ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 134 ความหวังดีของท่านอ๋องรอง
จูเอ๋อร์หันกลับมาดึงแขนของกู้ชิวเหลิ่งแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องรองก็หวังดี คุณหนูก็รับไว้เถิดเจ้าค่ะ……”
กู้ชิวเหลิ่งเดินไปตรงหน้าญาชิงแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจว่าท่านอ๋องของพวกเจ้าจะกล่าวสิ่งใด เพียงแต่ว่าข้าไม่ได้ใช้ หวังว่าต่อไปเขาจะไม่มาหาข้าอีก นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายจากข้า คราวหน้าเจ้ามาอีก ข้าจะให้เจ้าเข้าประตูนี้มาไม่ได้”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างไร้เยื่อใย ญาชิงคาดคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว เพียงแค่วางยาไว้ตรงหน้าประตู
“ท่านอ๋องมีคำสั่ง ให้มอบยาแก่คุณหนูรอง เรื่องอื่นข้าน้อยจะไม่สนใจ ขอลาขอรับ”
ญาชิงมาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ และจากไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองจูเอ๋อร์ทีนึง เห็นเพียงแค่จูเอ๋อร์ก้มศีรษะลงและไม่กล้าพูดสิ่งใด
“ข้าเคยบอกแล้วว่า ข้าไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับท่านอ๋องรองแม้เพียงเล็กน้อย ต่อไปหากเจ้าติดต่อกับผู้อื่นลับหลังข้า เจ้าก็อย่าได้คิดที่จะเข้าสวนเฉินเซียงแม้แต่ก้าวเดียว”
จูเอ๋อร์คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวก็เห็นว่าระหว่างท่านและท่านอ๋องรองเข้าใจผิดกัน ต้องการให้พวกท่านคืนดีกัน บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งเดินผ่านจูเอ๋อร์แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ยานี้เจ้าเอาไปจัดการเอง ข้าไม่ต้องการเห็นมัน ต่อไปก็ไม่ต้องให้เขารู้ร่องรอยของข้า และก็ไม่หวังให้เจ้าตัดสินใจใดๆลับหลังข้า ฟังเข้าใจหรือไม่?”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ……”
“เจ้ากลับห้องไปได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ……”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ยาวอันนุ่ม โดยที่ท่าทีเคร่งขรึมเล็กน้อย เดิมทีเมื่อครู่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องพิธีศพ แต่ทันทีที่ญาชิงปรากฏตัวและพูดถึงอวี่เหวินเจี๋ย อารมณ์ของนางก็หมองลงอย่างแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าเนื่องจากความเกี่ยวข้องระหว่างร่างกายนี้กับอวี่เหวินเจี๋ย หรือว่าเป็นเพราะชุดคลุมก่อนหน้าตัวนั้น
มีเสียงเคาะประตูดังมา กู้ชิวเหลิ่งกล่าวเรียบเฉยว่า “เชิญเข้า”
ผู้ที่มาคือเอี้ยนซานเหนียง พร้อมกับฉายรอยยิ้มเล็กน้อยยู่บนใบหน้านาง
“เมื่อครู่อยู่ไกลๆก็ได้ยินคุณหนูรองโมโห ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอันใดหรือ?”
“ไม่ต้องมาสอบถามแทนอวี้ฉือจ้าน เรื่องของข้าไม่ชอบให้ผู้อื่นไต่ถามเสมอมา”
เอี้ยนซานเหนียงกล่าวด้วยความเคารพว่า “เป็นข้าน้อยที่พูดมาก ครั้งนี้เป็นท่านอ๋องที่ให้ข้าน้อยมาหารือเรื่องพิธีศพกับคุณหนูรองเจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้ว “ว่ามา”
“ท่านอ๋องได้ตรวจสอบแน่ชัดแล้ว องค์หญิงอันไท่แห่งซีจิ้งได้กระทำการบางอย่างบนโลงศพของกู้ชิวเซียง เพียงแค่ยกโลงศพระยะเวลาหนึ่ง ตะปูที่สำคัญบางชิ้นก็จะหลวมและร่วงหล่นลง ถึงเวลานั้น……”
ถึงเวลานั้น ศพของกู้ชิวเซียงก็จะตกลงมากลางอากาศ เพียงแค่รอยแผลฟกช้ำบนร่างกายและใบหน้าของกู้ชิวเซียง ก็เพียงพอแล้วที่ผู้อื่นจะจินตนาการกันไปต่างๆนานา
“ไม่น่าล่ะเจ้าถึงได้มอบเรื่องของพิธีศพให้อี๋เหนียงรองจัดการ ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้”
“ท่านอ๋องกลัวว่าคุณหนูรองจะไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไร ดังนั้นจึงให้ข้าน้อยมาอธิบายเป็นการเฉพาะ”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่อยากจะถามเจ้าประโยคหนึ่งว่า อวี้ฉือจ้านคิดที่จะให้เจ้ากุมอำนาจของตระกูลกู้ใช่หรือไม่?”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เพื่อทำสิ่งใด?”
“ข้าน้อยไม่เคยถามถึงจุดประสงค์อันใดของท่านอ๋อง ข้าน้อยเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ดีมาก เจ้าไปได้แล้ว”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง”
ต้องบอกว่า เอี้ยนซานเหนียงเป็นหนอนบ่อนไส้ที่ดีคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมและคำพูดล้วนค่อนข้างดีเลิศ หน้าตาก็เพียงพอที่จะทำให้บุรุษลุ่มหลงมัวเมาได้
เพียงแค่ไม่รู้ว่าหากตระกูลฉินรู้ว่าวันมะรืนจะเกิดเรื่องใดขึ้นในพิธีศพ แล้วจะมีการตอบสนองเช่นไร?
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินและตระกูลกู้สองตระกูลจะต้องแปรเปลี่ยนเป็นน่าสนใจเป็นอย่างมากแน่ๆ
ในเวลานี้จวนตระกูลฉินได้แขวนโคมไฟสีขาวและผ้าไหมสีขาวอยู่ เห็นได้ชัดว่าต้องการจัดการให้การตายของฮูหยินใหญ่และกู้ชิวเซียงสมหน้าสมตา อย่างไรก็ตามได้รับการยินยอมจากอวี้ฉือกง เช่นนั้นก็ตามที่หลิวเล่าฮูหยินกล่าวไว้ สามารถจัดได้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็จัดให้ยิ่งใหญ่เพียงนั้น ท้ายที่สุดจะต้องให้เหนือกว่าตระกูลกู้ให้จงได้
ฉินโม่เอ๋อร์สวมชุดกระโปรงสีขาวราบเรียบ ใบหน้านั้นช่างงดงาม ทำให้ผู้คนมองดูแล้วรู้สึกรักและเวทนายิ่งนัก
“ได้ยินมาว่าวันนี้ฮ่องเต้ฉีจะทรงมาเคารพศพ น้องจะต้องคว้าโอกาสเอาไว้นะ”
ไม่รู้ว่าฉินจงเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของฉินโม่เอ๋อร์เมื่อใด แววตานั้นจ้องมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนไปยังบนร่างของฉินโม่เอ๋อร์ ราวกับว่าจะมองออกถึงสิ่งใดที่แตกต่างจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้
“มิใช่ว่าพี่ว่านะ เจ้าแต่งกายได้ราบเรียบเกินไปแล้ว เป็นบุรุษจะไปชื่นชอบได้อย่างไร?”
ฉินโม่เอ๋อร์วางสร้อยข้อมือในมือลงแล้วกล่าวว่า “ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา? แม้ว่าเจ้าจะเป็นพี่ชายของข้า ข้อแบ่งแยกระหว่างชายหญิงก็ไม่สามารถละเลยได้ ท่านพี่ก็ดูแลตนเองให้ดีๆเถอะ อย่าได้พูดจาสิ่งใดที่แปดเปื้อนมายังตัวข้า”
“จุ๊ๆๆ ยังจะทำตัวเป็นเทพธิดาที่ไร้เดียงสาอันใดกัน? เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเซี่ยชุนตายยังไงหรือ? เจ้ามีนิสัยแบบไหนมาตั้งแต่เด็ก ท่านพ่อท่านแม่ไม่เข้าใจ เป็นไปได้หรือที่ข้าจะไม่เข้าใจ?”
ใบหน้าของฉินโม่เอ๋อร์ดูไม่ได้ขึ้นมาในทันใด แล้วก็ได้ยินฉินจงพูดต่อว่า “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าในแขนเสื้อของเจ้ามีสิ่งใดอยู่น้องรัก เจ้าต้องการอาศัยโอกาสเพื่อยั่วยวนฮ่องเต้แคว้นฉีผู้นั้น ต้องการให้เขายอมสิโรราบต่อเจ้า? เจ้าช่างคิดเอาไว้ดีนัก เพียงแต่เกรงว่าไปถึงยังแคว้นฉี ไม่มีการหนุนหลังของท่านพ่อท่านแม่แล้ว เจ้าจะต้องทนต่อความทุกข์ยากลำบาก!”
“เจ้า!”
นางหลิวเดินเข้ามาในประตูห้องของฉินโม่เอ๋อร์ โดยที่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? จงเอ๋อร์ เจ้าไม่ไปดูแลท่านย่าของเจ้า มาทำอะไรอยู่ในเรือนของโม่เอ๋อร์?”
“ท่านแม่ ท่านก็อย่าได้โทษท่านพี่เลย ท่านพี่แค่มาเตือนโม่เอ๋อร์ว่า วันนี้ฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีจะมา ให้โม่เอ๋อร์ดูแลพระองค์ให้ดีเจ้าค่ะ”
ปกติแล้วนางหลิวจะไม่รู้นิสัยของบุตรชายคนนี้ของตนได้อย่างไร แล้วชักสีหน้ากล่าวว่า “ไร้สาระ! ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่น้องสาวของเจ้าจะต้องไปดูแล! อย่าได้มาปลูกฝังเรื่องสกปรกๆเหล่านั้นของเจ้าให้กับน้องสาวของเจ้านะ เล่าฮูหยินไม่ควบคุมดูแลเจ้า เจ้าก็ยิ่งเอาแต่ใจซะแล้ว!”
ฉินจงจ้องมองฉินโม่เอ๋อร์ตาเขม็งทีหนึ่ง แล้วก็ปิดประตูจากไปเลย
ฉินโม่เอ๋อร์เผยรอยยิ้มจางๆขึ้น ท่านพี่ที่ไร้ประโยชน์ผู้นี้ของนาง เป็นเพียงแค่คนโง่เง่าคนหนึ่งเท่านั้นเอง
นางหลิววางผ้าคลุมหน้าไว้ในมือฉินโม่เอ๋อร์แล้วกล่าวว่า “วันนี้ฮ่องเต้ฉีจะมา เจ้าก็ต้องสำรวมกิริยา อย่าได้ให้คนเขารู้สึกว่าเจ้าน่าดูแคลน ทำให้ตระกูลฉินของพวกเราต้องขายหน้า”
“ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าร่างกายของท่านย่าเป็นเช่นไรบ้าง”
นางหลิวถอนหายใจ “หลังจากที่รู้ว่าท่านอาเล็กของเจ้าได้จากไปแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยจะดีนัก หากไม่ใช่เพราะพระประสงค์ของฝ่าบาทที่จะให้เจ้าแต่งงานไปที่ไกล ท่านย่าของเจ้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปเป็นแน่”
“ท่านแม่วางใจได้ แม้ว่าลูกจะแต่งงานไปยังแคว้นฉี ก็จะไม่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เพียงแค่กลัวว่าร่างกายของเจ้าจะอ่อนแอ……”
สาวใช้ตรงหน้าประตูได้เดินเข้ามา แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “เรียนคุณหนู ฮูหยิน ฮ่องเต้แคว้นฉีมาแล้วเจ้าค่ะ นายท่านสั่งให้ไปพบแขกที่ห้องโถงด้านหน้าเจ้าค่ะ”
กล่าวถึงจวินฉีเซิ่ง ในใจของฉินโม่เอ๋อร์ก็ไม่สงบนิ่งขึ้นเล็กน้อย เช่นไรก็เป็นสวามีในภายหน้า ในงานเลี้ยงแห่งแคว้นในครั้งก่อนนางก็ได้สังเกตเห็นชายผู้นี้แล้ว รู้สึกเพียงแค่ท่าทางองอาจ หน้าตาก็หล่อเหลายิ่งนัก พบกันครานี้ นางจะต้องทำให้จวินฉีเซิ่งเคลิบเคลิ้มหลงใหลในตัวนางให้จงได้
คิดแล้ว ฉินโม่เอ๋อร์ก็กุมถุงเครื่องหอมใต้แขนเสื้อเอาไว้แน่น หากว่ามีของชิ้นนี้แล้ว ทำเรื่องใดก็จะใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยแต่ได้ผลเป็นทวีคูณ
นางหลิวคลุมผ้าคลุมหน้าให้กับฉินโม่เอ๋อร์ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มในแววตาว่า “จำไว้ว่าให้เหลือความประทับใจที่ดีเอาไว้ให้กับฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี ถึงเวลาที่ไปจะได้ไม่ถูกรังแก”
ฉินโม่เอ๋อร์ดูเหมือนจะยิ้มอย่างได้ใจว่า “ท่านแม่วางใจได้ ลูกจะไม่ถูกผู้ใดรังแกหรอกเจ้าค่ะ”