ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 130 ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 130 ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต
กู้ชิวเยว่กัดริมฝีปาก มองความเดือดดาลที่มีอยู่ทั่วใบหน้ากู้หนานเฉิง รีบเอ่ย “ลูกผิดไปแล้ว ท่านพ่ออย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งปรายตามองไปทางจางหย่วนเต้าอย่างคล้ายมองและคล้ายไม่ได้มอง เอ่ย “ที่น้องสามต้องอภัยหาใช่ท่านพ่อไม่”
กู้ชิวเยว่ย่อมมองออกว่ากู้ชิวเหลิ่งจงใจเอ่ยแทรก แต่เมื่อเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของกู้หนานเฉิงแล้ว จึงได้แต่คารวะต่อหน้าจางหย่วนเต้าอย่างเคารพนอบน้อม เอ่ย “เยว่เอ๋อร์ไม่รู้ความ ขอใต้เท้าจางโปรดเห็นแก่ที่เยว่เอ๋อร์อายุยังน้อย ผู้ใหญ่ใจกว้าง อภัยให้เยว่เอ๋อร์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
จางหย่วนเต้าเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย เอ่ย “รู้ผิดรู้แก้เป็นยอดคน คุณหนูสามรู้จักยอมรับแก้ไขย่อมดี เพียงแต่ถ้อยคำพวกนี้กล่าวเลื่อนเปื้อนในบ้านก็พอทำเนา แต่หากแพร่ออกไปจะเสียระบบระเบียบได้ ดีที่ไม่ได้กระทำผิดร้ายแรง นี่ยังมิเท่าการสังหารคน ต้าเยียนเรามีกฎหมายเคร่งครัดชัดเจน ผู้ที่สังหารคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีเหตุผลให้อภัยได้ แต่นั่นก็ต้องจำคุกตลอดชีวิต คุณหนูสามอย่าได้หลงเข้าสู่เส้นทางนี้เป็นอันขาด”
ถ้อยคำของจางหย่วนเต้ามีความนัยแอบแฝง มีหรือที่กู้หนานเฉิงจะฟังไม่ออก? แต่กู้ชิวเยว่จดจ่ออยู่แต่คำว่า ‘ผู้ที่สังหารคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต’ ไม่ได้ขบคิดความหมายแฝงโดยละเอียด ส่วนอี๋เหนียงรองก็โง่งม ไม่สามารถรู้แจ้งได้เช่นกัน
เอี้ยนซานเหนียงเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง “จำได้ว่าแต่โบราณมาก็มีคำพูดหนึ่ง ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต วิญญาณอาฆาตมาทวงชีวิตคืน หวังว่าดวงวิญญาณที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมของฮูหยินใหญ่จะแก้แค้นให้ตนเองและดลบันดาลให้พวกเราจับตัวฆาตกรได้ในเร็ววันนะเจ้าคะ”
จางหย่วนเต้าเอ่ย “นี่เรื่องเล่าชาวบ้านเหล่านี้ ข้าไม่เพียงได้ยินมา ซ้ำยังเคยพบเห็นมากับตาตัวเองด้วย เคยมีคดีสังหารแม่ใหญ่อยู่คดีหนึ่ง บุตรสาวของอนุภรรยาด้อยความสามารถ อายุก็เพียงสิบกว่าปี ทีแรกไม่ได้สงสัยนาง แต่วันหนึ่งบุตรสาวผู้นี้กลับกลายเป็นพูดจาเพ้อเจ้อ ท่าทางราวกับวิกลจริต นี่เป็นเพราะคืนวันนั้นแม่ใหญ่ของนางกลายร่างเป็นผีร้ายมาทวงชีวิตนางนั่นเอง”
กู้ชิวเหลิ่งคล้ายกับสนใจมากจึงเอ่ยถาม “เช่นนั้นภายหลังบุตรสาวผู้นี้เป็นอย่างไรหรือ?”
“สุดท้ายแน่ชัดในหลักฐาน นางสังหารแม่ใหญ่ของตัวเอง จึงลงนำตัวไปแขวนคอ ส่งชีวิตหนึ่งลาลับไป”
สีหน้ากู้ชิวเยว่แย่มาก เดิมจางหย่วนเต้าเพียงแต่งเรื่องกล่าวไปอย่างนั้น ทว่าเมื่อฟังแล้วกลับทำให้รู้สึกขวัญผวา
กู้หนานเฉิงหัวเราะเจื่อนสองทีแล้วจึงเอ่ย “ที่แท้จางเซ่าชิงยังเคยพบเรื่องประหลาดเช่นนี้ ข้ากลับไม่เคยรู้มาก่อน ช่างด้อยประสบการณ์โดยแท้”
“ที่ข้าน้อยมาในวันนี้ก็เพราะคดีความมีความคืบหน้า ตอนนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่าฮูหยินก็ถูกรัดคอจนเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ชันสูตรก็เขียนรายงานอย่างละเอียดแล้ว ระบุว่าความจริงกำลังของฆาตกรมีไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีอายุมาก แม้จะเป็นการเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่ข้าน้อยอยากขอพักอยู่ที่จวนโหวเป็นการชั่วคราว คุ้นเคยกับผู้ต้องสงสัยในจวนโหวที่มีความเป็นไปได้ว่าจะก่อเหตุ ไม่ทราบท่านโหวเย๋จะติดขัดหรือไม่?”
กู้หนานเฉิงโบกมือ เอ่ย “ไม่ติดขัด ตอนนี้ข้าอยากแต่ให้คดีสิ้นสุดโดยเร็วเท่านั้น คืนความสงบสุขให้กับครอบครัว และจะได้มีคำอธิบายให้กับทางฉินกั๋วกงด้วย”
กู้ชิวเหลิ่งสบสายตากับจางหย่วนเต้าอย่างลับๆ ต่างคนต่างทราบความหมายของกันและกัน
ยามจื่อแล้ว ท้องฟ้ามืดขมุกขมัว ปลอดโปร่งไร้เมฆหมื่นลี้
“อย่าฆ่าข้า! เจ้าอย่าเข้ามา! เจ้าอย่าฆ่าข้า!”
กู้ชิวเยว่ตกใจตื่นจากฝันร้าย จิตใจยังจมอยู่กับความฝัน ฮูหยินใหญ่ในความฝันแลบลิ้นยาว ยกมือทั้งสองข้าง นิ้วมือเย็นเฉียบสัมผัสลำคอของนาง คล้ายจะบีบคอนางให้ตายทั้งเป็น
กู้ชิวเยว่กำผ้าห่มแน่น กลืนน้ำลายเหนียว จากนั้นจึงร้องเรียก “ซิ่งเอ๋อร์…ไปรินน้ำชามาให้ข้าจอกหนึ่ง”
ในห้องว่างเปล่า ปราศจากเสียงตอบกลับ
กู้ชิวเยว่ร้องเรียกอีกหน “ซิ่งเอ๋อร์?”
“นังเด็กนี่แกล้งตายอะไร ข้าคอแห้งแล้ว เจ้าได้ยินหรือไม่?”
กู้ชิวเยว่เลิกผ้าห่มออก ขณะที่ลงจากเตียง จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเล่าเหล่านั้นที่จางหย่วนเต้ากล่าวเมื่อตอนกลางวัน ทันใดนั้นก็เสียวสันหลังวาบ ราวกับมีลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง
“ซิ่งเอ๋อร์! นังเด็กนี่! ยังไม่มาอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฟ้องท่านแม่ให้ไล่เจ้าออกไป!”
ในห้องยังคงปราศจากเสียงตอบกลับใดๆ กู้ชิวเยว่ขวัญผวาไปแล้วกว่าครึ่ง ปกติยามนี้ซิ่งเอ๋อร์จะนอนอยู่บนเตียงห้องข้างใน หากนางตื่นขึ้นมากลางดึกต้องการดื่มน้ำ แค่ตะโกนทีเดียวซิ่งเอ๋อร์ก็มีปฏิกิริยาแล้ว แต่ครั้งนี้กลับไม่
กู้ชิวเยว่เดินย่องอย่างระมัดระวังเข้าห้องด้านใน เห็นผ้าห่มกองนูนขึ้นมา คล้ายว่ามีคนคลุมโปงหลับอยู่
กู้ชิวเยว่โล่งอก แล้วพลันเปลี่ยนสีหน้าเดินเข้าไปด่าทอ “นังเด็กนี่ดีนี่! ตอนนี้รู้จักอู้แล้วใช่หรือไม่!”
แต่ครั้นเลิกผ้าห่มออกกลับเห็นหญิงผู้หนึ่งนอนลืมตาสยายผมเผ้าอยู่ เนื่องจากไม่ได้จุดไฟ ดังนั้นจึงมืดมาก เห็นหน้าตาไม่ชัดเจน เพียงแต่รูปร่างนั้นไม่ใช่ซิ่งเอ๋อร์อย่างแน่นอน!
“ว๊าย…!”
กู้ชิวเยว่ตกใจล้มลงกับพื้น เมื่อครู่ชั่วขณะหนึ่ง นางสัมผัสถูกลำคอของคนผู้นั้น เย็นเฉียบไม่มีอุณหภูมิแม้แต่น้อย
“เจ้าเป็นใคร! เจ้าไม่ใช่ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าเป็น…”
นางผู้นั้นตัวแข็งทื่อลุกขึ้นจากเตียง เส้นผมรุงรัง รูปพรรณสัณฐานคล้ายฮูหยินใหญ่ตอนเสียชีวิตอย่างไรอย่างนั้น สวมเสื้อตัวในบางๆ เพียงตัวเดียว ตรงคอยังมองเห็นรอยช้ำ
“เจ้านังเด็กชั้นต่ำ กลับกล้าทำอย่างนี้กับข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”
เสียงนี้คล้ายฮูหยินใหญ่มาก กู้ชิวเยว่ถอยหลังพรวด แต่หญิงผู้นั้นกลับค่อยๆ ประชิดมาทีละก้าวดั่งผีร้าย
“ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ! เจ้าอย่าเข้ามานะ! เจ้าอย่าเข้ามา!”
“ยมทูตขาวดำมาเอาชีวิต…”
“ไม่…!”
ทันใดนั้นก็เห็นบุรุษในชุดสีดำปลอดและสีขาวปลอดลอยมา หน้าเขียวมีฟันเขี้ยว น่ากลัวที่สุด
ทั้งสามบีบให้กู้ชิวเยว่อยู่ตรงกลาง จากนั้นจู่ๆ นางก็โพล่งขึ้นมาอย่างสติแตก “ข้าไม่ได้ตั้งใจฆ่าเจ้า! เจ้าอย่าเข้ามานะ! เป็นเจ้า…ที่ลบหลู่ข้าก่อน! โทษข้าไม่ได้…”
“เจ้ามนุษย์บังอาจ! หากยังไม่รีบรายงานชื่อแซ่ ข้าจะให้วิญญาณเจ้าแตกสลาย!”
พญายมหน้าแดงทรงเก้าอี้หนังพยัคฆ์ ดวงตาเบิกโตวาวโรจน์ จากนั้นก็มีดวงไฟสีเขียวกระจายทั่วห้องประหนึ่งยมโลก
กู้ชิวเยว่คุกเข่าอยู่กับพื้น ตกใจจนร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล สมองพลันปรากฏภาพที่พ่อบ้านออกจากห้องฮูหยินใหญ่ในวันนั้น
ฮูหยินใหญ่ล้มอยู่กับพื้นอย่างหมดสภาพ ไม่มีสง่าราศีดังเก่าก่อน เมื่อนั้นนางจึงออกจากกำแพงที่ซ่อนตัวเข้าข้างใน ฮูหยินใหญ่ไม่ได้รับการเคารพเฉกเช่นบ่าวชั้นต่ำคนหนึ่ง
ขณะนั้นนางคิดว่าแม้แต่พ่อบ้านยังสามารถถ่มน้ำลายกับนางได้ แล้วนางเล่า?
“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงหมดสภาพเช่นนี้เล่า? วันนี้คนของตระกูลฉินมาแล้ว แต่รับตัวท่านไปไม่ได้ ความหมายของท่านพ่อคือ ท่านจะออกจากสวนอี้เซียงนี้ไม่ได้อีก ถึงตอนนั้นท่านจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีคนช่วยเหลือ นี่จะทำอย่างไรดี? งานทั้งหมดในจวน ท่านพ่อก็มอบหมายให้ท่านแม่ข้าดูแลแล้ว ท่านวางใจเถอะ ท่านแม่ข้าต้องจัดการจวนโหวให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแน่”
ฮูหยินใหญ่ชี้จมูกของนางแล้วตะโกนด่า “เจ้านังเด็กชั้นต่ำ! ชาตินี้อย่าหวังว่าจะแทนที่เซียงเอ๋อร์ของข้าได้! จงไสหัวออกไป! เอาไว้ข้ากลับมาเป็นใหญ่แล้ว ข้าจะทำให้เจ้ากับแม่ชั้นต่ำของเจ้าตายอย่างศพไม่ครบสามสิบสอง!”
บทที่ 129 อำพันอนงค์
บทที่ 131 ภรรยาในภายหน้า