ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 152 งานมงคลสมรสของสองแคว้น 1
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 152 งานมงคลสมรสของสองแคว้น 1
ในวันนี้ ในเมืองหลวงประดับประดาไปด้วยผ้าต่วนสีแดง งานมงคลสมรสของสองแคว้นสามารถพูดได้ว่าห้าสิบปีจะเห็นได้สักครั้ง บนถนนตรอกซอยเล็กใหญ่ล้วนคึกคักอย่างมาก ตรงกลางเหลือถนนที่กว้างขวางเอาไว้ ชาวบ้านยืนอยู่สองข้างทาง ต่างก็ใจจดใจจ่ออยากจะดูความครึกครื้นของงานมงคลสมรสของสองแคว้น
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ องค์หญิงที่งดงามที่สุดแห่งซีจิ้งกับท่านอ๋องหกแห่งราชวงศ์ปัจจุบันจะเดินทางจากถนนสายนี้ไปยังวังหลวง นี่ก็ถือว่าเป็นกฎที่มีมาช้านาน
ไม่เพียงเท่านั้น ถนนฉางอันสายนี้ยังจะมีเกี้ยวผ่านไปอีกเป็นร้อยเกี้ยว แต่ละท่านล้วนเป็นขุนนางชั้นสูงรวมไปถึงภรรยาลูกชายและลูกสาว ในวันนี้ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงแทบจะออกมากันหมด
ภายในจวนอ๋องหก องค์หญิงอานไท่แต่งกายด้วยเครื่องยศสตรีสีแดง เครื่องแต่งกายของต้าเยียนค่อนข้างจะละเอียดยิบย่อยกว่า องค์หญิงอานไท่สวมใส่อยู่บนตัวถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว แต่เมื่อเห็นตัวเองในกระจกทองเหลือง เย้ายวนสามส่วนงดงามเจ็ดส่วน อารมณ์ก็ดีขึ้นอย่างมาก
“ท่านอ๋องล่ะ?”
องค์หญิงอานไท่มองดูตัวเองในกระจกทองเหลืองอย่างเคลิบเคลิ้ม หากอวี่เหวินหวายเห็นรูปร่างหน้าตานี้ จะต้องทำให้อวี่เหวินหวายหลงใหลอยู่กับมันอย่างแน่นอน ไม่ ไม่เพียงแค่อวี่เหวินหวายเท่านั้น นางต้องให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงได้เห็นว่านางต่างหากถึงจะเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในโลกใบนี้
นางกำนัลโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวว่า: “ท่านอ๋องหกรออยู่ด้านนอกประตู”
องค์หญิงอานไท่พยักหน้าอย่างพอใจ กำลังคิดจะเดินออกไป ก็ถูกนางกำนัลขวางทางไปเอาไว้
“องค์หญิง งานมงคลสมรสของสองแคว้น องค์หญิงจำเป็นต้องสวมผ้าคลุมหน้าสีแดง ถึงจะสามารถออกไปได้”
องค์หญิงอานไท่ขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวว่า: “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนต้องว่าสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงถึงจะสามารถออกไปได้”
นางกำนัลกล่าวว่า: “นี่คือกฎของต้าเยียน ก่อนที่จะแต่งงานหญิงสาวจำเป็นต้องสวมผ้าคลุมหน้าสีแดง ห้ามปรากฏตัวในวงสังคม”
“เจ้า!”
“องค์หญิง ครั้งนี้เกี่ยวพันถึงงานมงคลสมรสของสองแคว้น จะกระทำการตามอำเภอใจไม่ได้ ฝ่าบาทได้สั่งการบ่าวให้สอนกฎของจวนอ๋องแก่ท่านในวันหน้า ให้บ่าวสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงให้ท่านเถอะ”
นางกำนัลสวมผ้าคลุมหน้าให้กับองค์หญิงอานไท่ ยังไม่ทันได้คลุม องค์หญิงอานไท่ก็จับข้อมือของนางกำนัลเอาไว้แล้ว กล่าวถามด้วยแววตาโหดเหี้ยม: “เจ้าชื่ออะไร?”
นางกำนัลก้มหน้าเอาไว้ กล่าวว่า: “บ่าวชื่อหงฝู”
องค์หญิงอานไท่เลิกคิ้ว กล่าวว่า: “ข้าจำเจ้าได้แล้ว เจ้าก็คือผู้หญิงที่จ้องมองอานูในวันนั้น?”
“บ่าวเองเพคะ”
“ช้าเร็วต้องมีสักวัน ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา”
หงฝูกล่าวขึ้นมาอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตนจนดูต่ำต้อย: “หลังจากวันนี้เป็นต้นไปองค์หญิงก็คือพระชายาของต้าเยียนเรา ควรระลึกเอาไว้ว่าต้องใช้สรรพนามแทนตัวเองด้วยข้าที่เป็นพระชายา ไม่เพียงแค่ต้องระวังคำพูดและการกระทำ สิ่งที่ต้องระวังมากกว่าก็ยังคงเป็นพฤติกรรมที่ห้ามผิดศีลธรรม”
พูดถึงตรงนี้ หงฝูคลุมผ้าคลุมหน้าสีแดงให้กับองค์หญิงอานไท่:”บ่าวขอทูลลา”
หงฝูถอยออกไปช้าๆ
องค์หญิงอานไท่กำหมัดเอาไว้แน่น ถ้าหากไม่ใช่เพราะวันนี้เป็นวันมงคลของนาง นางจะต้องให้นางกำนัลคนนี้ตายอย่างไร้ที่ฝังอย่างแน่นอน!
“อานู!”
อานูยืนอยู่ด้านหลัง กล่าวขึ้นมาอย่างเคารพนบนอบ: “องค์หญิงมีสิ่งใดจะสั่งการ”
“เจ้าติดตามนางกำนัลคนนี้เอาไว้ หลังจากงานมงคลสมรสจบลงแล้ว ตัดหัวของนางลงมาซะ!”
“บ่าวรับคำสั่ง”
ประตูห้องถูกเปิดออก ในตอนที่อวี่เหวินหวายปรากฏตัวอยู่ด้านนอกประตู ความโหดเหี้ยมบนใบหน้าขององค์หญิงอานไท่ก็หายวับไปในชั่วพริบตา แต่เพราะนางตื่นตระหนกไปชั่วขณะ เลยมองไม่เห็นความดำมืดที่แวบผ่านไปของอวี่เหวินหวาย
“คุณพี่……”
อวี่เหวินหวายฝืนยิ้มออกมา กล่าวว่า: “อีกสักครู่อยู่ต่อหน้าคนนอก เรียกข้าว่าท่านอ๋อง”
องค์หญิงอานไท่ขมวดคิ้ว แสดงความเศร้าเสียใจออกมาเล็กน้อย ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสาร
แต่ว่าอวี่เหวินหวายไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ เขายังจะตกหลุมรักเพราะความงดงามแห่งยุคขององค์หญิงอานไท่ แต่ว่าตั้งแต่ตอนที่เขารู้ว่าองค์หญิงอานไท่กับผู้ชายที่อยู่ข้างกายมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันแล้ว ในใจของเขานอกจากความโกรธแล้ว ไม่มีอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ เราไปกันเถอะ”
องค์หญิงอานไท่เห็นอวี่เหวินหวายไม่มีความหวั่นไหว ใบหน้าของกู้ชิวเซียงก็ปรากฏขึ้นมาในหัว เว้นแต่ว่าในใจของอวี่เหวินหวายยังมีกู้ชิวเซียง มิเช่นนั้นทำไมถึงไม่มีความสงสารต่อนางเลยแม้แต่น้อย?
องค์หญิงอานไท่มั่นใจในความงามของตนเอง ไม่พ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดอย่างเด็ดขาด ท่าทีราบเรียบธรรมดาที่อวี่เหวินหวายมีต่อนาง กลับปลุกเร้าความหึงหวงขององค์หญิงขึ้นมาอย่างแรงกล้า
ทางด้านนี้ จวนกู้โหวก็มีเกี้ยวมาในตอนเช้าตรู่ โดยมีอวี้ฉือจ้านควบม้าคุ้มกันมาด้วยตัวเอง ทำให้กู้หนานเฉิงหวาดหวั่นไปอยู่พักหนึ่ง ต่อมาถึงได้รู้ว่านี่คือเกี้ยวที่อวี้ฉือจ้านเตรียมเอาไว้ ปีนี้ฐานะของกู้ชิวเหลิ่งแตกต่างออกไป ยิ่งจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองงานมงคลสมรสของสองแคว้นในฐานะหนิงจวิ้นจู่ และหลังจากผ่านคืนนี้ไป จวินฉีเซิ่งก็จะพาฉินโม่เอ๋อร์กลับไปแคว้นฉี
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่ในเกี้ยว เปิดม่านหน้าต่างออกเล็กน้อย ถนนสายนี้คือถนนฉางอัน สามารถมองเห็นคนได้ไม่น้อย และทุกคนต่างก็กำลังเงยหน้าขึ้นมามอง ราวกับต้องการจะมองกู้ชิวเหลิ่งให้ทะลุปรุโป่รง
“เห็นหรือยัง? คนนี้ก็คือคุณหนูรองของตระกูลกู้ คือหญิงใบ้ก่อนหน้านี้คนนั้น”
“หญิงใบ้? ถ้าหากหญิงใบ้หน้าตาเช่นนี้ ขาดทุนข้าก็ยินดีจะแต่งงาน!”
“ก่อนหน้านี้เห็นพูดกันตลอดว่าคุณหนูรองคนนี้หน้าตาขี้เหร่ไม่ใช่หรือ? ครั้งนี้คนเขากลายเป็นหนิงจวิ้นจู่ เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง แต่สาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก่อนหน้านี้คนนั้น กลับ…….”
คนที่พูดมีมากขึ้นเรื่อยๆ คำพูดแบบไหนก็ล้วนเข้ามาในหูของกู้ชิวเหลิ่งหมด นางก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
กู้ชิวเหลิ่งปิดม่านเกี้ยวลง งานมงคลสมรสของสองแคว้นในครั้งนี้ การรักษาความปลอดภัยภายในเข้มงวดมาก ดังนั้นข้างกายจึงไม่สามารถมีสาวใช้ติดตามดูแลปรนนิบัติ อวี้ฉือจ้านหยุดรถม้าลงด้านหน้า ก็มีคนยื่นมือจะรับตัวกู้ชิวเหลิ่งลงมาแล้ว
อวี้ฉือจ้านเดินมาถึงตรงหน้าเกี้ยว กล่าวสั่งการ: “หว่านเฟยฝากให้ข้าส่งหนิงจวิ้นจู่ไปวังหลัง พวกเจ้าทุกคนถอยไปเถอะ”
ไม่มีใครกล้าไม่ฟังคำพูดของอวี้ฉือจ้าน ขันทีกับนางกำนัลที่เดิมทีวางแผนจะติดตามดูแลปรนนิบัติต่างก็ถอยไปอยู่ด้านหนึ่ง
การกระทำของอวี้ฉือจ้านสะดุดตา กู้ชิวเหลิ่งกลับชินกับการยืนกรานทำตามแนวทางของตนเองโดยไม่สนใจคนอื่นของอวี้ฉือจ้านแล้ว ถึงแม้อวี้ฉือจ้านจะฆ่าคนกลางถนน ก็ไม่มีคนกล้าพูดคำว่าไม่แม้แต่ครึ่งคำ
เซ่อเจิ้งหวางของต้าเยียน ก็คือจอมเผด็จการตั้งแต่หัวจรดเท้าคนหนึ่ง ราษฎรของต้าเยียนทั้งหมดดันเคารพรักเขาอย่างมาก
อวี้ฉือจ้านอยู่ด้านหน้าของกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม: “คำสั่งของหว่านเฟย เจ้าก็ยังไม่ไปกับข้าอีก?”
ขันทีและนางกำนัลต่างก็ก้มหน้าเอาไว้ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดใดๆที่อวี้ฉือจ้านพูด
กู้ชิวเหลิ่งถึงได้กล่าวว่า: “หม่อมฉันไม่รู้จักทาง รบกวนเซ่อเจิ้งหวางเดินนำทางอยู่ด้านหน้าด้วยเถอะ”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้า กล่าวว่า: “ตามข้ามาทางนี้”
“เพคะ”
กู้ชิวเหลิ่งเดินตามหลังของอวี้ฉือจ้านอย่างเชื่อฟัง อวี้ฉือจ้านจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ดังนั้นกู้ชิวเหลิ่งติดตามอยู่ข้างหลังจึงไม่เปลืองแรง
จนกระทั่งด้านหลังไม่มีคนแล้ว อวี้ฉือจ้านถึงได้เดินมาอยู่ข้างกายของกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวว่า: “ภาพวาดของฉินโม่เอ๋อร์ ข้าก็ให้ฝู้จื่อโม่ไปจัดการแล้ว ก่อนที่จวินฉีเซิ่งจะกลับไปยังแคว้น สามารถรับประกันได้ว่าจะถึงมือหลิวกุ้ยเฟยแห่งแคว้นฉี”
“ขอบพระทัยเซ่อเจิ้งหวางมาก”
“อืม”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวถาม: “หว่านเฟยต้องการพบข้าจริงๆหรือ?”
“ต้องการจะพบเจ้า”
เซียวหว่านชิงกับนางไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกันเลย จู่ๆก็อยากพบนาง มันก็น่าแปลกอยู่จริงๆ
แต่ว่าไม่ช้ากู้ชิวเหลิ่งก็มีคำตอบอยู่ในใจ