ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 140 การลอบสังหารที่หลิวเล่าฮูหยินวางแผน
แววตาของกู้ชิวเหลิ่งกลายเป็นเฉียบคมในทันที ดาบของคนหนึ่งในนั้นฟันมาทางนานแล้ว กระบวนท่ามิได้สมบูรณ์ครบถ้วน กู้ชิวเหลิ่งจับช่องโหว่ได้จึงกระโดดขึ้น แล้วใช้มีดสั้นที่ไม่ทราบว่าซ่อนอยู่ในแขนเสื้อตั้งแต่เมื่อไหร่แทงเข้าที่ข้อมือของคนผู้นั้นด้วยความเร็วและแม่นยำ
อีกฝ่ายเจ็บจนวางดาบในมือ กู้ชิวเหลิ่งจึงเก็บมันขึ้นมา เมื่อคนที่เหลือเห็นว่าคนผู้นั้นเสียมือไปแล้วจึงโกรธจนดวงตาแดงก่ำ การลงดาบก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย
กู้ชิวเหลิ่งตัวเบา ดังนั้นจึงยืนอยู่บนรถม้าได้อย่างง่ายดาย กลับเป็นบุรุษหยาบกร้านทั้งสี่เสียอีก ที่อย่างไรก็ยืนอยู่ตรงขอบรถม้าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เมื่ออยู่บนรถม้า กู้ชิวเหลิ่งจึงอยู่สูงกว่าพวกเขามาก
เมื่อนั้นก็มีคนหนึ่งฟันคานม้าของรถม้า กู้ชิวเหลิ่งรีบกระโดดลงมาอย่างนับว่ายังมือเร็วตาไว
เพียงแต่ขณะที่ลงสู่พื้นนางไม่ทันระวังกระเทือนถูกแผลตรงไหล่ซ้าย
ทว่าจังหวะนั้นกู้ชิวเหลิ่งก็ฉวยโอกาสปาดหลอดเลือดแดงตรงคอของคนหนึ่ง เลือดสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าของนาง ส่วนอีกฝ่ายที่เสียชีวิตก็เบิกตาโพลง ดวงตาเป็นสีแดงก่ำอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คล้ายกับตายตาไม่หลับ
กู้ชิวเหลิ่งเคลื่อนไหวมากขึ้น บาดแผลก็ถูกกระเทือนมากตามไปด้วย การโยกตัวบางครั้งยังพอทำเนา แต่ร่างกายนี้ของกู้ชิวเหลิ่งกลับไม่มีกำลังให้นางใช้เต็มที่
ทันใดนั้นก็มีมีดบินซัดมาจากที่ไกลๆ ควบคุมแรงและความแม่นยำได้ดียิ่ง เสียบเข้าตรงกลางกะโหลกของคนร้ายหนึ่งเข้าอย่างพอดิบพอดี ส่วนมีดบินที่มาอีกหนึ่งกลับรวดเร็วยิ่งกว่าพุ่งผ่านแก้มของกู้ชิวเหลิ่งและปักเข้าหัวใจของอีกคน
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้นขวับ พบว่าผู้ที่มายืนอย่างสงบยิ่งอยู่ตรงนั้น ทั้งยังใช้ดาบได้ด้วยความเยือกเย็นราวกับไม่ต้องเปลืองแรง ซัดมีดบินออกไปยี่สิบเมตรก็ทำได้อย่างง่ายดาย
ผู้ที่มาสวมอาภรณ์สีเทาเข้มเรียบมีผ้าพันอยู่ตรงข้อมือ คือกู้เจิน
ก่อนหน้านี้กู้ชิวเหลิ่งก็คาดอยู่แล้วว่ากู้เจินมีวรยุทธ์ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะปรากฏตัวออกมาในยามนี้
มีดบินอันสุดท้ายในมือกู้เจินได้เล็งชายร่างผอมเล็กที่เนื้อตัวกำลังสั่นพั่บๆ เพราะคนที่เหลือเสียชีวิตหมดแล้ว แต่ขณะที่กำลังจะซัดออกไป จู่ๆ กู้ชิวเหลิ่งก็เอ่ยขึ้น “ช้าก่อน!”
กู้เจินหยุดการเคลื่อนไหวอย่างที่คิด ชายร่างผอมเล็กผู้นั้นชูดาบขึ้นพลัน คิดจะโจมตีกู้ชิวเหลิ่งจากด้านหลัง
กู้เจินขมวดคิ้วน้อยๆ จากนั้นก็ซัดมีดบินออกไปอย่างไม่ยั้งไมตรี เสียบเข้าตรงแขนที่กำลังยกดาบของคนผู้นั้นเข้าใจกลางพอดิบพอดี
ครั้นกู้ชิวเหลิ่งหมุนตัว ชายผู้นั้นกึ่งนอนอยู่กับพื้นแล้ว เจ็บจนร้องไห้ฟูมฟายหาบิดามารดา
แต่เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง กู้เจินก็อันตรธานหายไปแล้ว
“กู้ชิวเหลิ่ง!”
เมื่ออวี้ฉือจ้านพลิกตัวลงจากม้าก็เห็นเนื้อตัวกู้ชิวเหลิ่งเต็มไปด้วยเลือด มีดสั้นและดาบที่ถืออยู่ในมือก็เปื้อนเลือดเต็มไปหมด ตรงพื้นนอกจากชายร่างผอมเล็กคนนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่เหลือก็เป็นศพที่กระจัดกระจายอีกสี่ศพ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? ให้ข้าดูแผลที่ไหล่ซ้ายเจ้าหน่อย!”
อวี้ฉือจ้านยื่นมือออกไปจะจับบ่าของกู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งก็มิได้หลบ
เมื่อตรวจสอบว่าเลือดที่ติดอยู่ไม่ใช่ของกู้ชิวเหลิ่งแล้ว อวี้ฉือจ้านจึงโล่งอก ก้มหน้าดูศพทั้งสี่ จากนั้นสายตาก็ตกอยู่กับมีดบินที่อยู่บนตัวศพสองศพ
“จับเป็นได้หนึ่งคน ไม่ทราบว่าเซ่อเจิ้งหวางจะสืบได้ความอะไรได้หรือไม่?”
อวี้ฉือจ้านหรี่ดวงตา “รับรองว่าสารภาพหมดเปลือกในหนึ่งก้านธูป”
กู้ชิวเหลิ่งเย็นชา “หนึ่งก้านธูปนานเกินไป ข้าสอบสวนเองแล้วกัน”
กู้ชิวเหลิ่งล้วงเม็ดยาสีดำออกมาจากแขนเสื้อ คิดอยากบีบปากคนผู้นั้นให้เปิดออก ทว่าอีกฝ่ายกลับกัดฟันแน่น
รอยยิ้มของกู้ชิวเหลิ่งดั่งผีร้ายจากอเวจี “ถ้าเจ้ายอมอ้าปากดีๆ บางทียังอาจมีชีวิตรอด”
ไม่อย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมอ้าปาก รอยยิ้มของกู้ชิวเหลิ่งจึงค่อยๆ เลือนรางหายไป พร้อมกับออกแรงมือมากขึ้น งัดคางคนผู้นั้นหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย พร้อมยังทำฟันหลุดออกมาอีกสองซี่ด้วย
ชายผู้นั้นส่งเสียงครวญครางราวกับเชือดสุกร กู้ชิวเหลิ่งโยนยาเข้าไป แล้วบีบให้อีกฝ่ายกลืนลงก่อนจะเอ่ย “หากเชื่อฟังแต่โดยดีจะดีแค่ไหน? จะได้ลำบากน้อยลงหน่อย แต่นี่ถ้าเทียบกับความทรมานต่อจากนี้ของเจ้าก็เหมือนไม่นับเป็นอะไร”
คนผู้นั้นอึกๆ อักๆ พูดไม่ออก กู้ชิวเหลิ่งจึงเอ่ย “อยากรู้ว่าต่อไปเจ้าจะเป็นอย่างไรน่ะหรือ? ข้าเห็นตามตัวเจ้ามีบาดแผลไม่น้อย ถ้าปริในคราวเดียวจะเจ็บไหมนะ? ยานี้จะทำให้บาดแผลที่ตกสะเก็ดแล้วของเจ้าค่อยๆ ปริออก จากนั้นก็เน่า และท้ายที่สุดเจ้าก็จะเน่าเละทั้งตัวอย่างรวดเร็ว รสชาติที่ได้เห็นร่างกายตัวเองเน่าเปื่อยไปทีละน้อยคงทรมานมากกระมัง?”
อวี้ฉือจ้านนึกว่ากู้ชิวเหลิ่งแค่ล้อเล่น แต่เมื่อเห็นบาดแผลจุดหนึ่งบนตัวเขาเริ่มมีเลือดซึมออกมาก็ทราบว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่นเด็ดขาด
เสียงความเจ็บปวดที่คนผู้นี้เปล่งออกมาคล้ายไม่ใช่เสียงของมนุษย์ กู้ชิวเหลิ่งหยิบขวดเครื่องเคลือบขาวอีกขวดออกมาจากแขนเสื้อ ข้างในเป็นกลิ่นหอมหวานเหนียวหนืดที่คุ้นเคยดี
“น้ำผึ้งชั้นดี ไม่รู้ว่าถูบนแผลเจ้าแล้วจะเป็นอย่างไร?”
อีกฝ่ายมองน้ำผึ้งในมือกู้ชิวเหลิ่งด้วยความพรั่นพรึง หากถูของสิ่งนี้บนตัวต้องดึงดูดแมลงทั้งหลายมากัดกินแน่ ความทรมานเช่นนั้นสุดจะเอ่ยพรรณนา
เมื่อนั้นก็ได้ยินเสียงอ้อมแอ้มที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย “ข้าพูด”
กู้ชิวเหลิ่งหยุดมือ แล้วยื่นมือไปต่อคางของอีกฝ่าย เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึก “คือใคร?”
ชายผู้นั้นหลั่งน้ำมูกน้ำตาออกมาด้วยความเจ็บ เปล่งเสียง “เล่าฮูหยินแห่งจวนฉินกั๋วกง! ข้าน้อยไม่ได้โกหก! ท่านเป็นผู้ใหญ่โปรดอย่าถือสาความผิดของผู้น้อย! เห็นแก่ที่ข้าน้อยพูดความจริง! ละเว้นข้าน้อยด้วยเถิด!”
กู้ชิวเหลิ่งยกมุมปาก นิ้วมือเรียวดั่งหยกคล้องอยู่กับคางของคนผู้นั้น จากนั้นก็มีเสียงดังใสทีหนึ่ง และแล้วคางก็หลุดออกมาโดยสมบูรณ์
“สุนัขทรยศนายคนหนึ่ง แม้แต่จะเป็นสุนัขก็ยังไม่มีสิทธิ์…”
กู้ชิวเหลิ่งราดน้ำผึ้งในมือกับตัวคนผู้นั้นอย่างไม่เหลือไมตรี
ครั้นกู้ชิวเหลิ่งเห็นสายตาตกใจกลัวของชายผู้นั้นแล้วกลับไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
การใจอ่อนกับศัตรูก็จะเป็นความโหดเหี้ยมต่อตนเองยิ่ง เหตุผลนี้ยังเป็นจวินฉีเซิ่งสอนนาง
กู้ชิวเหลิ่งยืนขึ้นแล้วจึงเอ่ย “รบกวนเซ่อเจิ้งหวางจัดการเขาด้วย”
“รอให้เขาทรมานครบหนึ่งชั่วยามแล้ว ย่อมมิอาจลืมตาได้อีก”
อวี้ฉือจ้านไม่ตกใจกับความโหดเหี้ยมของกู้ชิวเหลิ่งแม้แต่น้อย เพราะแต่เดิมที่เขาชอบ ก็คือการไม่เก็บทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง ความเหี้ยมต่อศัตรูและตนเอง
“เส้นทางกลับจวนโหวอย่างน้อยก็มีสิบกว่าทาง มิทราบเซ่อเจิ้งหวางทราบได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”
อวี้ฉือจ้านเอ่ยเสียงหนัก “คนที่ข้าอวี้ฉือจ้านต้องการหา ไม่เคยพลาดสักครั้ง”
“เซ่อเจิ้งหวางมั่นใจกับทุกเรื่องที่ทำเช่นนี้เชียวหรือ?”
ทันใดนั้นอวี้ฉือจ้านก็โอบตัวนาง การกระทำนี้ไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน น้ำเสียงอวี้ฉือจ้านแหบพร่าเล็กน้อย “ข้าไม่เคยมีความมั่นใจเรื่องเจ้า”