ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 137 โลภมากมักลาภหาย
เซียวอวิ๋นเซิงอ้ำอึ้งพูดไม่ออก แม้จะทำเงินได้มากเพียงไร ทว่าเงินเหล่านั้นหาได้อยู่ในมือของเขา!
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวต่อไปว่า “เซียวโหวเย๋น้อยเคยบอกไว้ก่อนหน้า โรงน้ำชายีผิ่งนี้เป็นของข้าแล้ว ดังนั้นเจ้าเองก็มิใช่เจ้านายข้า อย่างมากก็เป็นได้เพียงแหล่งสินค้าของข้า บัดนี้โรงน้ำชายีผิ่งคงสามารถจ่ายเงินให้เจ้าจำนวนห้าแสนตำลึงได้ใช่หรือไม่? ห้าแสนตำลึงแลกกับโรงน้ำชา นี่คือสิ่งที่เราได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้า”
เซียวอวิ๋นเซิงกัดฟันกรอด โรงน้ำชายีผิ่งในบัดนี้ อย่าว่าแต่ห้าแสนตำลึงเลย เพียงรายรับแต่ละเดือนก็เกินกว่าหนึ่งล้านห้าแสนตำลึงแล้ว ทั้งยังมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเขาเองก็มิได้ขาดแคลนเงินจำนวนห้าแสนตำลึงทอง ในตอนแรกที่ตกลงเพราะเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพียงอยากรู้ว่ากู้ชิวเหลิ่งจะมีเงินมากมายเพียงไร บัดนี้เป็นเช่นไรเล่า ได้ไม่คุ้มเสีย ต้องมาสูญเสียโรงน้ำชากันเลอค่านี้ไปเปล่าๆ
กู้ชิวเหลิ่งเผยรอยยิ้มออกมา “อย่าได้รีบร้อนไป ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกแล้วมิใช่หรือ? แต่ละปีจะมาเติมสินค้าจากเจ้า เท่ากับว่าข้าจ่ายให้เจ้าเดือนละสองแสนตำลึง เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่?”
“……แม่หนูน้อย เจ้าจะไร้ความเป็นธรรมเช่นนี้มิได้”
“จากราคาเดิมที่กำหนดเอาไว้ ข้าตกลงกับเจ้าว่าจะให้หนึ่งแสนตำลึง บัดนี้ข้าเพิ่มให้อีกห้าหมื่นตำลึง เหตุใดจึงกล่าวว่าไร้ความเป็นธรรม?”
เซียวอวิ๋นเซิงยกมือขึ้นกุมศีรษะ ต้องรู้ก่อนว่าชาจินฉานี้เพียงแค่ปริมาณเล็กน้อยก็มีค่านับร้อยตำลึง เดือนหนึ่งทำเงินได้อย่างน้อยหนึ่งล้านห้าสิบตำลึง หนึ่งปีก็เท่ากับพันกว่าล้านตำลึง แต่กู้ชิวเหลิ่งกลับจ่ายให้เขาเพียงปีละสองแสนตำลึง นี่มันต่างอันใดกับการปล้น
เซียวอวิ๋นเซิงกลอกตาในทันใดแล้วพูดว่า “แม่หนู ภูเขาใบชานี้เป็นของตระกูลข้า เจ้ามิกลัวว่าข้าจะตัดหนทางทำเงินของเจ้าหรือ? เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าข้ามีโรงน้ำชาอีกสองแห่ง”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มขึ้นแล้วกล่าวด้วยความเยือกเย็น “อืม ดียิ่งนัก เซียวโหวเย๋น้อยเชิญทำตามประสงค์ สามารถตัดหนทางทำเงินของข้าได้ก็ทำเถิด เมื่อเวลาสองเดือนมาถึง แล้วเจ้ายังไม่สามารถตัดหนทางทำเงินของข้าได้เล่า?”
เซียวอวิ๋นเซิงราวกับถูกไฟปลุกระดม “หากข้ามิอาจตัดช่องทางการทำเงินของเจ้าได้ ข้าจะไปใช้แซ่ของเจ้า!”
ล้อเล่นงั้นหรือ? เขาเซียวอวิ๋นเซิงคือใครกัน? เขาคือบุตรชายของเซียวโหวเย๋! หลานชายของนายท่านเซียว! หากนำเงินของตระกูลออกมาเปรียบเทียบกัน เขาก็สามารถจัดการกู้ชิวเหลิ่งได้โดยง่าย
เซียวอวิ๋นเซิงเห็นว่ากู้ชิวเหลิ่งดูไม่แยแส จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าตนเหมือนจะเสียเปรียบ ดังนั้นจึงได้กล่าวขึ้นว่า “แม่หนูน้อย แล้วหากเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ เจ้าว่าจะทำเช่นไร?”
“เซียวโหวเย๋น้อยลองกล่าวมาเถิด หากสมเหตุสมผล ข้านั้นก็จะยอมรับทุกประการ”
“ข้าต้องการเจ้า!”
“หืม?”
เซียวอวิ๋นเซิงหัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน “ข้าต้องการให้เจ้าดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า!”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มเบาๆ “หากข้าชนะ ข้าก็จะร่วมดื่มสุรากับเจ้าด้วย”
“เจ้าว่าเองนะ”
สายตาของเซียวอวิ๋นเซิงมองไปยังบ่าซ้ายของกู้ชิวเหลิ่ง เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วขมวดคิ้ว “แม่หนูน้อย”
“มีเรื่องใด?”
“เจ้ากับเซ่อเจิ้งหวางมีความสัมพันธ์กันเช่นไร?”
เมื่อประเดนลงมาที่ตัวเซ่อเจิ้งหวาง สายตาของกู้ชิวเหลิ่งก็ดูหนักอึ้ง นางกล่าวว่า “เรื่องนี้เซียวโหวเย๋น้อยมิต้องเอ่ยถามให้มากความ อันที่จริงข้าก็กลับมาโดยปลอดภัย หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว เซียวโหวเย๋น้อยก็ควรกลับไปแล้วมิใช่หรือ? เจ้าแอบออกมาพบข้า หากเรื่องนี้ถูกเซียวโหวเย๋รู้เข้า เจ้าอาจหายตัวไปเป็นเวลาครึ่งเดือนอีกก็ได้”
เซียวอวิ๋นเซิงมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก แท้จริงแล้วเขามิได้กลัวบิดาของเขากักบริเวณ เพียงแต่ในใจของเขาดูไม่พอใจกับความสัมพันธ์ของกู้ชิวเหลิ่งกับอวี้ฉือจ้าน ในครั้งนั้นที่กู้ชิวเหลิ่งได้รับบาดเจ็บ อวี้ฉือจ้านได้อุ้มนางเข้าไปในกระโจมแล้วออกมาขับไล่คนอื่นๆ ออกไปด้วยตนเอง เขามิเคยเห็นอวี้ฉือจ้านเข้าหาผู้หญิงคนใดก่อนเช่นนี้
ในแคว้นต้าเยียน ใครมิรู้บ้างว่าเซ่อเจิ้งหวางไม่เข้าใกล้สตรีเกินสามฉื่อ
ทว่ากับกู้ชิวเหลิ่งนั้นแตกต่างกัน
ก่อนที่จะเดินทางจากไป เซียวอวิ๋นเซิงได้ถามขึ้นอย่างลังเลว่า “อย่าลืมไปเล่า เจ้าและฉู่สวินมีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ อย่าได้เข้าใกล้อวี้ฉือจ้านให้มากนัก บางทีเขาอาจเพียงแค่หยอกเล่นกับเจ้า แต่ฉู่สวินนั้นจริงจังต่อเจ้า”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะออกมาอย่างไร้ความรู้สึก แล้วกล่าวเบาๆ “ขอบคุณเซียวโหวเย๋น้อยที่เตือนข้า”
สำหรับฉู่สวินคนผู้นี้ ยังคงดูสับสนงุนงงในความทรงจำของร่างกายนี้ ก่อนหน้านี้กล่าวว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน เป็นการตอบตกลงจากนางโดยมิได้ตั้งใจ แต่องค์ชายตัวประกันในราชวงศ์ก่อนผู้อยู่แคว้นเป่ยอันไกลโพ้น กลับเอาใจใส่นางตลอดหลายปีมานี้โดยไม่เคยขาดตกบกพร่อง
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกปวดหัวยิ่งนัก นางเป็นเพียงบุตรสาวของจวนโหวธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดจึงไปเกี่ยวข้องกับทายาทเพียงหนึ่งเดียวของแคว้นเป่ยเช่นนี้ได้?
“ผู้ใด?!”
การระมัดระวังตัวของกู้ชิวเหลิ่งนั้นยอดเยี่ยมเสมอมา แต่บัดนี้ นางเพิ่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจของใครบางคนในลาน
จูเอ๋อร์รีบวิ่งเข้ามาจากประตูใหญ่ ด้วยเกรงว่าภายในลานจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น แต่กลับพบว่าด้านหลังภูเขาจำลองนั้นมีชายคนหนึ่งเดินออกมา เขาก็คือกู้เจินผู้ที่ถูกลืมไว้ในโรงเตี๊ยมเมื่อหลายวันก่อน
สีหน้าของกู้ชิวเหลิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย นางเอ่ยถามว่า “ครั้งก่อนข้าก็อยากจะถามเจ้ายิ่งนัก ว่าเจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
กู้เจินเดินตรงเข้ามาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำว่า “วรยุทธของข้าดี คนที่นี่จึงมิได้สังเกตเห็นข้า”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปด้วยแววตาแหลมคม “เมื่อครู่เจ้าแอบอยู่ด้านหลังภูเขาจำลองและได้ยินบทสนทนานานเท่าใด?”
“ก็มิได้นานนัก นับแต่คนที่นามว่าเซียวโหวเย๋น้อยมาถึง ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว”
ริมฝีปากของกู้ชิวเหลิ่งเผยอขึ้น “เจ้ามิกลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ?”
กู้เจินเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นช่างลึกลับ มองไม่เห็นตื้นลึกหนาบาง แต่ให้ความรู้สึกสงบ
“ให้เจ้า”
เช่นเดียวกับคราก่อน มันเป็นกล่องอาหารที่ไม่ใหญ่มาก กู้ชิวเหลิ่งมองไปทางกู้เจินพร้อมทั้งเอื้อมมือไปรับกล่องข้าวนั้นมาช้าๆ ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา กู้เจินก็ทำทีท่าจะจากไป
“ช้าก่อน”
กู้เจินหยุดฝีเท้าลง แต่มิได้หันหลังกลับมามอง
“เจ้ารู้จักชายที่มีนามว่าจวินหวาเทียนหรือไม่?”
ชั่ววินาทีนั้น ดูเหมือนแผ่นหลังของกู้เจินจะแข็งทื่อ กู้เจินมิได้ทิ้งคำใดๆ ไว้ ร่างอันว่องไวหายลับไปตรงกำแพงสูงของจวนกู้โหวอย่างรวดเร็ว
จูเอ๋อร์เบ้ริมฝีปาก “แปลกคน เขามาทำอะไรกันแน่?”
กู้ชิวเหลิ่งวางกล่องข้าวลงบนโต๊ะ เมื่อเปิดดูก็พบว่าข้างในเป็นฮะเก๋าใส้ผักอันร้อนระอุ
จูเอ๋อร์ยิ่งสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม “เอามาให้อีกแล้ว เขาเอาเงินมาจากไหนกันเจ้าคะ?”
กู้ชิวเหลิ่งนึกถึงทักษะอันคล่องแคล่วของเขาเมื่อครู่ จึงได้เอ่ยขึ้นว่า “วิทยายุทธเขาเก่งกาจเพียงนี้ มิรู้ว่าเขาจะยอมอยู่ข้างกายเช่นนี้หรือไม่”
การฝึกทหารนับแรมปี เพื่อได้ใช้ประโยชน์เพียงชั่วครู่ในยามจำเป็น แต่กู้เจิน ชายผู้นี้มิต่างอันใดกับว่าวที่สายขาด ไม่มีผู้ใดสามารถรั้งเขาไว้ได้ แต่นางต้องการผู้คุ้มกันที่มีความสามารถในการดูแลความปลอดภัยของนาง และฝึกฝนองค์กรมือสังหารที่เชื่อถือได้คนหนึ่ง
“นี่ก็สิ้นเดือนแล้ว ผู้จัดการนำกำไรสุทธิมาแล้วหรือไม่?”
“เอามาแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ยังมิกล้านำมาและมิกล้าแบกเข้ามาอย่างเปิดเผย ดังนั้นจึงใช้ตั๋วเงินแทน ผู้จัดการได้เอ่ยถามอีกว่า ช่วงนี้สินค้าหมดสิ้นแล้ว มิรู้ว่าจะให้ซื้อสินค้าจากเซียวโหวเย๋น้อยหรือไม่เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มอย่างเย็นชา “มิจำเป็น จงขายสินค้าทุกอย่างให้หมดสิ้น เหลือไว้เพียงพื้นที่อันว่างเปล่าเป็นพอ”