ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 156 วันนี้จะให้สินสอดทองหมั้น
หงฝูกล่าวออกมาต่อว่า “องค์จักรพรรดิยังดำริอีกว่า ในสามเดือนนี้พระชายาต้องเล่าเรียนในเรื่องของมารยาทอยู่ในตำหนัก หากยังมิสำเร็จ ก็ให้เพิ่มไปอีกสามเดือนเป็นครึ่งปี และหากเวลาครึ่งปียังมิสำเร็จอีก ก็ให้เล่าเรียนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ในช่วงเวลาดังกล่าวพระชายาจะต้องเล่าเรียนกับบ่าวเท่านั้น มิมีใครยื่นมือเข้ามายุ่งได้”
องค์หญิงอานไท่ตั้งใจจะก้าวไปด้านหน้าเพื่อทุบตีหงฝู แต่เมื่อนางก้าวขาออกไปกลับลื่นล้มลงสู่พื้น
หงฝูยังคงยืนอยู่ที่เดิมแล้วกล่าวว่า “วันนี้พระชายายังมิได้อาบน้ำ บ่าวจะสั่งให้บ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนเอาไว้ให้ บ่าวขอตัวก่อน”
“เจ้า! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
หงฝูปิดประตู ปล่อยให้องค์หญิงอานไท่นั่งกองอยู่ที่พื้น
อวี่เหวินหวายยืนอยู่ด้านนอก หงฝูเดินออกมาพร้อมกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งจะตื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว เจ้ากำลังจะไปเตรียมน้ำร้อนให้นางเช่นนั้นหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อวี่เหวินหวายกล่าวอย่างเยือกเย็น “มิต้องเตรียมน้ำให้นางอาบ และวันนี้ก็มิต้องให้นางกินอาหารด้วย”
หงฝูแสร้งถามออกมาด้วยความข้องใจ “เพราะเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“นี่คือคำสั่งของข้า วันนี้ห้ามให้นางกินอาหาร หญิงกากีผู้นี้ได้ตำแหน่งพระชายาของข้ามาอย่างง่ายดาย ข้ามิมีทางปล่อยให้ชีวิตของนางผ่านไปอย่างสุขสบายเป็นแน่”
หงฝูโน้มตัวลงด้วยความเคารพพร้อมกล่าวว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้ว จะรีบไปถ่ายทอดคำสั่งเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
อวี่เหวินหวายพยักหน้าพร้อมกับเสียงลมหายใจอันเยือกเย็น เมื่อคืนวานเขาได้ไปไหว้วานอวี่เหวินเจี๋ยให้เตรียมองครักษ์ลับสองคนเอาไว้ ฉวยโอกาสเวลากลางคืนไปตัดศีรษะของอานู แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มาจากซีจิ้ง ดังนั้นเอาศพไปแอบเผาไปเลย เพียงแต่องค์หญิงอานไท่ไม่เห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้ อวี่เหวินหวายจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
อีกด้านหนึ่ง จวินฉีเซิ่งกับฉินโม่เอ๋อร์เตรียมพร้อมออกเดินทาง อวี้ฉือกงกับอวี่เหวินเจี๋ยถูกส่งตัวออกจากพระราชวัง
วันรุ่งขึ้น กู้ชิวเหลิ่งตื่นแต่เช้าและเดินทางมายังถนนฉางอัน สวมผ้าโพกหน้าสีฟ้าอ่อน แฝงกายอยู่ในกลุ่มผู้คน
ขบวนส่งสินสอดของจวินฉีเซิ่งใช้รถม้าในการเดินทาง ผู้เป็นหัวหน้าอย่างจวินฉีเซิ่งและฉินโม่เอ๋อร์นั่งอยู่บนรถม้า ด้านหลังเป็นผู้ติดตามรวมถึงสินเดิมและอาหาร
ดวงตาของกู้ชิวเหลิ่งจ้องมองรถม้าที่อยู่ด้านหน้า มินานนางจะต้องกลับไปยังแคว้นฉีเพื่อพบจวินฉีเซิ่งและมู่หรงอี๋
จูเอ๋อร์สวมเสื้อคลุมให้กู้ชิวเหลิ่งแล้วกล่าวว่า “คุณหนูเจ้าคะ เดินทางออกไปข้างนอกตั้งแต่รุ่งสางเช่นนี้ ระวังมิสบายเอานะเจ้าคะ”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วพร้อมกล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งหันหน้ากลับมา สายตาของนางสบตากับดวงตาคู่หนึ่งอันลึกซึ้ง
อวี้ฉือจ้านมองนางเช่นนี้ราวกับต้องการถามนางว่ากำลังมองอะไรอยู่
หัวใจของกู้ชิวเหลิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะตั้งสติรู้สึกตัวว่าความสัมพันธ์ของนางกับอวี้ฉือจ้านเป็นเพียงแค่ผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของซึ่งกันและกันเท่านั้น มิจำเป็นต้องอธิบายเรื่องที่อวี้ฉือจ้านกำลังเข้าใจผิด
“เซ่อเจิ้งหวางตื่นเร็วเช่นนี้ คงมิได้มาเพื่อพบข้าใช่หรือไม่?”
เสียงของอวี้ฉือจ้านดูแข็งทื่อ “เจ้าว่าหละ?”
กู้ชิวเหลิ่งพูดมิออก ตอนแรกนางมิรู้ว่าจะเอ่ยสิ่งใดออกมาอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของอวี้ฉือจ้าน ยิ่งทำให้นางพูดมิออกเข้าไปอีก
“ข้าอยากรู้ว่า เจ้ามาที่นี่เพื่อพบใคร?”
บัดนี้รอบด้านเต็มไปด้วยผู้คน หากมิใช่ว่าเขามัวใส่ใจกับขบวนส่งสินสอดของแคว้นฉี เกรงว่านางคงสังเกตเห็นคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงมุมเป็นแน่
กู้ชิวเหลิ่งก้มหน้าพร้อมกล่าวออกมา “ที่นี่มีผู้คนพลุกพล่าน พวกเราเดินไปที่อื่นกันเถิด”
ในตอนที่กู้ชิวเหลิ่งกำลังจะหันหลังไป อวี้ฉือจ้านได้เข้ามาคว้าแขนของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่พอประมาณ
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “เซ่อเจิ้งหวาง นี่ท่านกำลังทำสิ่งใด?”
ในตอนแรกอวี้ฉือจ้านต้องการถามว่าผู้ที่กู้ชิวเหลิ่งกำลังเฝ้ามองอยู่นั้นใช่จวินฉีเซิ่งหรือไม่ แต่เมื่อเขาเห็นแววตาอันเย็นชาของกู้ชิวเหลิ่ง เขาก็ได้เก็บความคิดดังกล่าวไว้ในใจพร้อมกล่าวว่า “ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
กู้ชิวเหลิ่งมิได้ปฏิเสธ นางกล่าวว่า “เช่นนั้นต้องรบกวนเซ่อเจิ้งหวางเป็นผู้นำทางให้ข้าด้วย”
ประโยคนี้ของนางจึงทำให้อวี้ฉือจ้านยอมปล่อยมือของกู้ชิวเหลิ่ง
แขนเสื้อของกู้ชิวเหลิ่งถูกอวี้ฉือจ้านจับไว้ทำให้เกิดรอยย่น แต่นางมิรู้ตัวเลยสักนิด นางเดินตามหลังอวี้ฉือจ้านเข้าไปในตรอกซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง
กู้ชิวเหลิ่งหันไปสั่งจูเอ๋อร์ว่า “เจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้ากับเซ่อเจิ้งหวางสนทนากันเรียบร้อยแล้วข้าจะกลับไปเอง”
“เช่นนั้นคุณหนูระมัดระวังความปลอดภัยด้วยนะเจ้าคะ”
จูเอ๋อร์มองไปยังอวี้ฉือจ้านที่เดินอยู่ด้านหน้า แม้ว่าจะรู้สึกมิสบายใจนัก แต่นางก็ยังคงเดินกลับไปตามคำสั่ง
กู้ชิวเหลิ่งเดินตามอวี้ฉือจ้านไปสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งจูเอ๋อร์หายลับตาไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จึงถามออกมาด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านจะพาข้าไปที่ไหน?”
ในตรอกซอยนี้มีเพียงแต่กู้ชิวเหลิ่งกับอวี้ฉือจ้านเพียงสองคนเท่านั้น อวี้ฉือจ้านหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน จากนั้นก็จับร่างของกู้ชิวเหลิ่งกดเข้ากับกำแพงพร้อมก้มศีรษะลง ดวงตาของเขามองต่ำ “เมื่อสักครู่เจ้าจ้องมองจวินฉีเซิ่งอยู่ใช่หรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “เซ่อเจิ้งหวางยังมิหายเมาจากสุราของเมื่อคืนอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงได้เมามายตั้งแต่เช้าตรู่?”
อวี้ฉือจ้านเข้าไปใกล้กู้ชิวเหลิ่งมากขึ้น “กู้ชิวเหลิ่ง เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิถามออกมา ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นคนบอกออกมาด้วยตัวเอง เจ้าสามารถคาดเดาความคิดทุกอย่างของข้าได้ หรือเรื่องแค่นี้เจ้าจะเดามันมิออกกัน?”
กู้ชิวเหลิ่งคิดจะดิ้นรนออกจากการรุกรานของอวี้ฉือจ้าน แต่อวี้ฉือจ้านได้ทำการกักขังร่างกายของนางเอาไว้จนหมดทางหนี จากนั้นถามออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
บัดนี้กู้ชิวเหลิ่งได้เงยหน้าขึ้น ล้มเลิกความคิดที่จะดิ้นรนพร้อมกล่าวออกมาว่า “เซ่อเจิ้งหวางคิดว่าข้าเป็นใครข้าก็เป็นคนผู้นั้น มีเรื่องมากมายที่ข้าเองมิอยากเอ่ยออกไป หวังว่าเซ่อเจิ้งหวางจะมิบังคับข้า”
“แล้วหากข้าบังคับเจ้าเล่า?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวออกมาทีละพยางค์อย่างชัดเจนและเยือกเย็น “ข้ายอมตายเสียดีกว่า”
อวี้ฉือจ้านกับกู้ชิวเหลิ่งจ้องมองกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งสองคนต่างสัมผัสได้ถึงเสียงลมหายใจของซึ่งกันและกัน คนหนึ่งดูน่าเบื่อ อีกคนหนึ่งมิแยแส
ในที่สุดอวี้ฉือจ้านก็ยอมปล่อยกู้ชิวเหลิ่ง เขากล่าวออกมาว่า “ข้า…..มิรู้จริงๆ ว่าควรจัดการกับเจ้าเช่นไรดี”
ประโยคนี้มิได้ใช้คำราชาศัพท์ใด ใช้คำเช่นสามัญชนทั่วไป
กู้ชิวเหลิ่งมิกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองท่าทางของอวี้ฉือจ้าน เพราะกลัวที่จะเห็นรูปลักษณ์อันน่าเศร้านั่น
อวี้ฉือจ้านยืนอยู่ที่เดิมราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน “ด้านนอกมีผู้คนมากมาย ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวตอบกลับไปว่า “มิเป็นไร ตัวตนของเซ่อเจิ้งหวางช่างพิเศษ เกรงว่าจะถูกใครสังเกตเห็นเข้า ข้ากลับไปด้วยตัวเองได้”
ในตอนที่กู้ชิวเหลิ่งหันหลังและก้าวออกไป จู่ๆ ก็มีแรงกอดเข้ามาจากด้านหลังของนาง ท่าทางของอวี้ฉือจ้านดูนิ่งสงบ ดูเหมือนสามารถกอดและยกร่างของกู้ชิวเหลิ่งขึ้นมาก็ดูเหมือนทำได้อย่างง่ายดาย
“ท่าน……? ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ประเดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้าหรอก……”
“จะเห็นก็ให้เห็นไป สตรีของข้าอวี้ฉือจ้าน เหตุใดต้องกลัวใครมาเห็นด้วย?”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปที่อวี้ฉือจ้านด้วยความเหลือเชื่อ นางมิเคยเห็นชายใดที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน
กอดและอุ้มสตรีบนถนนสาธารณะ ทั้งยังดูท่าทางภาคภูมิใจ
อวี้ฉือจ้านสัมผัสได้ว่ากู้ชิวเหลิ่งมิได้ดิ้นรนอีกต่อไป ในใจของเขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เดินกลับไป
ใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งมืดมน นางกล่าวออกมาว่า “หากมีคนรู้จักข้าขึ้นมา ท่านอาจจะมิเป็นไร แต่ข้าอาจจะลำบาก”
“มิเป็นไรหรอก ข้าจะหมั้นกับเจ้าในวันนี้”
“ท่านล้อเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“แต่ไหนแต่ไรมา คำใดที่กล่าว ข้ามิเคยล้อเล่น”
อวี้ฉือจ้านมิได้ล้อเล่น ช่วงเวลาเมื่อสักครู่นี้เขาได้ทำการตัดสินใจไปแล้ว เรื่องการแต่งงานจำเป็นรีบจัดการให้เรียบร้อยในเร็ววัน