ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 138 ใช้มันรับรองแขก
ข่าวที่คุณหนูใหญ่ตระกูลกู้เสียชีวิตเพราะประสบเคราะห์ร้ายแพร่สะพัดทั่วเมืองหลวง เนื่องจากศพของกู้ชิวเซียงถูกเผยในที่สาธารณะ ดังนั้นจึงมีคนเห็นกว่าร้อยคน ด้วยการบอกเล่าจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน ช่วงเวลาไม่นานทุกคนจึงทราบว่ากู้ชิวเซียงถูกกลุ่มคนรุมย่ำยีจนเสียชีวิต เรื่องเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับข่าวลือในเมืองหลวงเมื่อก่อนหน้านี้
กู้ชิวเซียงเรียกร้องความตื่นเต้นกับลูกหลานคหบดีในพื้นที่ล่าสัตว์จนเสียชีวิต
ด้วยการบอกเล่าปากต่อปากจึงกลายเป็น “เรื่องจริง” ในสายตาชาวบ้าน
องค์หญิงอานไท่ได้ยินข่าวนี้เมื่ออยู่ในตำหนักของนางกำนัลวังหลวง รู้สึกแช่มชื่นอุราอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ครั้นนึกถึงท่าทางตายเยิ้มที่อวี่เหวินหวายมองกู้ชิวเซียงเมื่อก่อนหน้านี้ ความริษยาต่อกู้ชิวเซียงก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ
“ให้กู้ชิวเซียงตาย รับความอัปยศอดสูสุดคณนา ช่างสาแก่ใจโดยแท้”
ผู้ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นจึงเอ่ย “องค์หญิง เช่นนั้นศพของคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้…”
“เจ้าเข้าถึงศพนางได้หรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอานไท่เอ่ยอย่างพึงพอใจยิ่ง “เช่นนั้นก็ขโมยออกมาอย่างไม่ให้ใครพบใครเห็น เจ้าทำได้หรือไม่?”
บุรุษที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเอ่ย “องค์หญิงโปรดวางใจ ข้าน้อยต้องจัดการให้เรียบร้อยแน่ จะไม่ให้เหลือเบาะแส”
องค์หญิงอานไท่ยกยิ้มริมฝีปากแดง แล้วส่งสายตากับอานูที่อยู่ด้านข้าง
อานูพลันเข้าใจ ล้วงทองคำสิบตำลึงออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนให้บุรุษที่อยู่ตรงพื้น
บุรุษรีบเก็บเงินไว้ในอก เอ่ย “ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ รับรองว่าศพต้องส่งมาถึงตรงหน้าองค์หญิงอย่างไม่เกิดความผิดพลาดแน่นอน”
องค์หญิงอานไท่พยักหน้าอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะโบกมือ “เจ้าออกไปได้”
“ข้าน้อยทูลลา”
ช่างตัดเย็บหญิงของห้องตัดเย็บเอ่ยขึ้นจากนอกประตู “องค์หญิง กวานหงส์และเสียเพ่ย*เสร็จแล้วเพคะ เชิญองค์หญิงทอดพระเนตร”
ครั้นได้ยินว่าเป็นกวานหงส์และเสียเพ่ย ดวงตาขององค์หญิงอานไท่ก็ลุกวาว อมยิ้ม “เร็ว รีบเข้ามาเร็ว”
ในมือช่างตัดเย็บหญิงที่อยู่นอกประตูถือถาดที่จัดวางกวานหงส์และเสียเพ่ยอันงามวิจิตรอยู่ สีสันก็เป็นสีแดงสดอย่างที่นางชอบมากที่สุด เสริมด้วยยวนยางดิ้นทอง งดงามยิ่ง ไม่เพียงหรูหรา ทั้งยังดูสง่าสูงส่งอีกด้วย
ลูกปัดที่ประดับอยู่กับกวานหงส์ยิ่งประณีตสวยถึงที่สุด หากนางสวมกวานหงส์นี้จะต้องมีสิริโฉมเหนือผู้อื่นเป็นแน่
“เชิญองค์หญิงลองดูก่อนเพคะ”
องค์หญิงอานไท่เอ่ย “พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าจะชื่นชมเอง”
“บ่าวทูลลา”
ทว่ากลับมีนางกำนัลผู้หนึ่งส่งสายตาไปทางอานู แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีจะเดินออกจากห้องนี้แม้แต่น้อย
องค์หญิงอานไท่พลันขมวดคิ้ว “เจ้ามองอะไร! เชื่อหรือไม่ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเสีย!”
“บ่าวสมควรตาย! บ่าวสมควรตาย!”
“ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก!”
“บ่าวทูลลา!”
รอจนนางกำนัลออกไปหมดแล้ว องค์หญิงอานไท่จึงเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด “อานู เจ้ามาแต่งตัวให้ข้า”
“รับทราบ”
นางกำนัลตรงปากประตูฟังการสนทนาเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง แล้วจึงรีบออกจากตำหนัก
“อะไรนะ?! นางถึงกับให้ผู้ชายแต่งตัวให้นาง?”
นางกำนัลคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ย “บ่าวไม่กล้าพูดปดแม้แต่คำเดียว องค์หญิงอานไท่ให้พวกบ่าวออกมา แต่กลับให้ผู้ชายคนนั้นอยู่รับใช้ปรนนิบัติ ตอนอยู่ตรงปากประตูบ่าวยังได้ยินองค์หญิงสั่งให้ผู้ชายคนนั้นมาช่วยแต่งตัวด้วยเพคะ”
ทีแรกอวี่เหวินหวายยังมีใจชอบพอองค์หญิงอานไท่ประมาณหนึ่ง ครั้นนึกถึงโฉมหน้านางในงานเลี้ยงแห่งแคว้นแล้ว เขาก็หวั่นไหวสามส่วน แต่ระยะนี้องค์หญิงอานไท่ปฏิเสธพบเขาจึงทำให้เขากระวนกระวายใจยิ่งนัก ดังนั้นจึงส่งนางกำนัลไปสอดแนม กลับคิดไม่ถึงบุรุษข้างกายองค์หญิงอานไท่ผู้นั้นกลับเคยเป็นชายบำเรอของนางด้วย
อวี่เหวินหวายนึกว่าตนดีเด่นล้ำเลิศ ไม่เคยถูกอิสตรีนางไหนสวมเขามาก่อน ยามนี้เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้วจะอดทนอดกลั้นได้อย่างไร?
เดิมเขาก็ทราบอยู่แล้วว่าองค์หญิงอานไท่มิใช่หญิงพรหมจรรย์ แต่อุปสรรคที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ดังนั้นจึงอดทน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเรื่องสามคล้อยตามสี่คุณธรรมที่องค์หญิงอานไท่กล่าวในท้องพระโรงจะไม่ถือเป็นจริง อดทนมาถึงตอนนี้เพลิงโทสะก็ลุกโชนอยู่นานแล้ว
“ไป! ข้าอยากไปดูสิว่านางจะทำเรื่องไร้ยางอายอะไรลับหลังข้าบ้าง!”
นางกำนัลโขกศีรษะพลัน เอ่ย “ท่านอ๋อง! ท่านไปตอนนี้ก็เท่ากับจะเอาชีวิตบ่าว! เห็นแก่ที่บ่าวรายงานตามจริง! โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเพคะ!”
อวี่เหวินหวายข้องใจถาม “ที่เจ้าว่ามามันหมายความว่าอย่างไร?”
นางกำนัลก้มศีรษะร้องไห้กระซิก “บ่าวได้ยินว่า หลายวันก่อนมีนางกำนัลในวังคนหนึ่ง ถูกองค์หญิงก็เฆี่ยนนางจนตายเพราะเรื่องเล็กน้อย บ่าวกลัวจริงๆ วันนี้ยังเพราะต้องการจะสืบความจึงมองผู้ชายที่อยู่ข้างกายองค์หญิงแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถูกองค์หญิงด่าทออย่างหนัก หากท่านอ๋องไปเวลานี้ องค์หญิงต้องทราบว่าบ่าวเป็นคนคาบข่าวมาบอกแน่ ถึงตอนนั้นชีวิตบ่าวก็รักษาไม่ได้แล้ว”
นางกำนัลกล่าวพลางโขกศีรษะ
ใบหน้าอวี่เหวินหวายมีอารมณ์โกรธ “เหลวไหล! นี่คือวังหลวง ผู้ใดจะตั้งศาลเตี้ยลงทัณฑ์โดยพลการได้! หนำซ้ำยังเป็นคนต่างถิ่น! นี่แทบไม่เห็นต้าเยียนของพวกเราอยู่ในสายตา!”
นางกำนัลก้มหน้าเอ่ย “ใช่แล้ว องค์หญิงเป็นคนต่างถิ่น แต่เป็นเพราะผู้ชายที่อยู่ข้างกายผู้นั้นมีวรยุทธ์สูงส่งจึงวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ท่านอ๋องหกคือว่าที่สวามีขององค์หญิง หลังจากอภิเษกสมรสแล้วย่อมสามารถสั่งสอนชี้แนะองค์หญิงได้อย่างสมด้วยเหตุผล ระยะนี้มิสู้อดทนไว้ก่อน แม้จะเป็นคนต่างถิ่น แต่เมื่อออกเรือนกับท่านอ๋องแห่งต้าเยียนของพวกเราแล้ว ก็ต้องยึดถือสามคล้อยสี่คุณธรรมเช่นกัน ต้องฟังและทำตามคำสั่งของท่านอ๋องทุกประการ บ่าวพูดได้ถูกต้องหรือไม่เพคะ?”
ถ้อยคำนี้ฟังแล้วรื่นหูยิ่ง ดังนั้นอวี่เหวินหวายจึงคลายอารมณ์โกรธ เมื่อนึกถึงว่านี่เป็นงานสมรสระหว่างสองแคว้น ถึงเขาจะเดือดดาลเพียงไร ก็ไม่อาจยกเลิกการแต่งงานในช่วงเวลาสำคัญนี้ได้ มิสู้รอให้เสร็จสิ้นการแต่งงานแล้วค่อยสั่งสอนนางทีหลังจะดีกว่า
บุรุษที่อยู่ข้างกายองค์หญิงอานไท่ก็จะเก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด!
นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่กับพื้นก้มหน้าหน้าลง บนใบหน้าฉายรอยยิ้มอยู่
—-
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเตรียมการเอาไว้แล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่ในห้องใต้หลังคาอันโล่งกว้าง มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ดวงหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
อวี้ฉือจ้านดื่มน้ำชาจอกหนึ่ง เอ่ย “สรรพสิ่งล้วนมีผู้พิชิต นี่เรียกว่าตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง”
“เจ้าใช้ความริษยาและความอำมหิตขององค์หญิงอานไท่สร้างความบาดหมางระหว่างตระกูลฉินกับตระกูลกู้ ต่อมาก็ใช้อวี่เหวินหวายมาสกัดกั้นองค์หญิงอานไท่อีก เหนือชั้นจริงๆ”
ทันใดนั้นอวี้ฉือจ้านก็เอามือวางไว้บนศีรษะของกู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งสะดุ้งนิดๆ แต่อวี้ฉือจ้านก็เก็บมือกลับไปแล้ว
“มีฝุ่น”
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้า เป็นอย่างที่คิด นางกำลังนั่งอยู่ตรงตำแหน่งใต้ขื่อ และบนขื่อก็มีฝุ่นจับ
กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้า “หากจะปรับแต่งที่แห่งนี้ยังต้องเปลืองแรงไม่น้อยจริงๆ”
“ฝู้จื่อโม่เป็นคนเลือก”
“มิน่าล่ะ”
ด้วยนิสัยขี้เหนียวของฝู้จื่อโม่ สามารถเลือกสถานที่รกร้างเช่นนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
อวี้ฉือจ้านเอ่ย “เจ้าคิดจะตั้งองค์กรมือสังหารก็มิควรต้องใช้สถานที่เด่นชัดเช่นนี้”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยอย่างเฉยเมย “ใครบอกว่าข้าจะตั้งองค์กรมือสังหาร?”
อวี้ฉือจ้านเลิกคิ้วนิดๆ “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าจะใช้มันรับรองแขกต่างหาก”