ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 124 หมดทางเยียวยา
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 124 หมดทางเยียวยา
ครั้นเห็นพิราบขาวบินไป จูเอ๋อร์จึงเอ่ย “ทำไมคุณหนูต้องส่งจดหมายให้เซ่อเจิ้งหวาง ไม่ส่งให้ท่านอ๋องรองล่ะเจ้าคะ? ความจริงถึงเซ่อเจิ้งหวางจะมีอำนาจและอิทธิพลมาก แต่ความสามารถของท่านอ๋องรองก็มิได้ด้อยไปกว่าเซ่อเจิ้งหวางเลย”
จูเอ๋อร์เป็นเดือดเป็นร้อนพูดแทนอวี่เหวินเจี๋ย กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้าหัวเราะน้อยๆ “ดูท่าเจ้าเหมือนจะชอบท่านอ๋องรองมากนะ?”
จูเอ๋อร์พลันแย้ง “บ่าวไม่ได้ชอบท่านอ๋องรองนะเจ้าคะ! แต่ท่านอ๋องรองดีกับคุณหนูมากจริงๆ! หลายปีนี้บ่าวก็เห็นอยู่!”
กู้ชิวเหลิ่งควบคุมสีหน้า ไม่เอ่ยอีก
ที่ส่งจดหมายถึงอวี้ฉือจ้านก็เป็นเพราะจางหย่วนเต้าผู้นี้เป็นผู้ที่อวี้ฉือจ้านให้การสนับสนุนมาตลอด มอบหมายให้อวี้ฉือจ้านจะได้เจรจาได้ง่ายขึ้น ส่วนอวี่เหวินเจี๋ย นางเคารพแต่กลับอยู่ห่างๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสมัยก่อนอวี่เหวินเจี๋ยคุ้นเคยสนิทสนมกับกู้ชิวเหลิ่ง แค่อวี่เหวินเจี๋ยระแคะระคายเรื่องชาติกำเนิดของนาง เท่านี้ก็ไม่อาจคลุกคลีกับอวี่เหวินเจี๋ยได้อีกแล้ว ทางที่ดีหากได้พบกันอีกก็ให้เป็นเหมือนกับคนแปลกหน้า
ทางนี้ ในมือฝู้จื่อโม่มีพิราบขาวที่กู้ชิวเหลิ่งเพิ่งปล่อยออกไป เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือของอวี้ฉือจ้านด้วยความผ่อนคลายไม่รีบร้อน เอ่ยปากด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ตอนนี้เจ้ากับคุณหนูรองตระกูลกู้ผู้นั้นสนิทกันจริงนะ เอาพิราบขาวที่ข้ามอบให้เจ้าเปลี่ยนมือไปเสียอย่างได้ โดยแท้แล้วยังเห็นข้าผู้เป็นภรรยาเอกคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?”
อวี้ฉือจ้านกำลังตรวจฎีกาอีกรอบ สายตาตกอยู่กับพิราบขาวที่อยู่ในฝู้จื่อโม่มือตัวนั้น เอ่ย “เจ้าดักมันได้จากกลางทางหรือ?”
ฝู้จื่อโม่กล่าวด้วยสีหน้าเห็นสมควร “เปล่านะ เมื่อครู่ข้าปีนขึ้นบนกำแพงเห็นมันบินวนเวียนอยู่บนหัว คิดว่าจีเฟิงจับหรือข้าจับก็มีค่าเท่ากัน อีกอย่างจะมาพอดีก็เลยดักมาให้เจ้า ทำดีมากใช่หรือไม่?”
“ในจดหมายเขียนว่าอย่างไร?”
“ข้ายังไม่ทันเปิดออกอ่าน มิเช่นนั้น เจ้าอ่านก่อน?”
อวี้ฉือจ้านวางพู่กันในมือ แล้วใช้กระดาษตีใบหน้าฝู้จื่อโม่ พิราบขาวตกใจตีปีกลงจากมือของฝู้จื่อโม่แล้วมาอยู่บนโต๊ะ
ฝู้จื่อโม่ถูกกระดาษและลมตีจนเจ็บ ครั้นดึงออกมาก็เห็นอวี้ฉือจ้านดึงจดหมายจากขาของนกพิราบขาวออกมาด้วยความเร็วกำลังดี ครั้นอวี้ฉือจ้านเห็นตัวอักษรในกระดาษก็ยกมุมยิ้มหนึ่ง
ฝู้จื่อโม่อ่านจดหมายที่อวี้ฉือจ้านขว้างมาพร้อมกับครุ่นคิดกล่าว “เจ้าจะให้ข้าสืบร่องรอยของชาวต้าโม่ในช่วงสามปีนี้?”
อวี้ฉือจ้านวางจดหมายในมือลงในกล่องบุผ้าแพร ในนั้นมีแต่จดหมายที่กู้ชิวเหลิ่งส่งมาเมื่อหลายครั้งก่อนจัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ
“จ้าน?”
อวี้ฉือจ้านปิดฝากล่อง เอ่ย “วางเรื่องของชาวต้าโม่ก่อน คืนนี้ข้าจะนัดพบจางหย่วนเต้า”
ฝู้จื่อโม่ดื่มชาอึกใหญ่แล้วจึงเอ่ย “เซ่าชิงแห่งศาลต้าหลี่จางหย่วนเต้า? อ๋อ ข้ารู้แล้ว วันนี้ฮูหยินใหญ่ของจวนโหวตระกูลกู้คนนั้นเสียชีวิต จางหย่วนเต้าไต่สวนคดีนี้ ฉะนั้นกู้ชิวเหลิ่งจึงเขียนจดหมายถึงเจ้าล่ะสิ?”
อวี้ฉือจ้านไม่โต้แย้ง ฝู้จื่อโม่จึงกล่าวต่ออย่างเอ้อระเหยลอยชายด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง “เวลานี้ระหว่างตระกูลฉินและตระกูลกู้คงแตกหักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่พวกเราต้องทำก็แค่นั่งดูสองพยัคฆ์ต่อสู้กัน เจ้าเสียอีก กลับไปช่วยเขาสู้รบตบมือด้วย เรื่องเปลืองแรงไม่ได้ประโยชน์อะไรเช่นนี้ ข้าไม่เอาด้วยหรอก!”
อวี้ฉือจ้านเอ่ย “ในเมื่อกู้ชิวเหลิ่งมีวิธีที่ดีกว่าที่จะยุแย่ให้ทั้งสองตระกูลห้ำหั่นกัน ข้าก็แค่ผลักดันไปตามน้ำแล้วจะทำไม?”
ฝู้จื่อโม่เบะปาก เอ่ย “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าชอบนังหนูนั่นที่ตรงไหน หากกล่าวถึงรูปร่างหน้าตางดงาม ใต้หล้านี้มีโฉมงามอยู่ไม่น้อยที่เข้าหาเจ้าแต่เจ้าก็ไม่เอา กลับไปชอบนังเด็กอายุสิบสี่ หากพูดออกไปจะไม่กลัวคนเขาว่าเป็นถึงเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนเซ่อ กลับมีรสนิยมรักเด็กหรือ?”
อวี้ฉือจ้านขมวดน้อยๆ “พล่ามอะไร”
ฝู้จื่อโม่จ้องท้องฟ้าแล้วพลันตบหน้าขาฉาด “ได้! ข้าจะไปทำงานให้เจ้าเดี๋ยวนี้!”
แต่ขณะที่ฝู้จื่อโม่หันตัวไปก็หันหน้ากลับมาอีก เอ่ย “เมื่อกี้ซานเหนียงส่งจดหมายมา บอกว่ากู้ชิวเหลิ่งพูดไม่กี่คำก็ทำจนเจ้าจิ้งจอกฉินเจิ้งเป่านั่นพูดไม่ออกแล้ว ด้วยนิสัยของฉินเจิ้งเป่า ต่อไปกู้ชิวเหลิ่งต้องไม่เป็นสุขแน่ ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ คราวหน้ามีเรื่องยุ่งอะไรอีก อย่าได้เรียกข้าไปช่วยงานอีกเป็นอันขาด!”
“นางเป็นคนคิดการละเอียดรอบคอบ มีนางคอยยุแยงตะแคงรั่ว ตระกูลฉินกับตระกูลกู้ต้องสู้กันจนตายไปข้างแน่”
“เจ้า…ประเด็นสำคัญ! …หมดทางเยียวยาแล้ว!”
ฝู้จื่อโม่ไม่ปรารถนาจะทำงานเรื่องของกู้ชิวเหลิ่งอีก ไหนเลยจะรู้ว่าอวี้ฉือจ้านจะกล่าวออกมาเช่นนี้ ดังนั้นจึงทำให้เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
อวี้ฉือจ้านนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ จู่ๆ ก็มีความคิดขึ้นมา กู้ชิวเหลิ่งต้องรู้ว่าใครเป็นคนสร้างเรื่องการเสียชีวิตของฮูหยินใหญ่แล้วแน่ และรู้ว่าเขามีความคิดที่จะให้ตระกูลฉินกับตระกูลกู้เจ็บทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นถึงกล้าส่งจดหมายมาให้เขา
แผนการที่เขาวางไว้อย่างดีถูกกู้ชิวเหลิ่งมองออกได้อย่างง่ายดาย เหตุใดโลกนี้ยังมีผู้ที่รู้ใจเขาเป็นคนที่สองอีก?
ตกกลางคืน กู้ชิวเหลิ่งก็ขึ้นรถม้าของอวี้ฉือจ้านจากทางด้านหลังจวน ไม่มีผู้ใดตามมา แม้แต่จูเอ๋อร์ก็ไม่ได้มาด้วย
ทว่าการที่อวี้ฉือจ้านนั่งอยู่ในรถม้ากลับทำให้กู้ชิวเหลิ่งตกใจเล็กน้อย
อวี้ฉือจ้านประคองให้กู้ชิวเหลิ่งเข้าข้างใน เอ่ย “ไฉนวันนี้เห็นข้าแล้วจึงมีสีหน้าเช่นนี้เล่า?”
“เซ่อเจิ้งหวางให้จีเฟิงมารับก็ได้ มาด้วยตนเองเช่นนี้กลับทำให้ข้าหวั่นกลัว”
อวี้ฉือจ้านเอ่ย “แต่ข้ากลับไม่เห็นความหวั่นกลัวของเจ้า แต่เหมือน…ไม่ค่อยอยากเจอข้าสักเท่าไร?”
“มิกล้า”
รถม้าเริ่มเคลื่อนแล้ว อวี้ฉือจ้านเอ่ยขึ้น “ในเมื่อคุณหนูรองกล้าส่งจดหมายถึงข้า เช่นนั้นก็ย่อมเข้าใจความคิดของข้าด้วย”
กู้ชิวเหลิ่งตระหนักแต่แรกแล้ว เอ่ยช้าๆ “ตระกูลฉินวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในเมืองหลวง แต่หากไม่มีหลักฐานในมือจะเอาความกับตำแหน่งกั๋วกงได้ยาก อีกทั้งยังเป็นการบ่อนทำลายรากฐานของต้าเยียนทีละน้อย หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปต้องทำให้ราชสำนักเสื่อมโทรมแน่ ส่วนตระกูลกู้…กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือนกสองหัว กู้หนานเฉิงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังคุ้นเคยกับราชสำนักยิ่ง ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง ความขัดแข้งของทั้งสองตระกูลมีมาช้านานแล้ว หยั่งรากฝังลึก เซ่อเจิ้งหวางทำเพื่อกำจัดตระกูลฉินที่เป็นหนอนร้าย แล้วยังทำเพื่อตักเตือนข่มตระกูลกู้ ช่างทุ่มเทโดยแท้”
แต่ไรมาก็พบเห็นศาสตร์ความสมดุลของตระกูลผู้เป็นราชาอยู่เป็นประจำ อันที่จริงหากย้อนคิดก็เป็นหลักการอย่างหนึ่ง นกกระยางต่อสู้กับหอยกาบ ผู้เฒ่าจับปลาได้ผลประโยชน์* นกกระยางและหอยกาบก็คือตระกูลฉินกับตระกูลกู้ ส่วนผู้เฒ่าจับปลาก็คือฝ่าบาท การที่ทำให้ขุนนางซึ่งมีอิทธิพลใกล้เคียงกันเปิดศึกกันเองเป็นวิธีที่สะดวกอย่างยิ่งในการกดข่มในอนาคต
และอวี้ฉือจ้านก็มีแนวคิดนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ขณะที่เอี้ยนซานเหนียงปรากฏอยู่ข้างกายกู้หนานเฉิง กู้ชิวเหลิ่งก็เริ่มสงสัย การเสียชีวิตของฮูหยินกู้ในคราวนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดของนาง อวี้ฉือจ้านไม่ต้องการเก็บตระกูลฉินไว้อีก ส่วนตระกูลกู้ก็ก้าวข้ามเส้นการระวังแล้ว
ดวงตาอวี้ฉือจ้านเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูรองช่างมีสติสัมปชัญญะที่ชัดแจ้งจริงๆ เช่นนี้คุณหนูรองเดาได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงตัดสินใจจัดการตระกูลฉินกันแน่?”
ก่อนหน้านี้กู้ชิวเหลิ่งกลับไม่ได้พิจารณาสาเหตุนี้โดยละเอียด ตระกูลฉินวางอำนาจบาตรใหญ่มานานหลายปี หากเป็นไปได้อวี้ฉือจ้านก็กำจัดไปนานแล้ว จะไม่ปล่อยมาถึงตอนนี้