง”
ครั้นอวี้ฉือจ้านเห็นกู้ชิวเหลิ่งเลี่ยงการสนทนาเรื่องการแต่งงานจึงไม่ซักไซ้ให้มาก แต่คล้อยตามประเด็นที่นางเอ่ยแทน จึงถาม “ข้าก็พอเดาออกบ้าง แต่ที่คิดได้มีเพียงแห่งเดียว ไม่ทราบสถานที่ที่คุณหนูรองคิดออกอีกสองแห่งคือที่ใด?”
กู้ชิวเหลิ่งตอบ “เซ่อเจิ้งหวางคาดเดาคือชายแดนระหว่างแคว้นฉีกับแคว้นเป่ยใช่หรือไม่?”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้า เอ่ย “เจ้าพูดถูก เมื่อสิบกว่าปีก่อนแคว้นฉีกับแคว้นเป่ยมีข้อตกลงที่จะไม่ก้าวก่ายกัน เมืองอวีหลินคือชายแดนระหว่างทั้งสองแคว้น ขอเพียงประชาชนมั่งมีศรีสุข ไม่พบศัสตราวุธและทหารในเมืองนี้ กองทัพและองครักษ์ลับแคว้นฉีจะไม่กล้าเข่นฆ่าผู้คนเป็นอันขาด แม้จะเป็นซีจิ้งและต้าเยียนเราก็จะไม่เข้ายุ่มย่าม ที่นั่นกล่าวได้ว่าเป็นดินแดนแห่งสันติสุขของใต้หล้าเลยทีเดียว”
กู้ชิวเหลิ่งสำรวมกิริยา กล่าว “ในเมื่อแม้แต่เซ่อเจิ้งหวางก็ยังรู้ว่าหากจวินหวาเทียนต้องการหนี เมืองอวีหลินจะเป็นสถานที่คุ้มกายได้ดีที่สุด เช่นนั้นจวินฉีเซิ่งจะคิดไม่ได้หรือ? เพียงแต่จวินฉีเซิ่งไม่กล้ามีเรื่องกับแคว้นเป่ยเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม บางทีจวินหวาเทียนอาจฟื้นตัวจากวิกฤต เพียงแต่…ไม่เหมาะสม”
อวี้ฉือจ้านเลิกคิ้ว กล่าว “ไม่เหมาะสมจริง แต่คุณหนูรองจะบอกจุดที่ไม่เหมาะสมได้หรือไม่?”
“ถึงจวินหวาเทียนจะเก่งกล้าสามารถเพียงไร แต่ก็อาศัยเพียงพลพรรคของอดีตรัชทายาทแคว้นฉี สามารถหลบลี้ไปถึงเมืองอวีหลินได้ก็เป็นทางตันแล้ว ส่วนหากจวินหวาเทียนอยู่ที่เมืองนั้น ก็เป็นได้แต่เพียงสามัญชนคนธรรมดาอำพรางซ่อนเร้น อย่างแรกเขาไม่คุ้นเคยกับที่นั่น อย่างที่สองคือไม่สามารถรวบรวมกำลังพลได้อันเนื่องจากข้อผูกมัดในข้อตกลงของเมืองอวีหลิน”
“ถูกต้อง แม้ว่าสนธิสัญญาเมืองอวีหลินที่ห้ามมีทหารอาวุธและป้องกันชนเผ่าอื่นจะสามารถช่วยชีวิตจวินหวาเทียนได้ แต่ในทางกลับกัน มันก็กลายเป็นพันธนาการจวินหวาเทียนด้วย ถ้าข้าเป็นจวินหวาเทียน จะไม่สละไพร่พลเพื่อแลกกับความสงบสุขครึ่งชีวิตเด็ดขาด”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “ฉะนั้นก็เหลืออีกสองแห่งแล้ว แห่งแรกคือแคว้นฉี อันว่าที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด บางทีจวินหวาเทียนอาจอยู่ที่นั่นเพื่อรักษากำลังคนเอาไว้ และที่เดียวที่จวินหวาเทียนสามารถอยู่ได้ในแคว้นฉีก็คือเมืองหลวง”
“เมืองหลวง?”
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองที่สุดและสะดุดตาที่สุด จวินหวาเทียนจะวางแผนชิงบัลลังก์อยู่ใต้จมูกจวินฉีเซิ่งหรือ?
อวี้ฉือจ้านส่ายหน้า “แผนนี้อันตรายเกิดไป ถึงจะไปเมืองหลวงแล้วจะรับรองได้อย่างไรว่าจะไม่ถูกพบ?”
“ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเป็นแห่งที่สอง”
กู้ชิวเหลิ่งใช้นิ้วแตะน้ำชาในถ้วย แล้วเขียนตัวอักษรสองตัวบนโต๊ะ “ต้าโม่”
อวี้ฉือจ้านฉายความเคร่งเครียดบนใบหน้าตามคาด “เจ้าหมายถึงชาวต้าโม่”
“ถูกต้อง ชาวต้าโม่”
ที่กู้ชิวเหลิ่งสามารถเดาได้ว่าเป็นต้าโม่ ก็เพราะนางเคยพบความลับหนึ่งจากตัวจวินหวาเทียน
ปีนั้นนางในวัยสิบสามฝึกวิชาตัวเบาตกลงมาจากต้นไม้ ขณะนั้นเพื่อรับนางไว้ จวินหวาเทียนจึงฝืนร่างกายที่อ่อนแอใช้วิชาตัวเบา ระหว่างที่นางลนลานจึงกระชากคอเสื้อของจวินหวาเทียนอย่างไม่ทันระวัง และได้เห็นปานลักษณะคล้ายหมาป่าอยู่ตรงใต้กระดูกไหปลาร้าใกล้กับหน้าอกของเขา
ชาวต้าโม่ชอบฝึกหมาป่า เวลานั้นหลังจากนางกลับไปแล้วจึงเปิดตำรา พบว่าปานลักษณะแบบนี้จะมีอยู่ในเฉพาะราชวงศ์ต้าโม่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงมั่นใจว่าพระสนมซูเฟย มารดาของจวินหวาเทียนคือชาวต้าโม่
ตามการบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในวังหลวง มารดาของจวินหวาเทียนเคยได้รับความโปรดปรานมากระยะหนึ่ง แต่หลังจากให้กำเนิดจวินหวาเทียนแล้วกลับผมขาวหงอก โฉมหน้าเฒ่าชราในราตรีเดียว คนจำนวนมากกล่าวหาว่าพระสนมซูเฟยเป็นนางปีศาจ แม้จะให้กำเนิดโอรส แต่นางกลับไม่ได้รับความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้อีก หลังจากนั้นประมาณหกเจ็ดปีพระสนมซูเฟยก็ล้มป่วยเสียชีวิต ขณะนั้นมีคนจำนวนมากถวายฎีกาให้เผาศพพระสนมซูเฟย แต่อดีตฮ่องเต้ยืนยันว่าไม่อนุญาต และฝังนางที่สุสานจักรพรรดิในท้ายที่สุด
นี่นับว่าเป็นความลับเรื่องหนึ่งของวังหลวง และนางก็ไม่เคยถามต่อหน้าจวินหวาเทียน
ครั้นอวี้ฉือจ้านเห็นท่าทางมั่นใจของกู้ชิวเหลิ่งแล้ว กลับรู้สึกน่ารักสามส่วน “ดูท่าเจ้าคงมีความคิดแล้ว ข้าแค่ไปหาให้เจ้าก็พอใช่หรือไม่?”
อยู่ดีๆ อวี้ฉือจ้านก็คล้ายโล่งอก นี่ทำให้กู้ชิวเหลิ่งประหลาดใจมาก “เซ่อเจิ้งหวางเชื่อข้าขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“เจ้าคือว่าที่ชายาของข้า ข้าไม่เชื่อเจ้าแล้วยังจะเชื่อผู้ใดได้อีก?”
เขาไม่เคยคิดมาก่อนกับการคาดเดาว่าจวินหวาเทียนจะเป็นชาวต้าโม่ กระทั่งไม่เคยดึงชาวต้าโม่มาร่วมพิจารณา แต่กู้ชิวเหลิ่งกลับกล่าวเช่นนี้ ดวงตาดำขลับดั่งบ่อน้ำโบราณคู่นั้นเก็บงำความลับมากมายที่เขาไม่ทราบ
แต่อย่างไรสักวันหนึ่ง เขาจะให้กู้ชิวเหลิ่งเปิดอกกับเขาทุกอย่าง ยอมมอบหัวใจและความลับทั้งหมดกับเขา
“คุณหนู! บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งใช้มือลบคำว่า ‘ต้าโม่’ บนโต๊ะทันที ส่วนอวี้ฉือจ้านก็ออกไปทางหน้าต่างด้านหลังแล้ว
จูเอ๋อร์วางสมุดบัญชีสองเล่มไว้บนโต๊ะ พรูลมหายใจยาวเอ่ย “บ่าวค้นพบว่ากู้เจินเก่งมากเลยเจ้าค่ะ ตอนที่บ่าวถือสมุดบัญชีกลับมาเห็นกู้เจินกำลังซื้อฮะเก๋าใส้ผักอยู่พอดี เขาอยู่เมืองหลวงแค่ไม่กี่วัน กลับจำเส้นทางได้แม่นกว่าบ่าวอีกเจ้าค่ะ!”
“ฮะเก๋าใส้ผัก?”
ครั้นกู้ชิวเหลิ่งกล่าวจบ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก กู้เจินยืนอยู่ด้านนอก รูปร่างกำยำมากกว่ากู้หนานเฉิงอยู่หน่อยหนึ่ง ผิวพรรณแข็งแรงเป็นสีข้าวสาลี อยู่ในอาภรณ์สีเทาเรียบเข้ม ตรงข้อมือมีผ้าขาวพันอยู่และมือกำลังถือฮะเก๋าใส้ผัก เขาเม้มริมฝีปากแต่กลับไม่เอ่ยสักคำ
จูเอ๋อร์ตะลึงงัน ตะกุกตะกักพูดไม่ออก “อ้าว! เจ้า…เจ้ามาได้อย่างไร!”
กู้เจินเพียงมองกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ให้เจ้า”
ฮะเก๋าใส้ผักไม่ใช่อาหารที่ต้องรับประทานเมื่อร้อน มันถูกจัดวางอยู่ในกล่องอาหารที่ไม่นับว่างดงาม กู้เจินยืนอยู่หน้าประตูอยู่อย่างนั้น ไม่คิดจะเข้ามาชนิดว่าต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ขยับ
จูเอ๋อร์เหลือบมองกู้ชิวเหลิ่งที่นั่งตรงเก้าอี้แวบหนึ่ง ทราบความหมายแล้วจึงไปรับ
ครั้นกู้เจินวางกล่องอาหารไว้ในมือจูเอ๋อร์แล้ว ก็จากไปอย่างไม่หันกลับมา ประหนึ่งไม่เคยมา
กู้ชิวเหลิ่งเปิดกล่องอาหารออก ข้างในเป็นฮะเก๋าใส้ผักที่นางชอบจริง
จูเอ๋อร์ถามด้วยความประหลาดใจ “ครั้งที่แล้วบ่าวเผลอพูดว่าคุณหนูชอบทานฮะเก๋าใส้ผัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะจำ บ่าวถึงว่าสิ ทำไมวันนี้ถึงเห็นไปซื้อฮะเก๋าใส้ผักได้ รู้สึกแปลกๆ ที่แท้ก็เอามาให้คุณหนูทานนี่เอง”