ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 135 เด็กๆ ใช้กฎตระกูล
องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของจวินฉีเซิ่งถือหีบของขวัญสีขาวอยู่ในมือ ช่วงนี้เนื่องด้วยเรื่องของเขตเมืองสองแห่งนั้น เขาจึงอารมณ์ไม่ดีนัก เดิมทีเที่ยวนี้ไม่ต้องการมา หากมิใช่หยินซวงซวงเอ่ยถึงการแต่งงานระหว่างทั้งสองแคว้น ที่จำต้องมาแสดงความเสียใจในนามแคว้นฉีด้วยความเคารพ เขาจะไม่มีทางมาเป็นแน่
จวินฉีเซิ่งได้มาถึงหน้าประตูจวนแล้ว ฉินเจิ้งเป่าก็ได้ออกมาต้อนรับโดยที่สวมชุดไว้ทุกข์ แล้วกล่าวอย่างเคารพนอบน้อมว่า “คารวะฮ่องเต้ฉีพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องมากพิธี วันนี้ข้ามาเพื่อแสดงความเสียใจด้วย ไม่ต้องมีพิธีการสำหรับจักรพรรดิขุนนางหรือว่าทูตเลย”
“ขอบพระทัยในพระเมตตาของฮ่องเต้ฉี เชิญเข้ามาทรงจุดธูปสักดอกเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉีเซิ่งทรงพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่ทรงเสด็จเข้าไปก็เห็นฉินโม่เอ๋อร์สวมกระโปรงสีขาว บนเส้นผมปักปิ่นปักผมหยกขาวเอาไว้ ที่ติ่งหูใส่ต่างหูหยกขาวอยู่ ช่างดูน่าเอ็นดูเวทนายิ่งนัก
“คนนี้……”
“คนนี้คือบุตรสาวของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเจิ้งเป่าก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจน ทว่าตะโกนว่า “โม่เอ๋อร์ ยังไม่รีบมาคารวะฮ่องเต้ฉีอีก”
จวินฉีเซิ่งถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า เป็นหญิงสาวที่สวยสดงดงามในงานเลี้ยงแห่งแคว้นผู้นั้น ตระกูลฉินมีลูกสาวเพียงคนเดียวนี้ และก็เป็นนางสนมในภายหน้าของพระองค์ด้วย
บนหน้าของฉินโม่เอ๋อร์คลุมผ้าลูกไม้สีขาวเอาไว้ สามารถมองเห็นโครงร่างใบหน้าได้เล็กน้อย
ฉินโม่เอ๋อร์โค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “โม่เอ๋อร์คารวะฮ่องเต้ฉีเพคะ”
สายตาของจวินฉีเซิ่งได้ตกลงบนร่างของฉินโม่เอ๋อร์จริงๆ ลมได้พัดมาที่ร่างของฉินโม่เอ๋อร์ราวกับว่าจะพัดพาฉินโม่เอ๋อร์ไปเช่นนั้น ทำให้ผู้คนมองดูแล้วจิตใจสั่นไหว
“เหตุใดคุณหนูฉินถึงสวมผ้าคลุมหน้าล่ะ?”
น้ำเสียงของฉินโม่เอ๋อร์ช่างน่าไพเราะราวกับเสียงของนกกระจิบ แล้วกล่าวว่า “ก่อนที่จะออกเรือน หญิงสาวในเรือนจะต้องสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ จึงจะสามารถมอบให้กับสวามีในภายหน้าได้อย่างสะอาดหมดจดเพคะ”
ความหมายของฉินโม่เอ๋อร์ช่างชัดเจนยิ่งนัก
จวินฉีเซิ่งทรงชื่นชอบหญิงสาวที่โอนอ่อนนอบน้อมเสมอมา มีกลิ่นหอมจางๆลอยออกมาจากร่างกายของฉินโม่เอ๋อร์ ซึ่งทำให้ผู้คนดมแล้วก็สามารถขจัดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไปได้ และกลิ่นหอมของหญิงสาวก็ยิ่งทำให้คนเกิดความคิดเกินเลยขึ้นไปอีก
มุมปากของฉินโม่เอ๋อร์ปรากฏรอยยิ้มจางๆขึ้น และยิ่งกำถุงเครื่องหอมในแขนเสื้อเอาไว้แน่นมากขึ้นอีก
ในวันนี้ อี๋เหนียงรองถึงจะถือว่าได้เตรียมพิธีศพทั้งหมดได้เรียบร้อยดี โลงศพของฮูหยินใหญ่และกู้ชิวเซียงส่งออกไปพร้อมกัน ตระกูลฉินก็มาถึงด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แต่ไม่ได้เป็นเพราะกู้หนานเฉิง แต่เป็นเพราะหลิวเล่าฮูหยินสั่งการให้มาส่งศพฮูหยินใหญ่และกู้ชิวเซียง นี่ถึงได้มา
กู้หนานเฉิงและฉินเจิ้งเป่าไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลยสักคำ เพียงแค่แต่งกายไว้ทุกข์แล้วเดินตามเสียงฆ้องกลองดังสนั่น โปรยกระดาษเงินกระดาษทองในมือ และเดินไปยังนอกเมืองอย่างยิ่งใหญ่โอ่อ่า
กู้ชิวเหลิ่งเดินอยู่ด้านหลังของกู้หนานเฉิง โดยที่ก้มหน้าทำท่าร้องห่มร้องไห้อยู่ตลอด กู้ชิวถางเดินอยู่ข้างๆนาง อี๋เหนียงรองกับเอี้ยนซานเหนียงเดินอยู่ข้างกายทั้งสองฝั่งของกู้หนานเฉิง และตระกูลฉินเดินตามส่งศพนำโดยหลิวเล่าฮูหยินอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉินเจิ้งเป่าและนางหลิว รวมถึงฉินจงและฉินโม่เอ๋อร์ล้วนอยู่กันทั้งสิ้น
ขณะที่เดินไปถึงถนนฉางอันที่เจริญที่สุด แววตาของกู้ชิวเหลิ่งได้เผยรอยยิ้มขึ้น เมื่อนับเวลาแล้วก็น่าจะเวลาประมาณนี้แหละ
ผู้คนโดยรอบต่างเฝ้าดูความครื้นเครงกัน ได้ยินเพียงแค่เสียงโลงศพแตกหักเสียงหนึ่ง แล้วทุกคนก็ต่างชะงักฝีเท้ากัน
จู่ๆโลงศพก็คลายออก และพังลงกับพื้นเสียงดังสนั่น ศพของกู้ชิวเซียงกลิ้งลงบนพื้น เห็นเพียงแค่ร่างของกู้ชิวเซียงที่เกิดรอยฟกช้ำบนศพแล้ว บนใบหน้าโปะทับด้วยแป้งอันหนา ราวกับจะปกปิดสถานการณ์ความตายที่น่าหวาดกลัว และทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำ ซึ่งช่างสะดุดตานัก
ทุกคนต่างร้องอุทานว่า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นนี้ขึ้นระหว่างทางส่งศพ
ผู้คนทั้งสองฝั่งของถนนฉางอันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก เนื่องจากรู้ว่าวันนี้ตระกูลฉินและตระกูลกู้ทั้งสองตระกูลจะฝังสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ดังนั้นทั้งหมดจึงมาเฝ้าดูกัน แต่กลับได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นนี้
ศพของกู้ชิวเซียงตากอยู่ภายใต้แสงแดด หน้าตาของคนตระกูลฉินและคนตระกูลกู้ล้วนบูดบึ้งกันหมด ไม่มีใครคิดถึงว่าเรื่องราวเช่นนี้จะเกิดขึ้น
ด้านข้างเริ่มมีคนวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนานา “ไม่ใช่บอกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ถูกสัตว์ป่าทำร้ายจนตายหรอกหรือ? เห็นได้ชัดว่า……”
“เจ้าพูดเบาๆหน่อย อย่าให้คนของตระกูลฉินและตระกูลกู้ได้ยินเข้าล่ะ……”
“กลัวอันใด? ยังไม่ให้ผู้คนพูดกันหรือ?”
“ใช่สิ นี่ไม่ได้เห็นชัดว่าถูกข่มขืนติดต่อกันจนตายหรอกหรือ?”
ผู้คนที่ชี้กันไปมาโดยรอบยิ่งอยู่ก็ยิ่งมากขึ้น กู้หนานเฉิงใบหน้าบูดบึ้ง เรื่องนี้มอบให้อี๋เหนียงรองไปจัดการ แต่กลับทำให้เป็นแบบนี้ไปซะได้
หลิวเล่าฮูหยินหายใจไม่ออกแล้วกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ยังไม่รีบกันอีก! ห่อศพของเซียงเอ๋อร์เอาไว้! คนตระกูลกู้ของพวกเจ้ามัวทำอะไรกัน! ถึงได้สะเพร่าแบบนี้!”
กล่าวประโยคนี้จบแล้ว หน้าตาที่เดิมทีซีดเผือดของหลิวเล่าฮูหยินก็ยิ่งซีดเซียวมากยิ่งขึ้นไปอีก และไม่สามารถหายทันได้จึงล้มหงายลงด้านหลังไป โชคดีที่นางหลิวรับไว้ได้
ฉินเจิ้งเป่าตะโกนอย่างตกใจว่า “ท่านแม่!”
กู้หนานเฉิงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี โชคดีที่คนของตระกูลฉินรีบห่อศพของกู้ชิวเซียงด้วยผ้าขาวอย่างเร่งด่วน การส่งศพในครั้งนี้ร่ำลือจนรู้กันไปทั่วทั้งเมืองหลวง
กู้หนานเฉิงตบอี๋เหนียงรองฝ่ามือหนึ่งในที่นั้น แล้วสั่งให้เลิกขบวน
เสียงตีฆ้องเล่นกลองเดิมนั้นได้หยุดลงในทันใด คำวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบก็ยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
กู้ชิวถางเกรงว่ากู้ชิวเหลิ่งไม่เคยออกจากจวนจะหลงทาง ดังนั้นจึงคุ้มกันกู้ชิวเหลิ่งไปตลอดทางที่กลับถึงยังจวนตระกูลกู้
อี๋เหนียงรองเดินโซซัดโซเซ โดยที่ปิดหน้าเอาไว้เดินตามอยู่ด้านท้าย สมองของคนทั้งคนนั้นตกตะลึงไปเลย โลงศพของกู้ชิวเซียงนางไม่ได้ระวังเลยว่าจะเกิดปัญหา เนื่องจากคิดว่าโลงศพของกู้ชิวเซียงได้เตรียมเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว และไม่ต้องเสียเงินทำใหม่อีกโลง ดังนั้นนางจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไว้ที่ร่างของฮูหยินใหญ่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
เอี้ยนซานเหนียงค่อยๆเว้นระยะออกห่างจากอี๋เหนียงรอง พร้อมกับฉายรอยยิ้มในแววตา
กู้หนานเฉิงตบโต๊ะ เตะเข้าไปทีหนึ่งตรงหน้าอกของอี๋เหนียงรองแล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “นังชั้นต่ำ!”
อี๋เหนียงรองจะสามารถต้านทานฝ่าเท้านี้ของกู้หนานเฉิงได้อย่างไร? คนทั้งคนถูกเตะออกไปไกลโดยที่กระอักเลือดออกมา เจ็บปวดจนม้วนขดตัวเป็นวงกลม
“นาย……นายท่าน!”
“ข้าแค่สั่งให้เจ้าจัดการหนึ่งเรื่องแค่นี้ เจ้าก็สร้างแผนการเหล่านี้ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าจงใจกระทำ!”
“นายท่าน ข้าเปล่าเจ้าค่ะ! ข้าไม่รู้จริงๆว่าเหตุใดโลงศพถึงเกิดปัญหาได้!”
กู้ชิวเหลิ่งยืนอยู่ฝั่งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่ออย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ อี๋เหนียงได้ตรวจสอบโลงศพทั้งหมดก่อนส่งศพหรือไม่?”
“คือ……”
อี๋เหนียวรองไม่ได้ตรวจสอบโลงศพจริงๆ เนื่องจากตอนแรกโลงศพของกู้ชิวเซียงสร้างโดยฮูหยินใหญ่ คิดว่าเช่นไรฮูหยินใหญ่ก็ไม่มีทางให้โลงศพเกิดปัญหา และนางก็ไม่เคยจัดการเรื่องของพิธีส่งศพเลย ดังนั้นเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดได้มุ่งไปที่พิธีการ จึงได้ละเลยโลงศพไป
กู้หนานเฉิงโกรธจนเนื้อตัวสั่นเทา “เด็กๆ! ใช้กฎตระกูล!”
อี๋เหนียงรองหน้าซีดด้วยความตกใจ “นายท่าน!”
กู้ชิวเหลิ่งไม่รู้ว่ากฎตระกูลของในจวนคือสิ่งใด แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมากของอี๋เหนียงรอง ก็รู้ว่ากฎตระกูลนี้จะต้องเอาชีวิตคนได้อย่างแน่นอน
อี๋เหนียงรองมองไปที่เอี้ยนซานเหนียง หวังว่าเอี้ยนซานเหนียงจะสามารถขอร้องแทน แต่เอี้ยนซานเหนียงราวกับว่ามองไม่เห็นกระนั้น แล้วกล่าวด้วยท่าทีที่เสียดายว่า “หากรู้ว่าเรื่องราวจะมาถึงขั้นนี้ ซานเหนียงไม่ควรเลยจริงๆ……ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของซานเหนียงเจ้าค่ะ”