ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 131 ภรรยาในภายหน้า
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 131 ภรรยาในภายหน้า
นางโมโหอย่างที่สุด จึงหยิบผ้าขาวบนพื้นขึ้นมาเลยแล้วพันรอบคอของฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่พูดไม่ออก แต่ก็ยังตะโกนอย่างคลุมเครือว่า “นังชั้นต่ำ”
เรี่ยวแรงของนางไม่เพียงพอ จึงอาศัยกำลังของโต๊ะ แล้วรัดคอของฮูหยินใหญ่อย่างโหดเหี้ยม จนกระทั่งฮูหยินใหญ่หลับตาลง นางถึงได้คืนสติกลับและรีบวิ่งออกไปด้วยความรีบร้อน
“ดี ที่แท้ก็เป็นเจ้าลูกเวรคนนี้!”
กู้หนานเฉิงเดินออกมาจากที่มืด แล้วก้าวไปด้านหน้าตบกู้ชิวเยว่หนึ่งฝ่ามือล้มลงกับพื้น ครึ่งใบหน้าบวมเป่งขึ้นในทันที แล้วมองไปที่กู้หนานเฉิงอย่างแปลกใจ ส่วนจางหย่วนเต้ากับกู้ชิวเหลิ่วที่หลบซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเช่นกันก็ได้ก้าวเดินออกมา
“เหตุใด……เจ้า! พวกเจ้า!”
ยมทูตขาวดำ วิญญาณของฮูหยินใหญ่ และพญายมทั้งหลายเหล่านั้นล้วนได้ถอยออกไปอย่างเคารพ
จางหย่วนเต้าเอ่ยขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้แสดงที่ข้าหามาแสดงทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นแล้วจะจับตัวเจ้าที่เป็นฆาตกรได้อย่างไร!”
กู้ชิวเหลิ่งก็ได้กล่าวว่า “น้องสาม เจ้าลงมือฆ่าท่านแม่อย่างโหดเหี้ยมได้อย่างไร? บุตรีอนุฆ่าท่านแม่ใหญ่ของตนเอง คำพูดนี้แพร่ออกไปแล้วจะให้จวนโหวออกไปพบผู้คนได้อย่างไรอีก”
กู้ชิวเยว่ไม่สามารถดึงสติกลับมาท่ามกลางความรู้สึกตื่นตกใจได้ เพียงแค่คิดว่าตนเองถูกหลอกเสียแล้ว การกระทำที่ชั่วร้ายทั้งหมดได้ถูกเปิดเผย ทันใดนั้นก็ล้มพับลงกับพื้น
กู้ชิวเยว่คุกเข่าอยู่บนพื้นและดึงชายเสื้อของกู้หนานเฉิง ร้องห่มร้องไห้แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ! ลูกเลอะเลือนไปชั่วขณะ! ลูกมิได้ตั้งใจนะเจ้าคะท่านพ่อ……”
“ไปให้พ้น! ข้ากู้หนานเฉิงเหตุใดถึงมีลูกสาวที่เลวทรามเหี้ยมโหดเช่นเจ้าได้!”
กู้ชิวเยว่อายุเพียงสิบสามปี ก็กล้าที่จะฆ่าท่านแม่ใหญ่ของตนเอง หากว่าเติบใหญ่แล้วจะขนาดไหนกัน?
กู้หนานเฉิงคำนับจงหย่วนเต้าแล้วกล่าวว่า “ต่อไปกู้ชิวเยว่ไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลกู้ของเราอีก เชิญจางเซ่าชิงนำตัวไปสอบสวนจัดการได้ ตระกูลกู้ของเราจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เป็นแน่!”
“ท่านพ่อ! ท่านไม่ต้องการลูกไม่ได้นะเจ้าคะ! ลูกเป็นลูกแท้ๆของท่านนะเจ้าคะ! ท่านพ่อ!”
กู้ชิวเยว่เกี่ยวชายเสื้อของกู้หนานเฉิงเอาไว้แน่น เป็นตายก็ไม่ยอมคลายออก
กู้หนานเฉิงมองกู้ชิวเยว่อย่างเฉยเมย และน้ำเสียงรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผ่าน “ข้าให้กำเนิดลูกสาวแบบเจ้านี่มาได้อย่างไรกัน!”
จางหย่วนเต้าก็ไม่ได้รู้สึกทะนุถนอม แต่สั่งคนตรงหน้าประตูให้ลากตัวกู้ชิวเยว่ไป
กู้ชิวเยว่หมอบอยู่กับพื้นโดยที่ด้านหลังมีคนดึงแขนของนางเอาไว้ มองดูกู้หนานเฉิงสะบัดมือของนางออกซึ่งหมดหวังอย่างสมบูรณ์แล้ว “ท่านพ่อ! ท่านช่วยลูกด้วย! ลูกผิดไปแล้ว! ลูกไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ! ลูก……”
กู้หนานเฉิงตะโกนว่า “อุดปากของนางไว้! อย่าให้นางรบกวนคนอื่นๆ!”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูอยู่ด้านข้าง แล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ กู้หนานเฉิงเป็นผู้ที่หน้าซื่อใจคดยิ่งนักผู้หนึ่ง เมื่อเทียบกับบุตรสาวคนหนึ่งแล้ว เขานั้นสนใจหน้าตาของตนเองมากกว่า หากว่าตอนนี้กู้ชิวเยว่ตะโกนร้องโวยวายเสียงดัง ไม่แน่ว่าทั่วทั้งจวนก็จะรู้เรื่องอื้อฉาวนี้ ถึงเวลานั้นเขาผู้เป็นถึงโหวเย๋ผู้นี้ก็จะขายหน้าเสียแล้ว
บุตรีอนุฆ่าแม่ผู้เป็นเอกภรรยา ช่างเป็นข่าวที่น่าสนใจนักจริงๆ
“เนื่องจากคดีได้คลี่คลายแล้ว ข้าน้อยจะกลับเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
กู้หนานเฉิงกล่าวอย่างเกรงใจว่า “เชิญ”
ก่อนที่จะจากไป จางหย่วนเต้าได้เหลือบมองกู้ชิวเหลิ่งทีหนึ่ง
เมื่อในห้องของกู้ชิวเยว่เหลือเพียงแค่กู้ชิวเหลิ่งกับจูเอ๋อร์ กู้ชิวเหลิ่งถึงได้สั่งการว่า “พวกเรากลับ”
จูเอ๋อร์พยักหน้า ระหว่างทางที่กลับก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าฆาตกรจะเป็นคุณหนูสาม คุณหนูสามอายุเพียงแค่สิบสามปี ก็เรียนรู้ที่จะฆ่าคนแล้ว นี่ก็ช่างน่ากลัวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“พูดให้มันน้อยๆหน่อย จางหย่วนเต้าผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก จะดึงเวลานานเกินไปไม่ได้”
“อะไรนะเจ้าคะ?”
กู้ชิวเหลิ่งหยิบนกพิราบขาวลงมา แล้วเขียนข้อความอยู่ตรงหน้าโต๊ะว่า: หาวิธี กู้ชิวเยว่จะต้องบ้าๆบอๆเสียสติตายอยู่ในคุก เหลิ่ง
ปล่อยนกพิราบขาวออกไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อครู่สายตานั้นของจางหย่วนเต้ายังคงสงสัยอยู่ แม้ว่ากู้ชิวเยว่จะยอมรับว่าตนเองฆ่าฮูหยินใหญ่ แต่อาศัยแค่ความสามารถของกู้ชิวเยว่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะแขวนศพของฮูหยินใหญ่เอาไว้บนขื่อ ที่กู้ชิวเยว่พูดเมื่อครู่นี้ว่าหลังจากฆ่าคนแล้วก็วิ่งหนีไปอย่างรีบร้อน ไหนเลยจะยังสนใจสร้างสถานการณ์ได้?
เพียงแค่บรรยากาศเท่านั้นที่สามารถบดบังไปได้ชั่วขณะ หลังจากนี้จางหย่วนต้าจะต้องพบสิ่งผิดปกติได้เป็นแน่
จึงทำได้เพียงแค่ให้อวี้ฉือจ้านคิดหาวิธี ทำให้กู้ชิวเยว่บ้อๆบอๆเสียสติอยู่ในคุก เช่นนี้ถึงจะถือได้ว่าคดีได้จบลง
เมื่ออวี้ฉือจ้านได้รับจดหมายของนกพิราบขาวแล้ว เพียงแค่เหลือบมองแว๊บหนึ่งแล้วสั่งการกับจีเฟิงว่า “เจ้าไปที่เรือนของเมิ่งจิ่วเที่ยวหนึ่ง ให้เขาตระเตรียมยาเสียสติที่ไม่ให้คนสังเกตได้”
หลังจากที่จีเฟิงนอนหลับที่เรือนของเมิ่งจิ่วคืนหนึ่งเมื่อวันก่อนแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีความวิตกกังวลอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงไหสีดำ โอ่งสีดำ และกรงงูที่แขวนอยู่บนผนังในเรือนเมิ่งจิ่ว ทันใดนั้นก็รู้สึกขนลุกขนพอง
“เหตุใดถึงยังไม่ไปอีก?”
“…..ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ!”
ฝู้จื่อโม่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ ในปากคาบลูกท้อลูกหนึ่งอยู่พร้อมกัดลงไปคำหนึ่ง
“ทำไม? ภรรยาในภายภาคหน้าของเจ้าทำอะไรประหลาดๆอีกล่ะ?”
“ภรรยาในภายหน้า?”
“ใช่สิ นี่ข้าก็เรียนรู้มาจากเมิ่งจิ่ว อย่าได้ว่าไป อ่านแล้วก็ค่อนข้างคล่องปากซะด้วยสิ”
ฝู้จื่อโม่ดื่มชาอึกใหญ่ “เมื่อนึกถึงนิสัยที่โหดเหี้ยมชั่วร้ายของพวกเจ้าสองคน ก็รู้สึกว่าเป็นคู่ที่ฟ้าดินสรรสร้างคู่หนึ่ง”
ดวงตาของอวี้ฉือจ้านหรี่ลงเล็กน้อย ฝู้จื่อโม่รีบหุบปากแล้วกล่าวว่า “ข้าหมายความว่า เจ้าแต่งได้ภรรยาขี้อ้อนตัวน้อยผู้หนึ่ง เพียงแค่อายุน้อยไปสักหน่อย อย่างอื่นก็พอถูๆไถๆไปได้”
“ดูเหมือนว่าจากนี้ไปกำแพงสูงของจวนเซ่อเจิ้งหวางจะต้องสร้างให้สูงขึ้นอีกหน่อย ฝู้ซื่อจื่อปีนขึ้นไปถึงจะสบายรู้สึกสบายอกสบายใจ”
ฝู้จื่อโม่ไม่พอใจเสียแล้ว “จ้าน! นี่จิตใจเจ้าไม่ดีซะแล้ว!”
“ข้าคิดว่านี่เป็นการกระทำที่ดีนัก”
“เจ้า!”
อวี้ฉือจ้านโยนฎีกาในมือไปถึงมือของฝู้จื่อโม่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสงบนิ่งว่า “พิธีการแต่งตั้งฮองเฮาของกงเอ๋อร์อยู่นี่ เจ้าก็ช่วยข้าดูฎีกาให้ดีเถอะ ตระเตรียมพิธีการแต่งงาน ช่วยข้าแบ่งเบาภาระด้วย”
“ข้ายังแบ่งเบาภาระเจ้าไม่เพียงพออีกหรือ? เจ้าก็ไม่คิดดูว่าเมื่อคืนก่อนเป็นใครที่ช่วยตรวจงานกองเท่าภูเขาให้แล้วเสร็จ? ข้ากลับอยากจะถามเจ้าว่า คืนนั้นเจ้าไปขี้เกียจอยู่ที่ใดกัน? ครึ่งค่อนคืนจนฟ้าสางแล้วเจ้าถึงกลับมา! รู้หรือไม่ว่าจนถึงตอนนี้ข้ายังหัวหมุนอยู่เลย!”
ทันใดนั้นสมองของอวี้ฉือจ้านก็นึกถึงที่ในบ่อน้ำพุร้อนในคืนนั้น เขาสัมผัสถูกแผ่นหลังที่สะอาดเนียนของกู้ชิงเหลิ่งโดยที่ช่วยนางเดินลมปราณ ในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ถูกแว๊บไป ราวกับกระแสไฟฟ้าจางๆที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย
“จ้าน?”
“หืม?”
“ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไรไป? เดี๋ยวๆก็เหม่อลอย? นี่มันไม่เหมือนเจ้าเลย ตามปกติแล้ว เมื่อคืนเจ้าก็น่าจะจัดการเรื่องพิธีการแต่งตั้งฮองเฮาของฝ่าบาทเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว”
อวี้ฉือจ้านเก็บความรู้สึกไว้ “เรื่องนี้ให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกันนะ กงเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับหว่านเฟยยิ่งนัก หากให้ข้าเป็นผู้จัดการ พิธีการแต่งตั้งฮองเฮานี้จะไม่มีความหวานซึ้งเลยสักนิด……”
“หืม……ก็ยังดีที่เจ้ายังรู้ว่าเจ้าจัดการได้ไร้ซึ่งความหวานซึ้ง เจ้าวางใจเถอะ มียอดฝีมือเรื่องความรักอย่างข้าคนนี้อยู่ พิธีการแต่งตั้งฮองเฮานี้จะต้องสง่าและหวานซึ่งเป็นแน่ ส่วนองค์หญิงเหอชินของตระกูลฉินกับฮ่องเต้ฉี ก็น่าจะให้ท่านอ๋องรองไปจัดการ”
“เจ้ารองกระทำการได้รอบคอบ ให้เขาไปก็สมเหตุสมผลดี”
“ได้! เช่นนั้นภายหน้างานแต่งงานของเจ้ากับคุณหนูรองตระกูลกู้ก็ให้ข้ามาจัดการให้ด้วยสิ!”
อวี้ฉือจ้านเหลือบมองฝู้จื่อโม่แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้าฝันเฟื่องรึ”