ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 139 อาศัยที่ข้าชอบเจ้า
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 139 อาศัยที่ข้าชอบเจ้า
อวี้ฉือจ้านวางจอกชาในมือลง แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เจ้าอยากใช้มันแย่งการค้าจากหอเฟิงเยว่?”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะเสียงเบา เดิมทีหอเฟิงเยว่ก็เป็นธุรกิจของอวี้ฉือจ้านและฝู้จื่อโม่ แต่หากกล่าวให้ถูก โดยแท้แล้วอวี้ฉือจ้านเป็นเถ้าแก่ แต่ใช้ชื่อฝู้จื่อโม่ออกหน้าเท่านั้น
“แย่งการค้ากับหอเฟิงเยว่แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรหรือ? อีกอย่างสถานที่แห่งนี้ฝู้จื่อโม่ก็เป็นคนเลือก หากเขาต้องการขัดขวางธุรกิจข้าแล้วจะมอบสถานที่ดีๆ ให้ข้าได้อย่างไร?”
“ในเมื่อเจ้าไม่ได้จะแย่งการค้าของหอเฟิงเยว่ เช่นนั้นเจ้าจะหาเงินด้วยวิธีการใด?”
กู้ชิวเหลิ่งเคาะโต๊ะ เอ่ย “นอกจากการร่ายรำบรรเลงเพลง ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เสพติดได้ เซ่อเจิ้งหวางทราบหรือไม่ว่ามันคืออะไร?”
อวี้ฉือจ้านราวกับตระหนักในจุดประสงค์ของกู้ชิวเหลิ่ง เอ่ย “เจ้าคิดจะเปิดโรงบ่อน?”
“ถูกต้อง”
กู้ชิวเหลิ่งคิดจะเปิดโรงบ่อนจริงๆ สถานที่อย่างโรงบ่อน ขอเพียงเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังมีอิทธิพลมากพอ ภายในสกปรกพอ เท่านั้นก็เป็นแหล่งรวมทรัพย์ได้แล้ว ถึงตอนนั้นยังมีอะไรที่เอาชนะไม่ได้อีก?
อวี้ฉือจ้านเอ่ย “เจ้าเป็นผู้หญิงที่บ้าบิ่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ”
สตรีเปิดโรงบ่อน หากไม่ใช่คนในยุทธภพ ก็ต้องเป็นนางโจร การที่คุณหนูตระกูลใหญ่เปิดโรงบ่อน หากวันหนึ่งถูกเปิดโปงขึ้นมา เช่นนั้นต้องถูกผู้คนรังเกียจทอดทิ้งแน่ อย่าว่าแต่ออกเรือนเลย แม้แต่การถูกทางการจับเข้าตารางก็เป็นเรื่องที่สมควรแก่เหตุผล
กู้ชิวเหลิ่งเล่นจอกน้ำชาที่อยู่ในมือ เอ่ย “จะบ้าบิ่นหรือไม่ ก็ต้องดูว่าเซ่อเจิ้งหวางจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน หากเซ่อเจิ้งหวางสนับสนุน ชื่อเจ้าของยังคงเป็นฝู้ซื่อจื่อ ส่วนข้าก็อำนวยความสะดวกเรื่องเงิน เก็บส่วนแบ่งผลกำไรของแต่ละปีห้าส่วน ที่เหลือส่วนหนึ่งเป็นเงินค่าแรงของคนในโรงบ่อน ที่เหลือก็เป็นของเซ่อเจิ้งหวาง ท่านเห็นเป็นอย่างไร?”
อวี้ฉือจ้านมิได้โง่งม เอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีเงินเปิดโรงบ่อนหรือ? ถ้าข้าจะเปิดเสียเอง เช่นนั้นก็ไม่มีธุระอะไรของคุณหนูรองแล้ว และไม่ต้องเสียส่วนแบ่งห้าส่วนเปล่าๆ ด้วย คุณหนูรองคิดว่าที่ข้าพูดถูกต้องหรือไม่”
ก็จริง ด้วยความสามารถของอวี้ฉือจ้าน ไม่จำเป็นต้องให้กู้ชิวเหลิ่งลงทุนก็สามารถเปิดโรงบ่อนที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวงอย่างง่ายดายได้แล้ว จุดนี้กู้ชิวเหลิ่งทราบแต่แรกแล้ว
“เซ่อเจิ้งหวางทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงยอมทิ้งโรงน้ำชา?”
“เชิญคุณหนูรองกล่าวได้”
“แต่ไหนมาข้าทำงานจะไม่เหลือทางหนีใดให้ตัวเอง ถึงเซ่อเจิ้งหวางรู้สึกว่าเงินทุนข้าจะไม่มีความหมายเลยก็ตาม แต่ข้าก็สามารถหาผู้ร่วมทุนคนอื่นได้ แน่นอน ข้อตกลงก่อนหน้านี้ของพวกเราก็ย่อมเป็นโมฆะด้วย”
อวี้ฉือจ้านหรี่ดวงตา ถ้อยคำของกู้ชิวเหลิ่งชัดเจนมาก เซียวอวิ๋นเซิงชอบกู้ชิวเหลิ่งมานานแล้ว แต่การที่นางมาหาเขาและทิ้งเซียวอวิ๋นเซิงในคราวนี้ ก็ย่อมสามารถทิ้งเขาและไปหาเซียวอวิ๋นเซิงได้เช่นกัน ส่วนที่ว่าไม่เหลือทางหนี ก็เพราะเลือกได้เพียงทางเดียว
กล่าวโดยง่ายก็คือกู้ชิวเหลิ่งมัดมือชกนั่นเอง
“เจ้ามั่นใจอยู่แล้วว่าข้าต้องตกลง?”
เมื่อนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็แวบผ่านใบหน้า “ข้ามิใช่เทพเซียน จะเสี่ยงทายรู้อนาคตได้อย่างไร? ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของท่าน ข้าเพียงแค่เลือกผลประโยชน์เท่านั้น หรือว่ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?”
ทันใดนั้นอวี้ฉือจ้านก็ขยับเข้ามาใกล้กู้ชิวเหลิ่ง ยกรอยยิ้มตรงมุมปากเป็นมุมโค้ง “นี่เจ้าอาศัยที่ข้าชอบเจ้า จึงทำตามอำเภอใจหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งตาไม่กะพริบ ตอบ “มิใช่การทำตามอำเภอใจ หากเซ่อเจิ้งหวางยินดีที่จะสนับสนุนข้า รายได้นี้ยังจะมากกว่าหอเฟิงเยว่เป็นสิบเท่า”
โรงบ่อนคือขุมทรัพย์ ไม่ว่าผู้ใดที่มีโรงบ่อนขนาดใหญ่ ก็หมายถึงการกินดีอยู่ดีตลอดชีวิตด้วย
อวี้ฉือจ้านมองดวงตาคู่นั้นของกู้ชิวเหลิ่งที่ดุจบ่อน้ำลึกไม่เห็นก้น ราวกับจะถูกดูดกลืนเข้าไป จากนั้นก็พลันกระจ่าง “ได้”
อวี้ฉือจ้านเป็นผู้ดึงระยะห่างของทั้งสองก่อน ยกจอกน้ำชาในมือ เอ่ย “น้ำชาแทนสุรา ขอให้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข”
ดวงตากู้ชิวเหลิ่งอมยิ้ม “ขอให้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข”
“ได้เวลาแล้ว สถานที่ก็ดูแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับไป”
“ขอบคุณในความปรารถนาดีของท่านอ๋อง แต่ตอนนี้ท้องถนนมีผู้คนคลาคล่ำ ข้ากลับไปเองก็ได้”
อวี้ฉือจ้านมองออกนอกหน้าต่าง มีผู้คนสัญจรมีมากกว่าปกติอย่างที่คิด เพิงน้ำชาหลายหลังก็มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด ไม่ทราบว่ากำลังสนทนาอะไรกันอยู่
แต่ด้วยความชาญฉลาดของอวี้ฉือจ้านจึงคิดได้ว่าพวกเขาต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่โลงศพของกู้ชิวเซียงหักแน่
จากนั้นก็เห็นท่วงท่าชดช้อยของกู้ชิวเหลิ่งเตรียมตัวหมุนตัวลงข้างล่าง อวี้ฉือจ้านจึงพลันรู้สึกว่าหาเรื่องให้ตนเอง
กู้ชิวเหลิ่งเดินลงไปถึงชั้นล่างแล้ว อวี้ฉือจ้านสั่ง “จีเฟิง ส่งคนไปอารักขานางกลับไป ต้องคุ้มครองความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง”
จีเฟิงขานรับอย่างเคารพนอบน้อม “ขอรับ”
ดวงตาที่อวี้ฉือจ้านมองกู้ชิวเหลิ่งขึ้นรถม้าอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งรถม้าหายลับไปจากสุดถนน จากนั้นจู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว
จีเฟิงเพิ่งลงถึงข้างล่างก็ได้ยินเสียงของอวี้ฉือจ้าน ดังนั้นจึงรีบวิ่งขึ้นไปอีก “ไม่ทราบมีอะไรหรือขอรับ”
“ไม่ถูก…”
ความกระวนกระวายแวบผ่านในสายตาของอวี้ฉือจ้าน “เตรียมม้า! รีบตามไป!”
ยังเป็นครั้งแรกที่จีเฟิงเห็นสายตาอย่างนั้นของนายตัวเอง ดังนั้นจึงไม่กล้าชักช้า รีบเอ่ย “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
ทว่าอวี้ฉือจ้านรอจีเฟิงเตรียมม้าไม่ไหว ทะยานตัวกระโดดขึ้นห้องใต้หลังคาโดยตรง
จีเฟิงนั่งอยู่บนหลังม้าเร่งตามนายของตัวเอง
“ให้องครักษ์ลับค้นหาทุกเส้นทางไปจวนโหว!”
“ขอรับ!”
หวังว่าเมื่อครู่จะตาฝาด รถม้าของกู้ชิวเหลิ่งเคลื่อนตัวไปได้ไม่นานก็มีคนจากเพิงน้ำชาตามไปห้าคน ฝีเท้านั้นดูแล้วเหมือนผู้ฝึกยุทธ์ แม้จะไม่ใช่ยอดฝีมือชั้นหนึ่ง แต่ด้วยวรยุทธ์และอาการบาดเจ็บที่ไหล่ซ้ายของกู้ชิวเหลิ่งก็มิอาจรับมือกับห้าคนได้ตามลำพัง
รถม้าของกู้ชิวเหลิ่งเคลื่อนมาถึงตรอกเล็กหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุด เลือดสาดใส่ผ้าม่าน ศีรษะของคนขับรถม้าหลุดออกจากกันแล้ว อีกทั้งไม่เห็นความเคลื่อนไหวในรถม้าด้วย
บุรุษเผยหน้าและถือดาบอยู่ในมือนามหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ล้อมรถม้าไว้ อย่าให้คนหนีไปได้! ผู้ว่าจ้างสั่งไว้ว่าต้องให้ตายสนิท”
“แม่นางน้อยคนหนึ่ง พี่ใหญ่มิต้องกลัวไปหรอก ให้ข้าจัดการเอง!”
เมื่อนั้นก็มีคนสองสามคนชูดาบเข้าฟันรถม้าจนกระจุย ทว่ากลับไม่พบเงาคนอยู่ในนั้น
“คนล่ะ?”
“ข้าอยู่นี่”
กู้ชิวเหลิ่งกระโดดลงมาจากกลางอากาศ สีหน้านิ่งเรียบดุจน้ำในบ่อตาย
คนทั้งห้ามองกันไปมองกันมา การที่แม่นางน้อยคนหนึ่งมีวิชาตัวเบา นี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจอยู่บ้าง
“อย่างไร? ไม่ใช่ว่าต้องการฆ่าข้าหรือ?”
จากนั้นผู้ที่เป็นหัวหน้าในนั้นก็รู้สึกได้ถึงการยั่วยุจากดวงตาของกู้ชิวเหลิ่ง จึงตะโกนขึ้นด้วยความเหี้ยมเกรียม “ลงมือ!”
ทั้งห้าคนเคลื่อนไหวว่องไวมาก พวกเขาเข้าล้อมซากรถม้า กู้ชิวเหลิ่งมือเปล่าปราศจากอาวุธ ทว่าดาบในมือของคนทั้งห้ากลับเหมือนพร้อมฟันคอเรียวของกู้ชิวเหลิ่งทุกเมื่อ